จารใจรัก - ตอนที่ 120-2 พระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ทรงอย่าทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” อิงชินอ๋องก้าวขึ้นมาคว้าฉินอวี้ไว้
ฉินอวี้สะบัดอิงชินอ๋องออก
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ อย่าได้ยิงธนูเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาก้าวขึ้นมาเช่นกัน
ฉินอวี้สะบัดเสนาบดีฝ่ายขวาออก
“ฝ่าบาท อย่าได้ยิงธนูโดยเด็ดขาด คุณหนูฟางหวายังอยู่ในมือท่านอ๋องน้อยเจิงนะพ่ะย่ะค่ะ” หย่งคังโหวก็ก้าวขึ้นมาเช่นกัน
ฉินอวี้สะบัดหย่งคังโหวออก
เมื่อเสนาบดีฝ่ายขวายืนขึ้นแล้วก็ผลักเสนาบดีฝ่ายซ้ายออกมา ก่อนกล่าวเสียงต่ำอย่างมีน้ำโห “เจ้ามิใช่อวดอ้างว่าจงรักภักดีหรือ ยังไม่รีบออกไปกล่าวโน้มน้าวอีก หากวันนี้ท่านอ๋องน้อยเจิงตายไปจริงๆ
ฝ่าบาทกับเขาต้องคำสาปใจเดียวกัน ใครก็มีชีวิตต่อไปมิได้ทั้งนั้น แผ่นดินหนานฉินนี้จะถึงคราวอวสานจริงๆ”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ ก่อนรีบก้าวขึ้นมากอดขาฉินอวี้เอาไว้ “ฝ่าบาท! โปรดระงับโทสะเถิด ยิงธนูมิได้เด็ดขาด พระองค์โปรดนึกถึงราษฎรในแผ่นดินหนานฉินสิพ่ะย่ะค่ะ โปรดนึกถึงไทเฮาที่ทรงรอคอยวันที่พระองค์ได้สืบทอดราชบัลลังก์ด้วยความลำบาก โปรดนึกถึงคำฝากฝังก่อนอดีตฮ่องเต้จะสวรรคตลง โปรดนึกถึง…”
“ไสหัวไป!” ฉินอวี้ยกขาเตะเสนาบดีฝ่ายซ้ายออกไป
เสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกฉินอวี้ถีบออกไปอย่างจัง
เหล่าขุนนางต่างหวาดกลัว มิเคยเห็นฝ่าบาทผู้อ่อนโยนดุจหยกนั้นเกิดโทสะขนาดนี้มาก่อน ชั่วเวลานั้นต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้น “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!”
ฉินอวี้ไม่รับฟังและไม่ปรายตามอง ยังคงลั่นวาจาด้วยเสียงเยือกเย็น “ยิงธนู! ไม่ได้ยินรึ”
ทหารองครักษ์เห็นแบบนี้ก็กัดฟันหยิบธนูมาง้างสุดแรง
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!” ท่ามกลางความกดดัน เสียงแหลมจากลำคอก็ดังขึ้นมาจากระยะไกล ราวกับวิ่งพลาง หอบหายใจพลาง ตะโกนขึ้นพลาง “อย่าได้ยิงธนูโดยเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวมีพระราชโองการสั่งเสียที่อดีตฮ่องเต้ทรงทิ้งไว้ก่อนสวรรคต”
เหล่าขุนนางได้ยินว่าเป็นพระราชโองการสั่งเสีย ต่างก็หันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน
พบว่าผู้มาเยือนคืออู๋เฉวียน หัวหน้าขันทีที่ถวายการรับใช้ข้างพระวรกายอดีตฮ่องเต้
อู๋เฉวียนวิ่งมาด้วยเหงื่อโทรมกาย เมื่อเข้ามาใกล้ก็มิสนว่าจะหอบหายใจก่อน รีบถวายบังคมฉินอวี้ “บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
“พระราชโองการสั่งเสียอดีตฮ่องเต้หรือ” ฉินอวี้หันมามองอู๋เฉวียนเชื่องช้า เอ่ยถามด้วยเสียงเยือกเย็น
“ทูลฝ่าบาท เป็นพระราชโองการสั่งเสียก่อนอดีตฮ่องเต้สวรรคตพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนพยักหน้า
“เหลวไหล!” ฉินอวี้ทรงกริ้ว “ก่อนอดีตฮ่องเต้สวรรคต เราเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา จะยังมีพระราชโองการสั่งเสียอีกได้อย่างไร”
“ฝ่าบาท บ่าวมิกล้าโกหก วันที่ทรงเสด็จกลับเมือง ฝ่าบาททรงได้ยินว่าท่านพาคุณหนูฟางหวากลับมาด้วย จึงตั้งใจออกพระราชโองการสั่งเสียไว้ ย้ำบ่าวว่าหากมิจำเป็นก็ไม่ต้องนำออกมา ตอนนี้สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว บ่าวทำอันใดมิได้จึงขออันเชิญพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนรีบตอบ
“พระราชโองการใด” ฉินอวี้มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
อู๋เฉวียนคุกเข่าลงกับพื้น หยิบม้วนพระราชโองการสีเหลืองทองออกมาจากแขนเสื้อ “โปรดอนุญาตให้กระหม่อมอ่านประกาศด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เอามาให้เรา” ฉินอวี้ยื่นมือมา
อู๋เฉวียนยังคงกางพระราชโองการ เมื่อเห็นฉินอวี้ยื่นมือมาก็ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนถวายพระราชโองการสั่งเสียให้กับฉินอวี้
ฉินอวี้รับพระราชโองการสั่งเสีย เมื่ออ่านเนื้อความด้านในก็มีใบหน้าประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด ประเดี๋ยวคล้ำประเดี๋ยวขาว แปรเปลี่ยนไปร้อยแปดพันเก้า ผ่านไปเป็นนาน เขาก็โยนพระราชโองการสั่งเสียกลับไปให้อู๋เฉวียนด้วยความเยือกเย็น เงยใบหน้าเอ่ยกับฉินเจิงด้วยโทสะ “เสด็จพ่อยังคงเข้าข้างเจ้าดังคาด!” เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินออกไปด้วยโทสะที่ยังคุกรุ่น
เหล่าขุนนางเห็นฉินอวี้เสด็จออกไปแล้วก็ฉายแววกังวล มิทราบว่าพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ทรงเขียนไว้ว่าอย่างไร
อู๋เฉวียนรับพระราชโองการสั่งเสียด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง มองฉินอวี้ที่เสด็จจากไปแล้วแวบหนึ่ง ก่อนอ่านพระราชโองการด้วยเสียงดังฟังชัด “ด้วยโองการของฟ้าดิน อดีตฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาว่า ในวันนี้เราได้สติแล้ว เพิ่งจะนึกถึงการกระทำเมื่อวันวานได้ว่าหลายสิ่งล้วนมิสมควร โดยเฉพาะกับตระกูลเซี่ยนั้นช่างไร้ความยุติธรรม แม้จะรู้สึกตัวช้าไปในนาทีสุดท้าย แต่ก็ไร้กำลังจะพลิกฟ้ากลับมา โดยเฉพาะหลายวันมานี้ยิ่งมีสภาพจิตใจเลอะเลือน การกระทำในวันวาน ไม่ว่าเป็นผลงานหรือความผิดพลาดย่อมมีอนุชนวิพากษ์วิจารณ์ แต่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เราทบทวนแล้วทบทวนอีก ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยวางมิได้ นั่นคือสมรสพระราชทานสองครั้งที่เรามอบให้ ครั้งหนึ่งคืองานสมรสที่เราทำลายลง เป็นของฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวา เราทำให้งานสมรสของหนุ่มสาวเป็นเรื่องล้อเล่นแบบเด็กๆ เป็นที่น่าหัวเราะเยาะโดยแท้ วันนี้เราขอเรียกพระราชโองการหย่าร้างคืน ทิ้งโองการสำนึกความผิดครั้งสุดท้ายไว้เพื่อประกาศต่อใต้หล้า ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวายังคงเป็นสามีภรรยากัน นับจากนี้หากทั้งสองมีเหตุให้มิปรองดองกันอีก ต่างยินดีที่จะแยกทางกัน มิจำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากเราแล้ว หลังจากประกาศออกไป อนุชนคนใดก็มิอาจก้าวก่ายเรื่องของทั้งสองได้อีก รวมถึงฮ่องเต้องค์ใหม่ด้วย หลังแก้ไขเรื่องนี้แล้วเราก็จะได้หลับตาอย่างสบายใจ เหลือเพียงจิตวิญญาณคอยคุ้มครองหนานฉินของเราให้เจริญรุ่งเรืองตลอดกาล จบพระราชโองการ”
เมื่ออ่านพระราชโองการจบ เหล่าขุนนางก็พากันทอดถอนใจ
อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหว และเหล่าขุนนางที่เหลือต่างไม่มีใครนึกฝันว่าอดีตฮ่องเต้จะทรงออกพระราชโองการสั่งเสียแบบนี้ไว้
เหนือความคาดหมายโดยแท้
อู๋เฉวียนส่งพระราชโองการสั่งเสียออกไปให้ทุกคนได้อ่าน
หลังทุกคนได้เห็นก็แน่ใจว่าเป็นพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้จริง ด้านบนมีตราประทับของอดีตฮ่องเต้และตราราชลัญจกรหยกแห่งแผ่นดินประทับอยู่
ต่างคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า อดีตฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการสั่งเสียเอาไว้ในยามเกิดเหตุการณ์แบบนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าช่วยเหลือท่านอ๋องน้อยเจิง คืนคุณหนูฟางหวาให้ท่านอ๋องน้อยเจิง นางยังคงเป็นลูกสะใภ้จวนอิงชินอ๋อง ยังคงเป็นภรรยาของท่านอ๋องน้อยเจิง มิน่าฮ่องเต้องค์ใหม่ถึงได้เสด็จออกไปด้วยโทสะ
เหล่าขุนนางแอบคิดว่า ไม่ว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะโอ้อวด ไม่เอาจริงเอาจริง เย่อหยิ่ง และใช้อำนาจบาตรใหญ่เพียงใด อดีตฮ่องเต้ก็ยังคงมิเคยเอาผิดเขาจริงจัง แต่ปล่อยให้เขากระทำตามใจชอบตลอดมา ยามนี้เพื่อเขาแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะทรงออกพระราชโองการสั่งเสียเช่นนี้ ทั้งยังทิ้งลายพระหัตถ์สำนึกความผิดไว้เพื่อประกาศต่อใต้หล้า แม้แต่ชื่อเสียงพันปีที่อดีตฮ่องเต้ทรงสนพระทัยมากที่สุดก็มิต้องการแล้ว
เหล่าขุนนางต่างถอนหายใจ แต่ก็ยินดีเช่นกัน โชคดีที่มีพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ฉบับนี้ จึงทำให้รอดพ้นจากเหตุนองเลือดของฝ่าบาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงมาได้ หากไม่มีพระราชโองการสั่งเสียนี้ก็มิกล้านึกถึงผลที่ตามมาเลย
หนานฉินในตอนนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งสืบทอดตำแหน่ง มิอาจรับอุปสรรคใหญ่หลวงเช่นนี้ได้แล้ว
ฉินเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา ก่อนกล่าวเยาะเย้ย “ในที่สุดเสด็จอาก็ทรงทำเรื่องที่ถูกต้องเสียที” พูดจบก็มองไปยังแผ่นหลังของฉินอวี้ที่เดินออกไป แค่นหัวเราะเอ่ยขึ้น “แต่พระองค์มิได้เข้าข้างข้า หากแต่ทำเพื่อแผ่นดินหนานฉิน”
ฉินอวี้ชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง มิได้หันกลับมามอง ก่อนจากไปจนมิเห็นเงา
ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาเดินออกไปโดยไม่มัวเสียเวลานาน
ทหารองครักษ์รีบเก็บธนู ก่อนหลีกทางให้เขาเดินออกไป
ฉินเจิงเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ผิวปาก ม้าตัวที่เขาขี่กลับมาพลันวิ่งมาจากเบื้องหน้า เขาอุ้มเซี่ยฟางหวาขึ้นม้าก่อนตะบึงจากไป ไม่นานเสียงกีบเท้าก็ย่ำไกลออกไป มุ่งหน้าออกจากวังหลวง
อิงชินอ๋องเรียกเขาไว้ไม่ทัน เมื่อเขาออกไปไกลแล้วถึงได้สติกลับคืนมา เห็นว่าพระชายาฟื้นขึ้นมาแล้วโดยมีชุนหลานนั่งประคองอยู่ ตนก็รีบเดินมาหา “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ไหวหรือไม่”
“ตายมิได้” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเด็กบ้าคนนี้ ทำข้าตกใจแทบแย่ หากเขาตายไปจริงๆ ข้าคงไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
“เขามันเด็กเลว!” อิงชินอ๋องตำหนิด้วยโทสะ “หากเขาตายก็สมน้ำหน้า เจ้าจะไม่อยู่ด้วยอันใดกัน”
“ถึงเขาเลวก็เป็นลูกชายข้า มีความสามารถกว่าเจ้าเยอะนัก หลายปีที่ผ่านมาท่านเอาแต่ทำเพื่อแผ่นดินหนานฉินโดยไม่กล้าแม้แต่จะหย่อนสะโพกนั่ง หากลูกชายข้ามิทำเช่นนี้ ไหนเลยจะทวงภรรยากลับคืนมาได้” พระชายาอิงชินอ๋องปัดสะโพกแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนกวักมือเรียกชุนหลัน “ท่านอ๋องน้อยกลับจวนไปหรือไม่ ไปกันเถอะ เรากลับจวนกัน”
ชุนหลันพยักหน้า รีบเข้ามาประคองพระชายาอิงชินอ๋อง
ทั้งสองมิได้สนใจอิงชินอ๋องอีก รีบออกจากวังหลวงไป
“เพราะเจ้าตามใจจนเคยตัว!” อิงชินอ๋องตะโกนไล่หลัง
พระชายาอิงชินอ๋องไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง แสร้งมิได้ยิน
อิงชินอ๋องส่ายหน้าหน่าย ถอนหายใจออกมา ก่อนหันไปมองพวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา
พวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาต่างกังวลจนกล่าวไม่ออก วันนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงราชาภิเษก ทว่ากลับเกิดเหตุยุ่งยากแบบนี้ขึ้นมา นับว่าไม่เคยมีมาก่อน และต่อไปคงไม่มีอีกแล้ว