จารใจรัก - ตอนที่ 36-2
ภาพตรงหน้า ภายในห้องรับรองของตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยคนกลุ่มหนึ่งทั้งกำลังนั่งและยืนอยู่ คนที่เซี่ยฟางหวารู้จักในนั้นมีเสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว ราชเลขากรมกลาโหม รวมถึงชุยอี้จือรองราชเลขากรมกลาโหมที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนที่นางไม่รู้จัก และยังมีผู้สวมเครื่องแบบทหาร เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารที่มียศสูงมาก
เมื่ออู๋เฉวียนนำทางเซี่ยฟางหวาเข้ามาก็เอ่ยขึ้น “พระชายาน้อยมาแล้ว นอกจากนาง ยังมีคุณชายหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวา และใต้เท้าหานจากกรมอาญา”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นเซี่ยฟางหวาแล้ว เซี่ยฟางหวาเป็นคนช่วยหลูเสวี่ยอิ๋งบุตรีของตน เขาเห็นนางจึงพยักหน้าให้ด้วยความนุ่มนวล ก่อนถามขึ้น “มีแค่พระชายาน้อยหรือ หมอหลวงซุนเล่า”
อู๋เฉวียนหันมามองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาหันมามองหานซู่
หานซู่เห็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหว ทั้งสองต่างมียศทางราชการสูงกว่าตนจึงรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านโหว หมอหลวงซุนถูกลอบสังหารระหว่างเดินทางมา ข้าน้อยได้ยินว่าองค์รัชทายาทอยู่ที่นี่ คิดว่าหมอหลวงซุนมีฐานะต่างจากคนทั่วไป นอกจากนี้ก็ด้วยเรื่องค่ายใหญ่เขาตะวันตก หมอหลวงซุนจึงถูกสังหารระหว่างเดินทางมาที่นี่ ดังนั้นข้าน้อยจึงมาเพื่อรายงานรัชทายาท และมาเพื่อตรวจสอบขอรับ”
“หมอหลวงซุนถูกสังหารรึ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายผงะตกใจอย่างไม่อยากเชื่อ
“ใต้เท้าหาน เหตุใดท่านถึงมอมแมมเช่นนี้” หย่งคังโหวก็ผงะตกใจเช่นกันพลางมองหานซู่
ทุกคนต่างเห็นว่าบนใบหน้าหานซู่มีบาดแผลทั่วใบหน้า แม้แผลเล็กน้อยแต่ถูกน้ำฝนสาดใส่จึงซีดขาวและบวมเป่ง เสื้อผ้าบนตัวเขาก็มีรอยขาดเช่นกัน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักจะมอมแมมเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง
“มิอาจบรรยายได้ด้วยคำเดียว ข้าน้อยกับพระชายาน้อย และคุณชายหลี่พบเหตุลอบสังหารต่อเนื่องระหว่างเดินทางมา เกือบจะมาไม่ถึงที่นี่แล้ว” หานซู่ถอนหายใจออกมา กล่าวด้วยความหวาดกลัวที่ยังเหลืออยู่
“เกิดอะไรขึ้น” หย่งคังโหวถามต่อ
เขากำลังจะเอ่ยตอบ เซี่ยฟางหวาก็ยกมือขัดแล้วเอ่ยบอกอู๋เฉวียน “ฉินเจิงอยู่ไหน พาข้าไปหาเขา”
“อยู่ข้างในขอรับ เชิญพระชายาน้อย” อู๋เฉวียนนำทางนางเดินเข้าไปข้างใน
เซี่ยฟางหวารีบเดินตามเขา
หลี่มู่ชิงเองก็เดินตามเซี่ยฟางหวาไปเช่นกัน
เสนาบดีฝ่ายซ้ายลุกขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยสำคัญกว่า เรื่องอื่นพักไว้ก่อนเถอะ” พูดจบก็เดินตามเข้าไปข้างใน
หย่งคังโหวพยักหน้า หยุดซักถามแล้วตามเข้าไปข้างใน
ผู้อาวุโสที่เหลือมองหน้ากันก่อนตามเข้าไปด้วย
หลังเข้ามาในตำหนักชั้นใน เซี่ยฟางหวาก็เห็นฉินอวี้กับฉินเจิงนอนเรียงอยู่บนเตียง ทั้งสองหลับตานิ่งไม่ไหวติง นางรีบก้าวเข้ามาใกล้ๆ ฉินเจิงอยู่ริมหน้าต่างพอดี นางจึงยื่นมือไปจับมือเขา
ทันทีที่นางสัมผัสโดนมือเขาพลันเหมือนถูกไฟดูด กลางฝ่ามือของฉินเจิงมีแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งแล่นโจมตีมือนางโดยตรง เซี่ยฟางหวาไม่ทันตั้งตัว ชั่วพริบตาจึงถูกแรงดีดอย่างรุนแรงจนถอยหลังหนี
เพราะเกิดขึ้นกะทันหัน เซี่ยฟางหวาไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย โชคดีที่หลี่มู่ชิงยืนอยู่ข้างหลังนางจึงเอื้อมมือมารับนางทัน นางจึงไม่ได้ถูกดีดออกไปนอกห้องหรือล้มลง
เซี่ยฟางหวาทรงตัวให้มั่น ก้มมองฝ่ามือตนเอง พบว่าบริเวณที่สัมผัสโดนมือของฉินเจิงมีเลือดไหลซึมออกมา
“เกิดอะไรขึ้น” หลี่มู่ชิงเห็นแล้วก็มีสีหน้าเคร่งเครียดก่อนถามขึ้น
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
อู๋เฉวียนก้าวขึ้นมาจากข้างหลัง เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อุทาน “ไอ้หยา” ออกมาแล้วรีบขอโทษขอโพย “กระหม่อมสมควรตาย เมื่อครู่ลืมเตือนพระชายาน้อยไปเสียสนิท ตั้งแต่องค์รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยหมดสติไปก็ไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้อง หากใครแตะต้อง ร่างกายของเขาจะปล่อยพลังอันรุนแรงออกมา ดีดผู้แตะต้องกระเด็นออกไป”
“เขาหมดสติไปได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“ท่านอ๋องน้อยมาถึงค่ายก่อน องค์รัชทายาทตามมาทีหลัง หลังจากกระหม่อมมาถึงพร้อมองค์รัชทายาท ท่านอ๋องน้อยก็เห็นด้วยกับคำแนะนำของขุนนางชันสูตรศพว่าควรผ่าศพของหลูอี้จากตระกูลหลูแห่งฟานหยางเพื่อตรวจสอบ แต่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่อนุญาต บอกว่าการผ่าศพเพื่อชันสูตร การฝังคนตายเช่นนี้เชื่อว่าจะทำให้ศพไม่สมบูรณ์ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน องค์รัชทายาทก็คิดว่าไม่ควรทำ แต่ท่านอ๋องน้อยบอกว่าหากไม่ผ่าศพ เกรงว่าจะไม่อาจหาสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกันจึงเริ่มใช้กำลัง แต่จู่ๆ ก็หมดสติไป”
“พวกเขาประมือกันนานแค่ไหน แลกกันกี่กระบวนท่า” เซี่ยฟางหวาถาม
“ไม่กี่กระบวนท่าก็หมดสติลงแล้ว” อู๋เฉวียนเองก็ไม่เข้าใจ “กระหม่อมอยู่ด้านข้าง ไม่รู้เพราะเหตุใด”
“พวกเขาเถียงกันที่ไหน” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“นอกตำหนักขอรับ” อู๋เฉวียนตอบ
“ในเมื่อพวกเขาห้ามใครแตะตัว แล้วย้ายมาที่เตียงได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“ท่านอ๋องน้อยไม่ยอมให้ผู้ใดแตะตัว แต่องค์รัชทายาทยอมให้แตะได้ ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังท่านอ๋องน้อยกับองค์รัชทายาทหมดสติไป ฝ่ามือก็ดึงดูดเข้าหากัน แยกออกจากกันมิได้ เมื่อเคลื่อนย้ายรัชทายาท ท่านอ๋องน้อยก็ย้ายมาที่เตียงด้วยเช่นกัน” อู๋เฉวียนรีบตอบ
เซี่ยฟางหวาก้าวขึ้นมา หมายจะไปแตะตัวฉินเจิงอีกครั้ง
“พระชายาน้อย ระวังด้วย” อู๋เฉวียนรีบเตือน
หลี่มู่ชิงยื่นมือห้ามเซี่ยฟางหวา “ตอนนี้เขาแปลกประหลาดมาก ตรงหว่างคิ้วคลับคล้ายคลับคลาว่ามีกลุ่มพลังไหลเวียนอยู่ สภาพร่างกายราวกับมีกลุ่มพลังกระจัดกระจายในเส้นลมปราณ คล้ายธาตุไฟเข้าแทรก”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “เขาไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก” พูดจบนางก็หยุดมือแล้วหันมามองข้างหลัง “นอกจากอู๋กงกงและคุณชายหลี่ ขอให้คนอื่นออกไปก่อน”
“พระชายาน้อย นี่เจตนาใด” สีหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่พอใจทันที
“ช่วยคน” เซี่ยฟางหวาตอบ “ตอนข้าช่วยคน ไม่ชอบให้ผู้ใดจับตามองอยู่รอบข้าง” พูดจบก็หันไปมองหย่งคังโหว “ท่านโหวน่าจะทราบแล้ว ตอนข้าช่วยฮูหยินของท่านโหวก็ไม่อนุญาตให้มุงดูเช่นกัน”
“เสนาบดีฝ่ายซ้าย เราออกไปรอข้างนอกเถอะ” หย่งคังโหวพยักหน้า
“พระชายาน้อยแน่ใจหรือว่าจะช่วยรัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยได้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายยืนนิ่ง “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่”
“เรื่องนี้ต้องถามรัชทายาท” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ “หากเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยากทราบ เมื่อองค์รัชทายาทฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านค่อยถามเขาแล้วกัน”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายอึ้ง
เซี่ยฟางหวาไม่พูดมาก แสดงออกชัดเจนว่าให้พวกเขาออกไป
เสนาบดีฝ่ายซ้ายสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกไป เมื่อเขาออกไปแล้วทุกคนก็ตามกันออกไป ไม่นานก็เหลือแค่อู๋เฉวียนกับหลี่มู่ชิง
“ไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก ฉินอวี้เคยร่ายคำสาปใจเดียวกับข้า แต่ฉินเจิงขวางเอาไว้ก่อน ตอนนี้เป็นผลของคำสาปใจเดียวกำเริบขึ้น” เซี่ยฟางหวากล่าวกับหลี่มู่ชิง
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” หลี่มู่ชิงตกใจ
เซี่ยฟางหวานึกย้อนถึงวันนั้นที่เมืองผิงหยาง ฉินอวี้กระทำการลับลมคมใน นางช่วยชีซิงไม่สำเร็จ แม้ทำร้ายเขาได้แต่ก็ถูกเขาตลบหลังเช่นกัน หากไม่ได้ฉินเจิงย้ายคำสาปมาไว้บนร่างตัวเอง กลายเป็นนางที่ต้องคำสาป ผลลัพธ์คงไม่อาจจินตนาการได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับ ฉินเจิงกับฉินอวี้ร่วมแรงกันปกปิดเอาไว้ หลี่มู่ชิงไม่ทราบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตอนนี้นางต้องการความช่วยเหลือจากเขา
“ข้าทำสิ่งใดได้บ้าง” เมื่อหลี่มู่ชิงหายตกใจก็มองไปยังทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงก่อนถามขึ้น
“แม้ข้าไม่รู้วิธีถอนคำสาปใจเดียวกัน แต่คิดว่ามีวิธีหนึ่งน่าทดลอง ถึงแม้ถอนคำสาปไม่ได้ แต่แยกพวกเขาออกจากกันได้ เมื่อแยกออกจากกันแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาเอง” เซี่ยฟางหวาตอบ
“วิธีการใด” หลี่มู่ชิงถาม
“เลือดจากอกฉินอวี้” เซี่ยฟางหวาตอบ “เจ้าช่วยข้าลงมือหน่อย”
หลี่มู่ชิงชะงัก
อู๋เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี “พระชายาน้อย เรื่องนี้กระทำมิได้ นี่คือรัชทายาท ร่างกายทั้งหมดได้รับมาจากพระองค์ท่านและฮองเฮา…”
“อู๋กงกง!” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขัด “หลายวันนี้แท้จริงแล้วฝ่าบาททรงแกล้งประชวรใช่หรือไม่”
อู๋เฉวียนตัวสั่น มองเซี่ยฟางหวาด้วยความขลาดกลัว
“หากเจ้าไม่กล้าลงมือ เช่นนั้นข้าคงได้แต่ต้องทำเอง” เซี่ยฟางหวายิ้มก่อนหันมาบอกหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงตกใจไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นอู๋เฉวียนรีบก้มหน้าลงทันทีที่เซี่ยฟางหวาเอ่ยประโยคนั้นและไม่กล้าขัดขวางอีก เขาส่ายหน้าแล้วดึงกริชออกมา กระโดดมายังข้างเตียง กรีดคมกริชลงบนแผ่นหลังของฉินอวี้แผ่วเบา บริเวณหัวใจเขาพลันมีเลือดไหลออกมาแทบจะทันที
เซี่ยฟางหวาไม่ได้นำถ้วยมารอง หากแต่เร่งพลัง ใช้เส้นลมปราณห่อหุ้มเลือดสดที่ไหลออกมา ลากประคองเลือดสดมายังบริเวณหว่างคิ้วของฉินเจิง
บริเวณหว่างคิ้วของฉินเจิงคล้ายมีกลุ่มพลังรวมกันกลายเป็นเม็ดขนาดเท่าถั่วแดง ชั่วพริบตาก็ดูดซับเอาเลือดเข้าไป
เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ฝ่ามือของฉินอวี้ก็ขยับเล็กน้อย
“หยุดมือ” เซี่ยฟางหวารีบเอ่ยบอกหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงดึงกริชเข้าฝักแล้วกระโดดลงจากเตียง
เซี่ยฟางหวากำลังดึงมือกลับมา ฉินอวี้พลันลืมตาขึ้นแล้วยื่นมือมาจับมือเซี่ยฟางหวา ทว่าฝ่ามือจากคนด้านข้างคว้ามือนางมาจับไว้เร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง