จารใจรัก - ตอนที่ 119-2 ฉินเจิงกลับมา
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม เสี่ยวเฉวียนจื่อก็กุลีกุจอเดินมา ตะโกนขึ้นจากด้านล่างหอเฟิ่งหวงด้วยความเคารพ “คุณหนูฟางหวา พระราชพิธีราชาภิเษกของฝ่าบาทใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ขอเชิญท่านไปที่ตำหนักด้านหน้าขอรับ”
เขาเพิ่งพูดจบ นอกประตูวังพลันมีเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นระลอกหนึ่ง เกือกม้าเมื่อเหยียบลงบนพื้นก็ส่งเสียงดังกังวานอย่างยิ่ง แทบจะกลบเสียงดนตรีบรรเลงด้วยความยินดีในวังหลวง
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองไปนอกวังตามระดับความสูง พบเพียงหนึ่งคนกับม้าหนึ่งตัวกำลังพุ่งทะยานมา เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงประตูวังหลวง
เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองทั้งสอง
“คุณหนู เป็นท่านอ๋องน้อยเจิงเจ้าค่ะ เขากลับมาแล้ว” ซื่อฮว่ารีบกล่าวเสียงเบา
“มิผิดแน่ เป็นท่านอ๋องน้อยเจิงจริงๆ เจ้าค่ะ” ซื่อม่อสมทบ
เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองกระดานหมากล้อมด้วยความสงบ วางตัวหมากลงเชื่องช้า มิได้เอ่ยคำใด
เสี่ยวเฉวียนจื่อเห็นว่าเซี่ยฟางหวายังคงนั่งอยู่บนหอโดยไร้การเคลื่อนไหว คิดว่านางคงมิได้ยิน จึงกล่าวเสียงดังอีกหน “คุณหนูฟางหวา พระราชพิธีราชาภิเษกของฝ่าบาทใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ขอเชิญท่านไปที่ตำหนักด้านหน้าขอรับ”
“ได้ยินแล้ว” เซี่ยฟางหวามิได้ลุกขึ้นทันที
เสี่ยวเฉวียนจื่อรออยู่ด้านล่างด้วยความเคารพ
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองไปยังประตูวังด้วยความตื่นตระหนก พบว่าฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยนแล้ว และกล่าวบางอย่างกับองครักษ์เฝ้าประตูวัง เหล่าองครักษ์รีบเปิดประตูให้เขาทันที
ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงกีบเท้าม้าก็ดังใกล้เข้ามา นึกไม่ถึงว่าจะมุ่งมายังราชอุทยานต้องห้ามในวัง
เสี่ยวเฉวียนจื่อตกใจใหญ่ ออกคำสั่งกับขันทีน้อยที่มาด้วยกันว่า “รีบออกไปดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ไฉนถึงมีคนกระโจนเข้ามาในวังหลวงได้”
เขาเพิ่งพูดจบ คนกับม้าก็บุกมาถึงราชอุทยานต้องห้ามในวังแล้ว
เมื่อเสี่ยวเฉวียนจื่อเห็นคนบนม้าชัดเจนก็เบิกตากว้าง หลุดเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องน้อยเจิง”
เขาเพิ่งมองเห็นเจ้าของร่างชัดเจน ฉินเจิงก็ควบม้าเข้ามาใกล้ ก่อนกระโจนม้าข้ามตัวเขาไป
เสี่ยวเฉวียนจื่อตกใจจนขาแข้งอ่อน ทรุดนั่งลงกับพื้น กระทั่งเขาได้สติกลับคืนมาก็พบว่าฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยนแล้ว และกำลังเงยหน้ามองไปยังบนหอเฟิ่งหวง
เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นดิน ทว่ากลับยังคงวางมาดสูงส่ง หล่อเหลาหาใดเปรียบ
องครักษ์รักษาราชอุทยานต้องห้ามกำลังจะยิงธนูออกไป เมื่อเห็นว่าเป็นฉินเจิงก็ถือลูกธนูชะงักค้าง
เสี่ยวเฉวียนจื่อขยี้ตา เห็นชัดเจนว่าคนผู้นี้เป็นฉินเจิงจริงๆ เป็นท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋องที่ไร้ข่าวคราวไปตลอดหลายวัน ทันใดนั้นก็ลอบอุทานว่าแย่แล้ว รีบก้าวขาวิ่งไปยังตำหนักด้านนอกเพื่อรายงาน
ฉินเจิงเงยหน้ามองบนหอเฟิ่งหวงพักหนึ่ง ก่อนพลิกกายลงจากม้า แล้วย่ำเท้าขึ้นไปบนหอเฟิ่งหวง
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่อยู่บนหอเฟิ่งหวงเห็นว่าฉินเจิงกำลังจะขึ้นมาข้างบน พลันตื่นตระหนกยิ่งขึ้น กล่าวกับเซี่ยฟางหวาเสียงเบา “คุณหนู ท่านอ๋องน้อยจะขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาเงียบ ใบหน้าสงบนิ่ง
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเข้ามาประกบอารักขาเซี่ยฟางหวา
ฝีเท้าของฉินเจิงมิเร็วมิช้า ใช้เวลาราวครึ่งถ้วยชาก็ขึ้นมาบนหอเฟิ่งหวง นอกจากเนื้อตัวคลุกฝุ่นดิน รอบกายเขาก็ปราศจากกลิ่นอายชั่วร้าย ดั่งกำลังเดินเล่นด้วยความสงบ ฝีเท้าแผ่วเบาผ่อนคลายราวกำลังย่ำดอกบัวเดินมา ตัวเขาในยามนี้ดูผ่อนคลายสบายใจ คงมาดสูงส่งล้ำเลิศ
หลังจากที่เขาขึ้นมาบนหอเฟิ่งหวงก็มองสถานการณ์ด้านบนแวบหนึ่ง ก่อนที่เดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกระดานหมากล้อมที่เซี่ยฟางหวาวางเรียงไว้
ฝั่งตรงข้ามเป็นตั่งบุนวมที่ไทเฮานั่งเมื่อครู่ เขาเอนกายลงอย่างเกียจคร้าน
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากัน ก่อนย่อเข้าทำความเคารพ “บ่าวทำความเคารพท่านอ๋องน้อย”
ฉินเจิงชำเลืองมองทั้งสองแวบหนึ่งก่อนยกมือปัดส่งๆ จากนั้นก็ตวัดตาพินิจมองเซี่ยฟางหวาตั้งแต่หัวจรดเท้า สักพักต่อมาก็หยุดสายตาที่ชุดฮองเฮาบนกายนางพลางหรี่ตาลง
เซี่ยฟางหวาเล่นหมากล้อมกับตัวเอง ไม่แม้แต่จะตวัดตามอง
สักพักถัดมา ฉินเจิงก็เอ่ยขึ้นอย่างเอ้อระเหย “เซี่ยฟางหวา เจ้ารู้หรือไม่ว่าตรงนี้คือที่ใด”
เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ แสร้งมิได้ยิน
“ตอนหนานฉินสร้างวังหลวง แรกเริ่มได้เลือกสถานที่ตรงนี้สร้างเป็นตำหนักจินหลวน ปฐมจักรพรรดิเชิญไต้ซือประจำวัดฝ่าฝอซื่อมาดูที่ทาง ทว่าไต้ซือส่ายหน้า แล้วกล่าวทัดทานว่าที่ตรงนี้แม้เป็นทำเลที่ดีมาก ได้เห็นทิวทัศน์ในวังหลวงยอดเยี่ยม แต่ครอบครองพื้นที่ประตูผีอย่างช่วยมิได้ อัปมงคลอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ปฐมจักรพรรดิจึงเปลี่ยนที่ตั้งตำหนักจินหลวน แล้วสร้างราชอุทยานต้องห้ามในวังขึ้นที่นี่ ทำเป็นที่ตั้งศาลบรรพชน และตั้งชื่อตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดนี้ให้ว่าหอเฟิ่งหวง มันยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าด่านประตูผี”
ฉินเจิงมองนาง
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
ฉินเจิงมองนาง ในดวงหน้าสะท้อนอารมณ์บางอย่างในแวบแรก ทว่าก็ผันเปลี่ยนกลับไปเรียบสงบดังเดิม ก่อนกล่าวต่อ “วันนี้เจ้ามารออยู่ตรงนี้ อยากสร้างหมากเข้าตาจนให้ข้า หรือว่าสร้างหมากเข้าตาจนให้ตัวเองเพื่อมุ่งสู่ด่านประตูผีกันแน่ หืม”
“ไม่ว่าจะสร้างหมากเข้าตาจนให้ใครก็ล้วนมีจุดจบแบบเดียวกัน” เซี่ยฟางหวามองฉินเจิง ปลายนิ้วคลึงหมากสีดำเล่น ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “สองสิ่งที่เป็นประโยชน์ควรเลือกสิ่งที่ให้ประโยชน์มากกว่า สองสิ่งที่อันตรายก็ควรเลือกสิ่งที่อันตรายน้อยที่สุด แม้แต่เด็กอายุสามขวบยังเข้าใจเรื่องนี้ หรือว่าเจ้าไม่รู้”
“รู้” ฉินเจิงพยักหน้าเกียจคร้าน
“ในเมื่อรู้แล้ว เหตุใดวันนี้ถึงยังมาที่นี่” เซี่ยฟางหวาปรายตามองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ทหารองครักษ์ที่ง้างคันธนูเมื่อครู่ยังมิได้เก็บกลับไป แต่กำลังจับตามองสถานการณ์บนหออย่างตื่นตัว และล้อมรอบหอเฟิ่งหวงเอาไว้แล้ว ราวกับรอแค่คำสั่งเท่านั้นก็จะยิงธนูออกไปทันที นางเผยใบหน้าดุดัน “ไม่กลัวว่าจะตายโดยไร้ที่ฝังรึ”
ฉินเจิงเหลือบมองนางโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว “ภรรยาหนีไป ย่อมต้องตามกลับมา” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวเสริม “ต่อให้เข้าตาจนก็ควรตายโดยไม่เสียชาติเกิด”
เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยความเย้ยหยัน ขยับชุดฮองเฮาอันสูงส่งที่ยับเพราะความไม่ระวังแผ่วเบา ก่อนกลางเสียงเรียบ “ภรรยาเจ้าหนีไปแล้วมาหาข้าทำไม ข้าจำได้ว่ามิได้เกี่ยวข้องกับเจ้าแล้ว”
ฉินเจิงลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น โน้มกายแย่งตัวหมากในมือนางมาโยนเข้าไปในกระถางธูปที่อยู่ไกลออกไป สลัดคราบความเอ้อระเหยลอยชาย หันมามองนางด้วยความโหดเ**้ยมแล้วเอ่ยขึ้น “สวมอาภรณ์ฮองเฮาก็กลายเป็นฮองเฮาแล้วรึ เจ้าถามความเห็นข้าแล้วหรือยัง”
ตัวหมากตกลงในกระถางธูป เกิดเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ดังขึ้น ควันหมุนเป็นเกลียวลอยขึ้นมาจากข้างใน
เซี่ยฟางหวานิ่งมองเขา “ท่านอ๋องน้อยเจิง โปรดระวังฐานะของเจ้าด้วย เจ้าจะตกลงหรือไม่ก็เปลี่ยนความจริงมิได้แล้ว” พูดจบ นางก็ยื่นมือล้มกระดานหมากล้อม ตัวหมากกระเด็นกระดอนรอบทิศทาง นางเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ถึงอย่างไรเจ้าของแผ่นดินหนานฉินผืนนี้ก็มิใช่เจ้า”
ฉินเจิงยิ้มเย็น “แผ่นดินหนานฉินตอนนี้เป็นของเขาก็ช่าง แต่สตรีนั้นเป็นของข้า” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นเสียงเย็น “เจ้าจะเป็นฮองเฮาหรือไม่ วันนี้ต้องถามความเห็นชอบจากข้าก่อน”
“ถ้าเจ้าไม่ตกลงแล้วจะอย่างไร” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว
ฉินเจิงก้าวขึ้นมาคว้าข้อมือนาง เพียงสองก้าวก็ลากนางเดินไปถึงริมหอเฟิ่งหวงแล้ว เขากล่าวด้วยโทสะ “ดูท่าถ้อยคำที่ข้าเคยพูดไว้เจ้าคงลืมไปแล้ว”
เซี่ยฟางหวาออกแรงสะบัดออก ขัดขืนครู่หนึ่งก็ไม่เป็นผล
ฉินเจิงมองไปยังด้านล่างหอเฟิ่งหวง ก่อนกล่าวซ้ำด้วยเสียงเย็นชา “ข้าเคยบอกเจ้าว่า เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ข้าเฝ้ารอมาโดยตลอด ยอมแลก ยอมช่วงชิง และจะปกป้อง หากชีวิตนี้เจ้ามิอาจอยู่เคียงข้างข้า เช่นนั้นด้วยชีวิตอันไม่แน่นอนนี้ ข้าคงได้แต่ต้องลากเจ้าไปยังปรโลกด้วย”
“ท่านอ๋องน้อยเจิง เจ้าตายแล้วแผ่นดินหนานฉินจะทำเช่นไร ชีวิตของเจ้ามีค่ามากถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะพูดถึงความตายได้ง่ายๆ แบบนี้ ถึงกับยอมตายเพื่อสตรีคนเดียว อนุชนในอีกพันปีข้างหน้ามีหรือจะไม่หัวเราะเยาะ” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“ข้าสนว่าใครจะหัวเราะเยาะที่ไหนกัน” ฉินเจิงกล่าวด้วยความโกรธ “หากเจ้ากล้าออกเรือนกับฉินอวี้ กล้าเป็นฮองเฮาของเขา วันนี้ข้าจะพาเจ้ากระโดดลงไปข้างล่าง แค่ตายก็จบปัญหาแล้ว”
เซี่ยฟางหวาพลันโกรธขึ้นมา หันไปสั่งงานซื่อฮว่า “ไปตามอิงชินอ๋องกับพระชายามา ให้มาดูว่าบุตรชายที่แสนดีของพวกเขานั้นมีความสามารถเพียงเท่านี้หรือไม่ เมื่อมิได้สตรีมาก็เอาความตายมาข่มขู่”
ซื่อฮว่านิ่งชะงักมองเซี่ยฟางหวา
“ยังไม่รีบไปอีก” เซี่ยฟางหวาเริ่มมีน้ำโห
ซื่อฮว่าพยักหน้า รีบลงจากหอเฟิ่งหวงไปยังนอกราชอุทยานต้องห้ามในวัง
“เซี่ยฟางหวา เจ้ายังเป็นเจ้าหรือไม่ ไร้เหตุผลเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เจ้าจะยอมเป็นฮองเฮาของฉินอวี้เท่านั้นใช่หรือไม่ เจ้าเห็นความดีในตัวเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน พริบตาก็ทิ้งข้าโดยไม่ใยดี” ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม
เซี่ยฟางหวาเงียบ
ฉินเจิงยื่นมือโอบเอวนาง ลั่นวาจาโหดเ**้ยม “ถึงแม้แม่ข้ามาถึง เจ้าคิดว่าข้ามิกล้าพาเจ้าไปตายรึ ถึงแม้ยอมลำบากยากเข็ญมาหลายปี แต่สูญเสียไปในวันเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นไร ข้าฉินเจิงมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ก็เพื่อเจ้า ถ้าเจ้ากลายเป็นสตรีของผู้อื่น ถึงข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีความหมายใด” พูดจบก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
“เจ้าเด็กเลว! เจ้ากล้ารึ!” พระชายาอิงชินอ๋องสาวเท้ามาจากไกลๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็อกสั่นขวัญหาย ร้องตะโกนขึ้นด้วยความโกรธเคืองระคนตื่นตระหนก
ฉินเจิงหันไปมองนางแวบหนึ่ง มิเอ่ยคำใด ก่อนดึงเซี่ยฟางหวากระโดดลงไปโดยมิลังเล