จารใจรัก - ตอนที่ 36-1
ผ่านเหตุการณ์อันตรายล่อแหลมอย่างหมอหลวงซุนถูกสังหาร วางกลไกศิลายักษ์สกัดการเดินทาง รวมถึงฝูงหมาป่าเข้าล้อม คนอื่นยังดี ทว่าหานซู่ผู้นี้แม้ดูแลกรมอาญามาหลายปี แต่ก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เป็นตายเท่ากันอันน่าอันตรายเช่นนี้มาก่อนจึงทนไม่ไหว เขาฟุบอยู่บนหลังม้าด้วยความอ่อนแรง
“ใต้เท้าหาน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” หลี่มู่ชิงมองเขาด้วยความเป็นห่วง
หานซู่ส่ายศีรษะตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” หลี่มู่ชิงถามอีก
“ข้ายังทนไหว อีกไม่ไกลแล้ว ครั้งนี้คงไม่มีเรื่องใดแล้วกระมัง” หานซู่ตระหนกระคนสั่นเทา
“ก็ไม่แน่” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า
“ใครกันแน่ วางแผนลอบทำร้ายต่อเนื่องเช่นนี้หมายจะสังหารพวกเราชัดๆ เมื่อครู่หากไม่ได้อวี้จั๋วไล่ฝูงหมาป่าไป เกรงว่าตอนนี้เราคงถูกฝูงหมาป่าขย้ำตายไปแล้ว ข้าอยู่มาครึ่งชีวิต ทำคดีใหญ่ในกรมอาญามาไม่น้อย ทว่าไม่เคยเจออันตรายเช่นวันนี้มาก่อน” หานซู่ที่กำลังจะยืดตัวนั่งได้ยินเช่นนั้นก็ฟุบลงกับหลังม้าใหม่อย่างหมดแรง
“เมืองหลวงไม่สงบสุขมาตลอด เมื่อก่อนยังพอสร้างจินตนาการแสร้งว่าสงบสุขบังหน้าได้บ้าง ยามนี้แม้แต่จินตนาการยังทำไม่ได้” หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา
หานซู่ก็ถอนหายใจตาม
หลี่มู่ชิงมองไปยังทิศที่ตั้งค่ายใหญ่เขาตะวันตก สายตามองทะลุผ่านฝนห่าใหญ่ที่เสมือนมุกตกลงมา สีหน้าประหลาดยิ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หานซู่ก็กระซิบถามขึ้น “คุณชายหลี่ เด็กรับใช้ของท่านอ๋องน้อยคนนี้เป็นใครมาจากไหน ท่านพอทราบหรือไม่”
หลี่มู่ชิงพยักหน้ารับ “เขาเป็นลูกของบุตรีทายาทจากตระกูลหวาง ตระกูลมารดาของไทเฮา”
“ข้าดูแลกรมอาญา ทราบข้อมูลตระกูลใหญ่ละเอียดราวกับเส้นลายมือตัวเอง บุตรีคนใดหรือ” หานซู่ผงะตกใจ
“หวางชิงเม่ย”
“หวางชิงเม่ยที่เกี่ยวดองกับทายาทตระกูลอวี้จากเป่ยฉีนั่นหรือ” หานซู่มีสีหน้าเปลี่ยนไป ลดน้ำเสียงต่ำลงหลายขุม
หลี่มู่ชิงพยักหน้าตอบ
หานซู่เงียบลงพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมา “สามร้อยปีก่อน ใต้หล้าเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ตระกูลใหญ่ต่างเลือกฝ่ายเข้าร่วม โดยที่ตระกูลหวางเข้าร่วมกับฉิน ส่วนตระกูลอวี้เข้าร่วมกับฉี สงครามม่อเป่ยสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับตระกูลหวางและตระกูลอวี้ การทำสงครามปราบปรามหลายปีทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณทางทหาร ราษฎรต้องทุกข์ยากลำบากเพียงใดไม่ต้องพูดถึง สองฝ่ายทำได้เพียงฟื้นฟูกองทัพ หนานฉินกับเป่ยฉีต่างมีฐานะเท่าเทียมและสร้างป้อมประจันหน้ากัน พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามร้อยปีแล้ว ตระกูลหวางกับตระกูลอวี้ต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ไม่นึกเลยว่าจะเกิดกรณีอย่างหวางชิงเม่ยกับอวี้ฉี่เหยียนได้ มิน่าเขาถึงใช้แซ่อวี้”
หลี่มู่ชิงไม่พูดจา
“ท่านอ๋องน้อยเจิงช่างไม่กลัวฟ้าดิน นึกไม่ถึงว่าจะนำอวี้จั๋วคนนี้มาเป็นเด็กรับใช้ประจำกายอย่างเปิดเผย ไม่กลัวว่าฝ่าบาทกับรัชทายาทจะโจมตีประณามเลยแม้แต่น้อย” หานซู่กล่าวอีกครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ท่านคิดว่าฝ่าบาทกับรัชทายาทมิทรงทราบหรือ” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า “ถึงอย่างไรตระกูลหวางก็เป็นตระกูลมารดาของไทเฮา”
หานซู่นึกไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง “จริงด้วย ตระกูลหวางเป็นตระกูลมารดาของไทเฮา ตั้งแต่หนานฉินก่อตั้งขึ้น ตระกูลหวางนอกจากให้กำเนิดพระอาจารย์ของฮ่องเต้และส่งไทเฮาเข้าวังหลวงก็มักวางตัวสงบเสงี่ยมเสมอมา เพียงใช้ชีวิตอย่างสงบที่ไท่อัน ดำรงตำแหน่งไท่อันป๋อ”
หลี่มู่ชิงยิ้มรับ
หานซู่จึงไม่กล่าวมากความอีก เรื่องบางอย่างมิอาจเอ่ยออกมาได้
เซี่ยฟางหวานั่งอยู่ภายในรถม้า ตั้งแต่นางบำรุงร่างกายและฟื้นฟูกำลังภายในมาได้ ประสาทสัมผัสอันว่องไวก็กลับคืนมาแล้วเช่นกัน ถึงแม้หานซู่ตั้งใจลดน้ำเสียงลง แต่นางก็ยังได้ยินบทสนทนาข้างนอกชัดเจน คิดในใจว่าตระกูลหวางไม่ได้อยากดำรงตำแหน่งไท่อันป๋ออย่างสงบ เพียงแต่ต้องเป็นไท่อันป๋ออย่างไม่มีทางเลือก
ความจริงแล้วตระกูลหวางไร้บุตรมีความสามารถจึงไม่อาจเรียกร้องความเจริญรุ่งเรืองได้ หากใจร้อนก่อความวุ่นวาย เช่นนั้นตระกูลหวางที่ฟื้นฟูมากว่าสองร้อยแปดสิบปีอาจต้องล่มสลายลงในวันหนึ่ง ตระกูลหวางไม่อาจทนรับความเสียหายซ้ำรอยกับเมื่อสองร้อยเจ็ดสิบเก้าปีก่อนได้อีกแล้ว รับไม่ไหวอย่างแน่นอน
ดังนั้นตระกูลหวางจึงได้แต่ต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
อีกอย่างสถานการณ์ของตระกูลอวี้กับตระกูลหวางก็แตกต่างกัน ตระกูลอวี้มีบุตรมากพรสวรรค์กำเนิดมาทุกยุคสมัย เพียงแต่รุ่นนี้บุตรมีพรสวรรค์สองคนทยอยกันเกิดเรื่อง คนหนึ่งคืออวี้ฉี่เหยียน คนหนึ่งคือเหยียนเฉิน อวี้ฉี่เหยียนเกิดหลงรักบุตรีจากตระกูลคู่อริ ทั้งสองต่างไม่ยอมรับชะตากรรมของตระกูลจึงได้แต่ออกจากตระกูลมาสร้างตัวข้างนอก ส่วนเหยียนเฉินไปยังเขาไร้นาม หลังลงเขามาแล้วก็เพราะถูกสัญญาของนางผูกมัด เพื่อก่อตั้งหอเทียนจีเก๋อให้นาง ยามนี้เพิ่งจะได้กลับตระกูลอวี้ เพียงแต่เหตุผลหลักที่เดินทางกลับตระกูลอวี้ก็เป็นเพราะนางอีกเช่นกัน
ไม่ว่าตระกูลหวางหรือตระกูลอวี้ เนื้อแท้ต่างเป็นน้ำขุ่นเหมือนกัน
ตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็เหมือนกัน อย่างเช่นตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น ตระกูลชุยแห่งชิงเหอเป็นต้น ความจริงหากไตร่ตรองดูแล้ว ตระกูลเซี่ยในตอนนี้ ตั้งแต่แยกตระกูลและบรรพบุรุษออกถึงได้สงบลงอย่างแท้จริง เมื่อไม่มีเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวข้องแล้วจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้รากฐานสงบสุขมากที่สุด
ระยะทางครึ่งหลังไม่เกิดเหตุการณ์อันตรายใดๆ ขึ้นอีก มาถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตกอย่างราบรื่น
ประตูค่ายใหญ่เขาตะวันตกปิดเงียบเชียบ ทหารพร้อมด้วยหอกยาวติดพู่ยืนยามอยู่หน้าประตู ดูเคร่งขรึมอย่างยิ่งท่ามกลางฝนตกหนัก
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อหยุดรถม้าแล้วเลิกม่านออก อวี้จั๋วกระโดดลงจากรถก่อน เซี่ยฟางหวากางร่มเดินตามลงมาทีหลัง
หลี่มู่ชิงกับหานซู่ก็ลงจากม้าเช่นกัน
อวี้จั๋วมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นนางพยักหน้าให้ก็ก้าวขึ้นมา “คำสั่งของท่านอ๋องน้อย รับพระชายาน้อยมาถึงแล้ว รีบเข้าไปรายงานด้วย”
ทหารนายหนึ่งเดินหายเข้าไปข้างใน
รออยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีคนเดินออกมา เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว หันมามองหลี่มู่ชิง
“คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอกกระมัง” หลี่มู่ชิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม
จิตใจของเซี่ยฟางหวาเยือกเย็นขึ้น
“ยามนี้แล้ว อีกครึ่งชั่วยามฟ้าก็มืดแล้ว” หานซู่มองท้องฟ้า ก่อนสะบัดเสื้อผ้าที่เปียกฝนไปครึ่งหนึ่ง
เซี่ยฟางหวาเม้มปากก่อนก้าวเท้าเดินไปข้างใน
ทันทีที่นางขยับตัว ทหารหน้าประตูก็หันหอกเข้าหานางโดยพร้อมเพรียงกัน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึม “ที่นี่คือค่ายทหาร พระชายาน้อยโปรดหยุดเถิด หากไม่มีคำสั่งก็ห้ามเข้าไปโดยเด็ดขาด”
“หากบุกเข้าไปก็มีความผิดใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
ทหารนายนั้นกำหอกแน่นขึ้นทันที ทหารทุกคนต่างตื่นตัวเพื่อเตรียมป้องกัน
“บุกเข้าค่ายทหารโดยพลการย่อมมีความผิด แม้เจ้ามีวิทยายุทธ์สูง แต่ก็ทำอันใดทหารที่กรูกันเข้ามาไม่ได้ กองทัพสามแสนนายไม่ได้มีประดับไว้ให้ชื่นชม ในเมื่อพี่ฉินเจิงเป็นคนเชิญเจ้ามาก็รออีกหน่อยเถอะ” หลี่มู่ชิงก้าวขึ้นมากล่าวบอกเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า พวกตนมีแค่ไม่กี่คนย่อมบุกเข้าไปข้างในไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องนี้นางทราบดี
เวลาเลยผ่านไปทีละน้อย กระทั่งฟ้าใกล้มืดเต็มที ในที่สุดข้างในก็มีการเคลื่อนไหว
ทหารที่เข้าไปรายงานก่อนหน้านี้เดินออกมา ยังมีขันทีอาวุโสที่เดินออกมากับเขาด้วยอีกหนึ่งคน
เซี่ยฟางหวาจำได้ทันทีว่าขันทีอาวุโสคนนี้คืออู๋เฉวียน นางพินิจมองเขา พบว่าเขาเดินมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมพร้อมฝีเท้าอันรีบร้อน
ประตูใหญ่เปิดออก อู๋เฉวียนมองแวบหนึ่งราวกับไม่มีกระจิตกระใจจะทำความเคารพ รีบเอ่ยขึ้นว่า “พระชายาน้อย เร็วเข้า รีบตามกระหม่อมเข้าไปข้างในเถอะ”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นจึงรีบก้าวเท้าเข้าไป
หลี่มู่ชิงกับหานซู่ อวี้จั๋ว ซื่อฮว่าและซื่อม่อเดินตามหลังนางเข้าไป
อู๋เฉวียนเห็นว่าหลี่มู่ชิงกับหานซู่ตามมาด้วยก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด เพียงเดินด้วยความรีบร้อนพลาง กล่าวพลาง “พระชายาน้อย เหตุใดท่านถึงเพิ่งมาถึงตอนนี้”
“ระหว่างทางเกิดเรื่องเล็กน้อย” เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง
“ตอนนั้นบอกว่าหมอหลวงซุนจะมาด้วยกันมิใช่หรือ หรือว่าฝนตกหนักเกินไป เพราะหมอหลวงซุนชราแล้วจึงมามิได้” อู๋เฉวียนหันมามองเซี่ยฟางหวา พบว่านางตอบสั้นๆ ก็กล่าวขึ้นอีก
“หมอหลวงซุนออกจากเมืองก่อนข้าก้าวหนึ่ง แต่ถูกสังหารระหว่างเดินทางได้ห้าลี้” เซี่ยฟางหวาตอบ
อู๋เฉวียนผงะตกใจ หยุดเท้าโดยพลัน
“ใต้เท้าหานจากกรมอาญาเดินทางมาด้วยเพราะเหตุนี้” เซี่ยฟางหวาหันมามองหานซู่ที่อยู่ข้างหลัง
อู๋เฉวียนสมกับเป็นหัวหน้าขันทีผู้ติดตามฮ่องเต้มาเป็นเวลาหลายปีและเห็นความเป็นตายมาหลายครั้ง เมื่อหายตกใจแล้วก็ไม่เอ่ยคำใดอีก เดินต่อด้วยความรีบร้อน ไม่ซักถามขึ้นอีก
“กงกงท่านมาที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าฝ่าบาทก็เสด็จมาด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวากลับมีเรื่องอยากถามแทน
“ฝ่าบาทมิได้เสด็จมาด้วย ฟังว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก เมื่อรัชทายาททรงได้รับรายงานก็ปฏิบัติตามพระบัญชาของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงส่งกระหม่อมมาพร้อมกับรัชทายาทด้วย” อู๋เฉวียนส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ฉินเจิงเล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“อยู่ในตำหนักใหญ่ขอรับ” อู๋เฉวียนรีบตอบ
เซี่ยฟางหวาเห็นเขารีบเดินคล้ายมีเรื่องร้อนใจ ทั้งใบหน้ากลัดกลุ้มจึงซักถาม “กงกง เกิดอะไรขึ้นกับ
ฉินเจิงใช่หรือไม่”
“มิปิดบังพระชายาน้อย เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขอรับ” อู๋เฉวียนไม่แม้แต่จะหยุดเดินหากแต่พยักหน้ารับ
“ฉินเจิงเป็นอะไร” เซี่ยฟางหวาเร่งฝีเท้าขึ้นมาคว้าแขนเขาไว้
“ไอ้หยา พระชายาน้อย ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ไม่ใช่ท่านอ๋องน้อยเท่านั้นที่เกิดเรื่อง ยังมีองค์รัชทายาทด้วย ท่านมีวิชาแพทย์จึงรอท่านมาถึง รีบไปดูเถิด ท่านเห็นแล้วก็ทราบเอง หมอในค่ายต่างตรวจดูแล้วแต่ก็ไม่ทราบสาเหตุ สองชั่วยามก่อนรัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงสลบมิได้สติ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น”
เซี่ยฟางหวาตกใจ ฉินอวี้ด้วยหรือ เขาก็หมดสติไปด้วย นางรีบปล่อยอู๋เฉวียน ไม่ไล่ซักถามต่ออีก แต่รีบเดินตามเขาไปด้วยความรีบร้อนอีกคน
เดินผ่านลานฝึกซ้อม อ้อมบ้านพักนายทหาร ก็มาถึงตำหนักใหญ่
อู๋เฉวียนหันมามองเซี่ยฟางหวา ก่อนนำนางเดินเข้าไปข้างใน