จารใจรัก - ตอนที่ 34-2
กลไกศิลายักษ์
“ซุนจั๋ว เจ้าวาดภาพเป็นหรือไม่” หลี่มู่ชิงถามซุนจั๋ว
“แม้ข้าเรียนวิชาแพทย์กับท่านปู่มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็เคยเรียนวาดภาพเช่นกัน” ซุนจั๋วพยักหน้ารับ
“เจ้ายังจำรูปร่างของสตรีผู้นั้นได้หรือไม่” หลี่มู่ชิงถาม
“จำได้ ตอนนั้นสตรีผู้นั้นแค่พูดกับคนเฝ้าประตูใหญ่ประโยคเดียว แต่ข้ากำลังจะออกจากจวนพอดี ดังนั้นจึงได้เห็นหน้านางแวบหนึ่ง” ซุนจั๋วตอบ “หลังสตรีผู้นั้นจากไป ข้าก็บอกท่านแม่กับเอ้อร์เหนียง จากนั้นก็ขี่ม้าออกมาทันที”
“เช่นนี้ เจ้าก็วาดภาพนางขึ้นมาเถอะ” หลี่มู่ชิงกล่าว
ซุนจั๋วพยักหน้ารับก่อนกล่าวกับหานซู่ “ใต้เท้าหาน ตอนนี้ต้องกลับเมืองหรือไม่ พอกลับไปแล้วข้าจะได้รีบวาดภาพสตรีผู้นั้นขึ้นมา”
หานซู่ลังเลครู่หนึ่งก่อนหันมามองเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย เริ่มเย็นแล้ว ท่านยังจะเดินทางไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกอีกหรือไม่”
“แน่นอนว่าต้องไป ใต้เท้าหานมีสิ่งใดให้ข้าทำอีกหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม “หากบันทึกคำให้การ สาวใช้ทั้งสองของข้าเป็นตัวแทนข้าได้”
“เนื่องจากฝ่าบาททรงไม่แข็งแรง ทั้งล้มประชวรอีกครั้ง แต่คดีฆาตกรรมหมอหลวงซุนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจำต้องรีบรายงานให้องค์รัชทายาททราบโดยเร็วที่สุด เช่นนี้คงต้องรีบเดินทางไปพบรัชทายาทที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก หากพระชายาน้อยก็จะไปที่นั่นด้วย ข้าน้อยจะได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกัน” หานซู่รีบกล่าว
“แล้วที่นี่เล่า?” เซี่ยฟางหวาถาม
“ในเมื่อใต้เท้าหลิวอยู่ที่นี่ด้วย ยังมีกรมอาญาอีกจำนวนหนึ่ง ให้พวกเขาเก็บกวาดที่นี่ก่อนแล้วนำคนกลับไป” หานซู่ตอบ “ถึงอย่างไรคดีฆาตกรรมหมอหลวงซุน เกรงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกด้วย ข้าดูแลกรมอาญา หากอยากตรวจสอบคดีนี้ให้กระจ่าง ช้าเร็วก็ต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกอยู่ดี มิสู้ถือโอกาสไปเสียตอนนี้ดีกว่า”
“ก็ดี” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า มองไปยังหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ “ข้าว่างพอดี เช่นนั้นก็ไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกกับเจ้าด้วยแล้วกัน เริ่มเย็นแล้ว ฝนยังตกหนักเช่นนี้อีก ข้าไม่ค่อยวางใจนัก”
“ขอบใจมาก” เซี่ยฟางหวาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
หลังตกลงกันได้เช่นนี้ หานซู่จึงเรียกหลิวอ้านมาคุย ทั้งสองปรึกษาหารือกันพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเรียกคนของกรมอาญาเข้ามาสั่งงานต่อ
ซุนจั๋วก้าวขึ้นมามองเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย ท่านปู่ข้า…” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกัดริมฝีปาก “ท่านต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก แล้วคดีของท่านปู่จะได้รับการสะสางแน่หรือ”
“ขอเพียงมีคนก่อเหตุย่อมสะสางคดีได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพิรุธมากถึงเพียงนี้อีก” เซี่ยฟางหวามองเขา ก่อนมองไปยังสตรีอีกสองคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านข้างจนไม่อาจตัดสินใจเองได้แล้ว ยามนี้มีเพียงเด็กหนุ่มคนนี้ที่ใช้งานได้ ไม่คิดเลยว่าจวนหมอหลวงซุนจะมีคนในครอบครัวน้อยขนาดนี้ นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “อย่างนี้แล้วกัน เจ้ากลับไปพร้อมกับคนของกรมอาญาก่อน ข้าจะส่งจดหมายกลับไปที่จวนอิงชินอ๋อง ขอให้พระชายาช่วยดูแลเรื่องนี้ ต้องสะสางคดีเสร็จในเร็ววันแน่นอน”
“ขอบคุณพระชายาน้อย” ซุนจั๋วขอบคุณนางด้วยความเคารพ
เขาคิดว่าหากไม่ได้เซี่ยฟางหวา เรื่องคนขับรถฆ่าตัวตายเมื่อครู่นี้คงไม่ได้รับการเปิดเผยเป็นแน่ เขาเชื่อเซี่ยฟางหวา ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้รับการสั่งสอนมาจากท่านปู่ตั้งแต่เด็ก ระยะหลังมานี้ท่านปู่มักเอ่ยถึงบ่อยๆ ว่าคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวไม่ธรรมดา มีวิชาแพทย์เข้าขั้นเซียน ตนที่ขวนขวายหาความรู้ในวิชาแพทย์มาทั้งชีวิตยังเทียบนางไม่ได้ สมกับประโยคที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า หากมีโอกาสได้เรียนรู้จากนาง ย่อมทำให้วิชาแพทย์ของตนก้าวหน้าอีกขั้นแน่นอน ถ้อยคำที่เอ่ยถึงเต็มไปด้วยความชื่นชม ดังนั้นเมื่อเทียบกับขุนนางจิงจ้าว
อิ่นและกรมอาญาแล้ว ยามนี้เมื่อทำใจให้สงบลง กับคดีฆาตกรรมท่านปู่เขาย่อมเชื่อนางมากกว่า
ไม่นานหานซู่ก็สั่งงานเรียบร้อย อวี้จั๋วขึ้นรถม้าใหม่อีกครั้ง เซี่ยฟางหวาเข้าไปนั่งข้างใน
หลี่มู่ชิงกับหานซู่ต่างสวมเสื้อกันฝนแล้วขี่ม้าออกไปพร้อมกัน
ทั้งหมดเริ่มเดินทางไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตกต่อ
“โชคดีที่คุณชายหลี่นำคนของกรมอาญามาด้วย หากไม่มีคุณชายหลี่ คุณหนูจะต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเป็นแน่ ไม่มีทางปลีกตัวออกเพื่อไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตกต่อ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อนั่งอยู่ในรถ เมื่อออกห่างจากสถานที่เกิดเหตุแล้วก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวาเสียงเบา
เซี่ยฟางหวาเงียบ
“คุณหนู เรื่องวันนี้น่าประหลาดยิ่งนัก หมอหลวงซุนยังดีๆ อยู่เลย นึกไม่ถึงว่าจะถูกสังหารเช่นนี้”
ซื่อฮว่ากล่าวอีก “ตอนนี้จวนต่างๆ ในเมืองคงทราบข่าวหมดแล้ว ท่านว่าหากทำเพื่อขัดขวางหมอหลวงซุนไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตก เช่นนั้นขัดขวางหมอหลวงซุนคเดียวจะมีประโยชน์ใด ถึงแม้เขาตายไป แต่ยังมีคุณหนูอยู่อีกคน วิชาแพทย์ของคุณหนูเหนือชั้นกว่าหมอหลวงซุนเสียอีก”
“ไม่เหมือนกัน หมอหลวงซุนเป็นหมอหลวงอาวุโสจากสำนักหมอหลวง อยู่ในเมืองมานานหลายปี ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับจวนใดๆ หรือวังหลวงมาก่อน” ซื่อม่อกล่าว “คุณหนูก็ไม่เหมือนกัน วิชาแพทย์ของคุณหนูสูงก็จริง แต่ไม่มียศทางราชการ นอกจากเคยช่วยองค์ชายแปดกับฮูหยินหย่งคังโหวแล้วถูกลือกันออกไปก็ไม่มีผู้ใดทราบอีก”
ซื่อฮว่าพยักหน้า ยังอยากกล่าวบางอย่าง แต่เห็นว่าเซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียงใดจึงเงียบลง
ซื่อม่อก็เงียบตามเช่นกัน
เซี่ยฟางหวานั่งพิงผนังรถเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใดตลอดทาง
ฝนข้างนอกราวกับตกหนักยิ่งกว่าเดิม ม่านสายฝนตกกระทบหลังคารถ นอกจากฝนยังตามมาด้วยลม โจมตีผู้สัญจรเดินทางอย่างไร้ความปราณี
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็โพล่งขึ้น “ท่านพี่เดินทางไปได้สามวันแล้วสินะ”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
“ฝนนี้ดูท่าจะตกทั่วสารทิศ ท่านพี่เองก็น่าจะเดินทางฝ่าสายฝนเช่นนี้เหมือนกัน” เซี่ยฟางหวากล่าว
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้าพร้อมกัน “คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ทั้งลมทั้งฝนหนักถึงเพียงนี้ หากฝืนเดินทางไม่ไหว ท่านโหวคงหาที่พักระหว่างทางเป็นแน่ ถึงอย่างไรยังมีท่านหญิงเหลียนเดินทางไปด้วย”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
รถม้าเคลื่อนตัวต่อไป นอกจากเสียงลมและฝนก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก
เดินทางเช่นนี้ไปได้สิบกว่าลี้จนมาถึงทางภูเขาที่มุ่งตรงไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตก ขณะเลี้ยวเข้าสู่ทางภูเขา ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นจากบนเนินเขา
“รีบถอยกลับ!” หลี่มู่ชิงตะโกนเสียงดัง
อวี้จั๋วมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว รีบดึงเชือกคุมบังเ**ยน รถม้าโงนเงนไปหลายก้าว
หลี่มู่ชิงกระโจนม้าขึ้นมาขวางข้างหน้า ตวัดฝ่ามือแย่งเชือกบังเ**ยนมา ออกแรงดึงจนรถม้าถอยหลังไปสิบกว่าก้าว
ตามมาด้วยเสียงครั่นครืนขนาดใหญ่ราวกับมีบางสิ่งกลิ้งตกลงมาจากเนินเขา
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อตกใจ ขณะจะออกไปดู เซี่ยฟางหวาก็ยกมือห้ามทั้งสองไว้แล้วเลิกม่านดู พบว่ามีก้อนหินขนาดใหญ่สิบกว่าก้อนกำลังกลิ้งตกลงมาจากเนินเขาข้างหน้า ตกจากกลางเขากลิ้งมาตามทาง เมื่อครู่หากหลบไม่ทัน เช่นนั้นคงถูกหินขนาดใหญ่ทับตายเป็นแน่
นางมีสีหน้าเยือกเย็น หันไปมองหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงก็กำลังถือเชือกบังเ**ยนมองมาทางนางเช่นกัน
“ที่นี่…เหตุใดถึงมีหินภูเขากลิ้งลงมาได้” อวี้จั๋วตกใจจนหน้าซีดเผือด
“มีหินภูเขากลิ้งตกลงมาย่อมเป็นฝีมือมนุษย์!” เซี่ยฟางหวาวางนิ้วโป้งและนิ้วชี้ไว้ที่ริมฝีปาก ทำการผิวปากแผ่วเบา ทันใดนั้นบุรุษชุดดำหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นในที่ลับตาห่างออกไปข้างหลัง จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปยังที่ที่มีหินขนาดใหญ่กลิ้งตกลงมาจากกลางเขาด้วยความรวดเร็วดั่งลูกธนู
หลี่มู่ชิงเดิมทีก็จะเรียกคนมาเช่นกัน เห็นเช่นนี้จึงวางมือลง
หานซู่จากกรมอาญาก็ตกใจเช่นกัน เมื่อครู่เขาขี่ม้าเคียงบ่าเคียงไหล่มาพร้อมหลี่มู่ชิง ทว่าทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น หลี่มู่ชิงก็ดันม้าของเขาถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนตัวเองก็กระโจนไปข้างหน้า เขาเห็นกับตาว่าหินยักษ์กลิ้งตกลงมาตรงหน้าหลี่มู่ชิง หากเขาใช้วิทยายุทธ์พลาดไปแม้แต่นิดเดียวคงถูกหินทับไปแล้ว
หลังหินยักษ์กลิ้งตกลงมาอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เส้นทางเบื้องหน้าก็ถูกปิดตายด้วยความสูงสองกำแพงกั้น
“สะ…เส้นทางนี้ เหตุใดถึงได้…ต่อให้ฝนตกหนักกว่าตอนนี้ หินภูเขาขนาดใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่มีทางกลิ้งตกลงมาพร้อมกันได้ ประจวบเหมาะกับตกลงมาในขณะที่เราเดินทางผ่านอีก” หานซู่โมโห “ใครกันแน่ ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
“รอสักครู่ก็ทราบแล้ว” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้นด้วยความสุขุม
“ดูท่าทางเรื่องในวันนี้จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว” หลี่มู่ชิงพลันยิ้มออกมา “หลายปีนี้ไม่เคยพบเรื่องน่าสนุกเช่นนี้มาก่อน ก่อคดีสังหารผู้อื่นที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกเมื่อคืนก่อน ตามมาด้วยคดีฆาตกรรมหมอหลวงซุน ยามนี้ยังมีคดีวางแผนสังหารด้วยหินยักษ์อีก”
“ค่ายใหญ่เขาตะวันตกห่างจากเมืองหลวงแค่สามสิบลี้ ตอนนี้เพิ่งเดินทางมาได้ยี่สิบลี้ ยังเหลือแค่สิบลี้เท่านั้น หินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ก้อนหนึ่งหนักร้อยกว่าชั่ง กว่าจะย้ายเสร็จฟ้าก็มืดพอดี” หานซู่กล่าว
“ถึงฟ้ามืดก็ต้องไปให้ถึงค่ายทหาร ข้าก็อยากรู้นักว่าค่ายใหญ่เขาตะวันตกมีเหตุใดให้ไปไม่ถึง”
เซี่ยฟางหวายิ้มเย็น
หานซู่พลันพบว่าตอนพระชายาน้อยเผยสีหน้าเย็นชานั้นดูแล้วดุดันเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างจากสตรีอ่อนโยนทั่วไป สถานการณ์ตอนนี้ หากเป็นสตรีทั่วไปเกรงว่าคงตกใจจนหวีดร้องขาอ่อนไปแล้ว มิน่าเล่าถึงทำให้ท่านอ๋องน้อยเจิงทุ่มเทความคิดสร้างอุบายเพื่อแต่งเข้าจวนให้ได้
รอมาประมาณสองถ้วยชา ชิงเกอก็นำคนย้อนกลับมา รายงานเซี่ยฟางหวาว่า “เจ้านาย จับตัวผู้ก่อเหตุมิได้ หินขนาดใหญ่ถูกวางกลไกลไว้ก่อนแล้ว อีกด้านหนึ่งของภูเขาติดตั้งกลไกเอาไว้ ขอเพียงดึงโซ่เหล็ก หินขนาดใหญ่ก็จะกลิ้งตกลงมา ตอนที่เราไปถึงก็ไม่พบร่องรอยของผู้ก่อเหตุแล้ว อีกอย่างฝนตกหนักถึงเพียงนี้ นอกจากกลไกที่วางไว้ก็ไม่เหลือร่องรอยใดเลย”