จารใจรัก - ตอนที่ 120-1 พระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้
หอเฟิ่งหวงห่างจากพื้นดินถึงหนึ่งร้อยหมี่
ด้านล่างหอเฟิ่งหวง ทหารองครักษ์ถือธนูล้อมรอบ แต่ละคนมีท่าทางดุดันเคร่งขรึม วางกำลังหนาแน่นจนแม้แต่น้ำยังไหลผ่านมิได้
คนกระโดดลงมาจากหอเฟิ่งหวง ถ้ามิกระแทกพื้นตายก็ถูกธนูและหอกยาวของทหารองครักษ์แทงตาย
พระชายาอิงชินอ๋องเห็นฉินเจิงคว้ากายเซี่ยฟางหวากระโดดลงมาจากหอเฟิ่งหวงกับตา ทันใดนั้นก็ร่างกายอ่อนยวบ ล้มพับหมดสติไป
อิงชินอ๋องอยู่ข้างพระชายา เมื่อเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ตะคอกขึ้น “เจิงเอ๋อร์อย่าก่อเรื่อง!”
เขาพูดจบ ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาก็เหยียบกลางอากาศ กระโดดลงมาจากหอเฟิ่งหวง
“ใครก็ได้! รีบไปช่วยพวกเขา” ฉินอวี้ไล่หลังมา เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เอ่ยอย่างมีโทสะ “หากพวกเขาตาย ทุกคนในราชอุทยานต้องห้ามต้องถูกฝังไปพร้อมกันด้วย!”
ทหารองครักษ์ที่ล้อมด้านล่างหอเฟิ่งหวงต่างตื่นตระหนก รีบโยนหอกและธนูในมือทิ้งไป ชั่วพริบตาก็ตอบสนองอย่างว่องไวนอนหมอบลงกับพื้น ทันใดนั้นก็เรียงซ้อนกันกลายเป็นพรมฟูกมนุษย์
ทหารองครักษ์เพิ่งเรียงตัวกัน ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาก็ดิ่งลงมาถึงพื้น ฝ่าเท้าเหยียบลงบนกองเนื้อมนุษย์ ร่างกายฉินเจิงที่โอบเซี่ยฟางหวาไว้สั่นโคลงเล็กน้อย ด้วยแรงดิ่งค่อนข้างมาก ทำให้ทหารองครักษ์ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงน่าเวทนาสะเทือนฟ้าออกมา
กาลเวลาราวกับหยุดลงในวินาทีนั้น
เหล่าขุนนางที่ทราบข่าวแล้วตามฉินอวี้มา แต่ละคนดั่งถูกกระแสลมโหมพัดจนกลายเป็นเปลือกไม้แก่แห้งแตก ตกใจจนสติเตลิดเปิดเปิง
ฉินอวี้เห็นทั้งสองปลอดภัยก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกแผ่วเบา ชั่วพริบตานั้นใบหน้าก็มืดครึ้มลง เอ่ยด้วยโทสะ “ฉินเจิง! เจ้าอยากตายก็ตายไปคนเดียว ทำไมต้องดึงฟางหวาไปด้วย”
“นางเป็นได้แค่ภรรยาของข้าเพียงผู้เดียว มิฉะนั้นก็ต้องตายไปกับข้าด้วย” ฉินเจิงได้ยินเสียงก็หันไปมองฉินอวี้พร้อมเลิกคิ้วกล่าว
“เจ้ามีสิทธิ์ใดถึงได้เผด็จการเช่นนี้” ฉินอวี้โกรธ
“สิทธิ์ที่หากข้ากับนางตายไป แผ่นดินหนานฉินผืนนี้ก็จะถูกเป่ยฉีทำลายจนสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว สิทธิ์ที่เด็กโง่คนนี้ทอดทิ้งไม่ไยดีข้าเพื่อช่วยแผ่นดินหนานฉิน ข้าจึงไม่ยอม” ฉินเจิงมองเขา ก่อนตอบเน้นย้ำทีละคำ
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ขัดขืนด้วยความโกรธ
ฉินเจิงโอบเอวนางแน่น ไม่ยอมให้นางสะบัดออก หันมากล่าวกับนาง “หรือว่าข้าพูดผิด”
เซี่ยฟางหวาถลึงตามองเขา
ฉินเจิงดึงนางลงกระโดดลงมาจากเบาะมนุษย์ เมื่อปลายเท้าสัมผัสพื้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากต้องเสียสละชีวิตคู่ของเจ้ากับข้าถึงรักษาแผ่นดินหนานฉินไว้ได้ เช่นนั้นข้ายอมให้เป่ยฉีทำลายมันเสียดีกว่า ชาตินี้หากมิได้เป็นสามีภรรยากัน ใครจะยังสนใจกิจราชสำนักของแผ่นดินหนานฉิน ถึงกลายเป็นเถ้าถ่านก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าอีก”
เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนี
“เจ้าบอกว่าถ้าไม่มีพวกเจ้า แผ่นดินหนานฉินผืนนี้ก็จะถูกเป่ยฉีทำลายจนสิ้นในเวลาอันรวดเร็วหรือ”
ฉินอวี้หรี่ตาลง
“ไม่เชื่อรึ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
“จะให้เชื่อได้อย่างไร” ฉินอวี้มองเขา
“สามร้อยปีก่อน หนานฉินกับเป่ยฉีตั้งป้อมประจันหน้ากัน ตระกูลหวางกับตระกูลอวี้ล้วนบาดเจ็บล้มตาย ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้นต่างฝ่ายต่างไม่มีแรงจะระดมกำลังเพิ่ม ทำได้เพียงแค่ยอมจับมือกันสงบศึก หลังปฐมจักรพรรดิหนานฉินสวรรคต ลูกหลานแต่ละรุ่นของหนานฉินมิได้สืบทอดปณิธานของบรรพบุรุษต่อ หากแต่ทุ่มกำลังสร้างแผ่นดินให้รุ่งเรือง ไขว่คว้าการเป็นหนึ่งในใต้หล้า ในทางกลับกันก็เอาแต่จับตามองตระกูลเซี่ยที่เจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินหนานฉินอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันว่าวันหนึ่งตระกูลเซี่ยจะเป็นปรปักษ์ ต้องกำจัดภัยร้ายในอนาคต นับแต่นั้นเป็นต้นมาอำนาจจักรพรรดิกับตระกูลเซี่ยก็ถ่วงดุลกันมาเกือบสามร้อยปี และในเวลาสามร้อยปีนี้ เป่ยฉีกลับเป็นใหญ่อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุปณิธานของปฐมจักรพรรดิเป่ยฉีให้สำเร็จตลอดมา วางแผนรวมใต้หล้าให้กลายเป็นหนึ่งเดียว” ฉินเจิงกล่าว
ฉินอวี้เงียบ
“รุ่นก่อน โหวเหยียผู้เฒ่าตั้งมั่นรักษาพรมแดน รับราชการทหารมาเกินครึ่งชีวิต ทั้งส่งบุตรีออกเรือนไปยังเป่ยฉี ทำให้หนานฉินสงบสุขมาตลอดหลายสิบปีนี้ แต่ถึงกระทำเช่นนี้หนานฉินก็ยังสำนึกมิได้ กำลังของเป่ยฉีแข็งแกร่งกว่าหนานฉินมากแล้ว ถ้ามิอย่างนั้น เหตุใดบุตรีในหนานฉินต้องออกเรือนไปเป่ยฉี เหตุใดถึงมิใช่บุตรีในเป่ยฉีต้องออกเรือนมาหนานฉินเพื่อสร้างความปรองดอง” ฉินเจิงพูดต่อ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินเช่นนี้ก็รีบก้าวขึ้นมา “ท่านอ๋องน้อยเจิงพูดเช่นนี้มิถูกต้อง ตอนนั้นเซี่ยเฟิ่งชอบพอฮ่องเต้เป่ยฉีจึงออกเรือนไปยังที่นั่น”
“ผู้ที่เป่ยฉีร้องขอมาคือองค์หญิงใหญ่ แต่นางไม่ยินยอมที่จะไปเป่ยฉี ขณะที่พรมแดนเจรจาสร้างความปรองดองนี้ เซี่ยอิงก็ไปร่วมเจรจากับอดีตฮ่องเต้ด้วย เซี่ยเฟิงแอบตามไปม่อเป่ย เพื่อช่วยหนานฉินจึงจงใจตีสนิทฮ่องเต้เป่ยฉี ทำให้ฮ่องเต้เป่ยฉีทรงโปรดจึงได้ออกเรือนไปยังเป่ยฉีแทนองค์หญิงใหญ่” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายอึ้ง “แต่หลายปีมานี้ฟังว่าฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮารักใครกันอย่างลึกซึ้ง หรือว่าเป็นการหลอกลวง”
“รักใคร่กันอย่างลึกซึ้งก็เป็นความสามารถของเซี่ยเฟิ่ง เกี่ยวอันใดกับการกระทำของหนานฉิน” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเถียงไม่ออกอีก
ฉินเจิงกวาดตามองรอบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หลายปีนี้ เซี่ยเฟิ่งเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง แต่หยุดยั้งการรุกรานของเป่ยฉีมาครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งขัดขวางมาได้ถึงยี่สิบปี แต่ในยี่สิบปีนี้หนานฉินเรากำลังทำสิ่งใดอยู่ อดีตฮ่องเต้เล่าทรงกำลังทำสิ่งใด พระองค์คิดกำจัดตระกูลเซี่ยอย่างสุดกำลัง ไม่คิดจะควบคุมหรือจำกัดสายลับราชสำนัก ในทางกลับกันก็ให้อิสระสายลับราชสำนักจนเป็นใหญ่ขึ้นทุกวัน เพื่อคิดจะนำมาใช้เป็นดาบตาข่ายสวรรค์ของราชสำนักหนานฉิน มีพระประสงค์ว่าวันหนึ่งดาบเหล่านี้จะกำจัดตระกูลเซี่ยได้จนสิ้นซาก ทว่าสุดท้ายแล้ว สายลับราชสำนักก็อยู่เหนือการควบคุม มิอาจควบคุมได้อีกต่อไป กลับย้อนมาก่อความวุ่นวายในแผ่นดินหนานฉิน ช่วงที่เสด็จอาใกล้จะสวรรคตนั้นเคยได้สำนึกบ้างหรือไม่ แผ่นดินหนานฉินในตอนนี้เป็นรูพรุน มีแต่เรื่องยุ่งยากเป็นกอง หากเป่ยฉีเหยียบแนวป้องกันที่พรมแดนเข้ามาได้ ผู้ใดกล้าบอกว่าจะไม่เหยียบมาถึงเมืองหลวงหนานฉินในเวลาเพียงหนึ่งเดือน หนานฉินนอกจากทหารสามแสนนายในค่ายใหญ่เขาตะวันตก ยังมีกำลังทหารส่วนใดต่อกรได้อีกบ้าง”
เหล่าขุนนางได้ฟังเช่นนี้ก็แอบตื่นกลัว มิกล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ฉินเจิงหยุดสายตาลงบนกายฉินอวี้ “หลายปีก่อน เจ้าได้รับคำสั่งสอนจากเสด็จอาให้กำจัดตระกูลเซี่ยซึ่งเป็นภัยอันใหญ่หลวงนี้ออกไป เรียนรู้การวางแผน มีจิตใจกลับกลอก ทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปล้วนเพื่อกำจัดตระกูลเซี่ย ทว่าเมื่อได้เดินทางไปม่อเป่ยปีก่อน ทั้งได้ไปเยือนเป่ยฉีคราหนึ่ง จึงพบว่าทำผิดไปแล้วใช่หรือไม่ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เจ้าอยากชดเชยความผิด แต่ไหนเลยจะชดเชยไหว เจ้าใช้แผนการที่วางมาเป็นสิบปี ทุ่มเทแรงกายและใจไปกับตระกูลเซี่ย แล้วค่อยกลับมาคิดรับมือกับฉีเหยียนชิงและตระกูลอวี้ที่วางแผนมามิใช่แค่สิบปี แต่แล้วทำได้หรือไม่ ฝันไปเถอะ”
ฉินอวี้เม้มปาก
“ตอนนี้เจ้ายังคิดจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาอีกรึ” ฉินเจิงโอบเซี่ยฟางหวา ซักถามฉินอวี้ด้วยแววตาอันเย็นชา
แววตามืดครึ้มของฉินอวี้ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ “ขอเพียงนางตกลง ข้าย่อมแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา” หยุดชั่วครู่แล้วมองฉินเจิง “ถึงแม้สิ่งที่เจ้าพูดมามีเหตุผล แต่เจ้าจะมีสิทธิ์ใดมาทำดีกับนาง มีสิทธิ์ใดที่จะปกป้องนาง กักขังนาง ผูกมัดนางไว้ข้างกายเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไร”
“ข้ามีสิทธิ์อะไรก็ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า” ฉินเจิงตอบ
“เช่นนั้นข้าจะรักษาแผ่นดินหนานฉินได้หรือไม่นั้นทำไมต้องบอกเจ้า” ฉินอวี้แค่นหัวเราะ
“ข้าต้องการให้เจ้าบอกข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” ฉินเจิงยิ้มเย็น “เจ้าต้องให้คำตอบกับบรรพบุรุษสกุลฉินก็พอแล้ว” พูดจบ เขาก็กำข้อมือเซี่ยฟางหวา “ข้าไม่อยากเสวนากับเจ้าแล้ว เจ้าก็เป็นฮ่องเต้ของเจ้าไป แผ่นดินหนานฉินเป็นของเจ้า ข้าต้องการเพียงแค่สตรีคนนี้กลับไป”
“ฟางหวายังไม่ตกลง” ฉินอวี้บอก
“ไม่จำเป็นต้องให้นางตกลง” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น “สตรีคนนี้อยู่ที่เขาไร้นามมาหลายปี สมองจึงค่อนข้างแข็งทื่อไปบ้าง ข้าจะพานางกลับไปแล้วฟื้นความทรงจำให้นาง”
เซี่ยฟางหวาออกแรงขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผลจึงคิดที่จะใช้วิชาภูตผี “ใครจะอยากไปกับเจ้า…”
ฉินเจิงเห็นว่านางจะใช้วิชาภูตผีก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมทันที เขายกมือสับลงบนหลังคอนาง เซี่ยฟางหวาไหวตัวไม่เร็วเท่าฝ่ามือเขา ร่างกายอ่อนยวบ ล้มลงไปกับพื้น
ฉินเจิงรับกายนาง เมื่อเห็นว่านางหมดสติไปแล้วจึงรั้งเอวอุ้มนางไว้แนบอก ก่อนกล่าวกับฉินอวี้ “นางไม่ตกลงมิได้ เป็นคนของข้าก็คือคนของข้า จะอยู่บนสวรรค์หรือในปรโลก ชาตินี้ทำได้เพียงอยู่กับข้า จะเป็นใครอื่นไปมิได้”
“เห็นชัดว่านางไม่ยินยอม” ฉินอวี้เดือดจัด
“นางกับเจ้าตกลงอันใดกันไว้” ฉินเจิงมองเขา
ฉินอวี้เม้มปาก
“ไม่ว่าระหว่างพวกเจ้าตกลงอันใดกัน แต่สำหรับข้านั้นไม่มีผลโดยสิ้นเชิง ข้าบอกเจ้า ข้าเลือกนางมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว เปลี่ยนชะตาฝืนกฎธรรมชาติ ไม่เห็นแก่ตัวเอง ไม่ว่ายามใดนางต้องใช้แซ่ฉินของข้าเท่านั้น” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเย็น
“ฉินเจิง เจ้าจะเอาแต่ใจแบบนี้มิได้ ฟางหวามีความคิดเป็นของตัวเอง เจ้ามิอาจตัดสินใจแทนนางได้ว่านางควรจะเดินในเส้นทางไหน และยิ่งมิอาจขังนางไว้ข้างกายเจ้าได้ ตั้งแต่นางกลับมาจากเขาไร้นาม เจ้าก็เอาแต่ก่อกวนนาง กักขังนาง ผูกมัดนางไว้ตลอดเวลา เจ้าไม่เห็นหรือว่านางต้องอดทนปล่อยเลยตามเลยเจ้าตลอดมา เจ้ายังจะบังคับนางทุกอย่างอีก ไม่ยอมปล่อยนางให้มีอิสระ” ใบหน้าฉินอวี้มืดครึ้มยิ่งขึ้น
“ข้าเอาแต่ใจตัวเองแล้วอย่างไร ความคิดของนางคือการเอาชีวิตตัวเองไปเป็นสิ่งเดิมพันรึ เพื่อช่วยแผ่นดินหนานฉินถึงทำให้ความรู้สึกข้ากลายเป็นเถ้าถ่าน นางช่างมีคุณธรรมนัก แต่ว่าข้าไม่ยอม แผ่นดินหนานฉินจะเป็นหรือตายก็เรื่องของเจ้า เกี่ยวอันใดกับนาง เกี่ยวอันใดกับข้า ถึงเอาแต่จะทำให้นางทอดทิ้งไม่ไยดีข้า” ฉินเจิงแค่นเสียงเย็น “นางอดทนต่อข้า ยอมข้า ปล่อยข้าเลยตามเลยแล้วอย่างไร คนเดียวที่ข้าต้องการในชีวิตนี้ก็คือนาง ไม่ว่าต้องใช้วิธีการใดนางก็ต้องเป็นของข้า” หยุดชั่วครู่ ก่อนลั่นวาจาโหดเ**้ยม “ถึงกลายเป็นเถ้าถ่านก็ยังเป็นของข้า”
“ตระกูลเซี่ยมีรากฐานอยู่ในหนานฉิน จวนจงหย่งโหวก็อยู่ในหนานฉิน เจ้าว่าแผ่นดินหนานฉินไม่เกี่ยวข้องกับนางหรือ รากฐานจวนอิงชินอ๋องของเจ้าก็อยู่ในหนานฉิน จวนตั้งอยู่ในหนานฉิน เสด็จปู่กับเสด็จย่าทรงอุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ามาด้วยความลำบาก สิ่งสำคัญที่สุดทุกอย่างล้วนมอบให้แก่เจ้า เสด็จพ่อก็มอบตราตำหนักใต้ดินให้แก่เจ้าเช่นกัน ก่อนสวรรคตยังมิได้เรียกคืน แผ่นดินหนานฉินครึ่งหนึ่งอยู่ในกำมือเจ้า ตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้าอีกรึ” ฉินอวี้มองเขา “นางมิได้อยากอยู่กับเจ้าแล้ว ไฉนเจ้าจึงต้องบังคับด้วย”
ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าทราบแล้วก็อย่ายั่วโทสะข้าจะดีกว่า ปล่อยข้าพานางกลับไป มิฉะนั้นข้าก็ไม่ถือสาหากจะทำให้เสด็จปู่กับเสด็จย่าผิดหวัง ไม่ถือสาที่จะถล่มหนานฉินให้ราบเป็นหน้ากลองก่อนที่กองทัพเป่ยฉีจะรุกรานเข้ามา” หยุดชั่วครู่แล้วเหยียดหยาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่อยากอยู่กับข้าแล้ว สิ่งที่นางกระทำไปล้วนปากไม่ตรงกับใจ ถึงแม้นางไม่ยินยอมข้าก็ไม่อนุญาต ตอนอยู่เป็นคนของข้า ตอนตายก็เป็นผีของข้า ถึงแม้นางตายไปแล้วข้าก็จะชุบชีวิตนางขึ้นมาใหม่ ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงสิ่งอื่นเลย”
ฉินอวี้พลันโกรธจัด “เจ้าไม่สนใจแผ่นดินหนานฉิน แล้วคิดว่าข้าสนใจรึ ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า แล้วต้องเกี่ยวข้องกับข้ารึ ต่างเป็นลูกหลานตระกูลฉินด้วยกันทั้งนั้น อย่างมากสุดตายไปแล้วก็แค่ฝังร่วมกับแผ่นดินหนานฉิน” เอ่ยจบ เขาก็ตวัดมือออกคำสั่งอย่างรุนแรง “ใครก็ได้ จับตัวฉินเจิงไว้!”
ทหารองครักษ์ลุกจากพื้นก่อนแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งก็รีบเข้ามาล้อมฉินเจิง
“เยี่ยม! กล้าหาญดีนี่ ข้าไม่อยากถูกจับเป็นไปประณาม หากทำได้ก็สั่งทหารองครักษ์ยิงธนูสิ” สีหน้าฉินเจิงมิได้แปรเปลี่ยน
“ยิงธนู!” ฉินอวี้บันดาลโทสะ
ทหารองครักษ์สะดุ้งตกใจ ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนง้างคันธนูเล็งไปยังฉินเจิง