จารใจรัก - ตอนที่ 41-1
ฉินอวี้ยอมตกลงแล้ว!
เพราะเหตุใดกัน
เพราะหานซู่เสียชีวิตอย่างเงียบเชียบหรือ
เมื่อวานยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลยแท้ๆ เหตุใดวันนี้ถึงเสียชีวิตลงได้ ทั้งยังเสียชีวิตบนเตียงในห้องพักตนเองที่ค่ายทหารอีก มิหนำซ้ำขุนนางชันสูตรศพก็พิสูจน์ศพไม่ได้เช่นเดียวกัน
เซี่ยฟางหวาผินหน้ามองฉินเจิง
“กลับไปบอกว่าข้ากับพระชายาน้อยจะไปค่ายทหารประเดี๋ยวนี้” ใบหน้าฉินเจิงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
สี่ซุ่นรีบขานรับ กางร่มวิ่งออกไปด้วยความรีบร้อน
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร! หมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานต่างเป็นขุนนางใหญ่มียศในราชสำนัก นึกไม่ถึงว่าจะถูกสังหารเช่นนี้ ใครเป็นผู้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมลับหลังกันแน่” อิงชินอ๋องตบโต๊ะ
“ท่านร้อนรนอันใด” พระชายากระตุกแขนอิงชินอ๋อง “นั่งลงเดี๋ยวนี้”
อิงชินอ๋องขึงตามองพระชายา
“ฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ที่วังหลวง รัชทายาทก็ประทับที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกอย่างปลอดภัยดี ตอนนี้ในเมื่อเขาเรียกเจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์ไปก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องพูดจบก็กำชับ
เซี่ยฟางหวากับฉินเจิง “ถ้าพวกเจ้าจะไปก็ระวังตัวด้วย นำองครักษ์ลับไปมากหน่อย”
“ท่านแม่วางใจเถิด” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ
“เสียดายใต้เท้าหานผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร” พระชายาอิงชินอ๋องเสียดาย “นึกไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้”
ฉินเจิงเผยสีหน้าเย็นยะเยือก จูงมือเซี่ยฟางหวาเดินกางร่มออกไป
ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วตามทั้งคู่ออกไปทันที
การไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมาก ดังนั้นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาจึงตรงไปยังประตูจวนทันที สี่ซุ่นสั่งคนเตรียมรถม้าเอาไว้พร้อมแล้ว ทั้งคู่ก้าวขึ้นรถม้า ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วนั่งข้างหน้าดังเดิม ก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนออกจากจวนอิงชินอ๋อง
รถม้าแล่นมาถึงประตูเมืองโดยราบรื่น พบรถม้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวาจอดรออยู่ตรงนั้นแล้ว
“จะไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกใช่หรือไม่ ข้าก็จะไปด้วย” หลี่มู่ชิงยื่นศีรษะออกมา
อวี้จั๋วหันมาบอกฉินเจิงซึ่งอยู่ข้างใน “ท่านพี่ คุณชายหลี่บอกว่าจะไปค่ายทหารด้วย”
“เขาได้ข่าวเร็วนัก ไปด้วยกันเถอะ” ฉินเจิงผงกศีรษะอนุญาต
อวี้จั๋วส่งสัญญาณมือบอกผู้ติดตามที่เป็นคนขับรถม้าของหลี่มู่ชิงก่อนเคลื่อนตัวนำออกไปก่อน รถม้าของหลี่มู่ชิงแล่นตามมาข้างหลัง
หลังรถม้าทั้งสองคันออกจากเมืองก็ตรงไปบนถนนทางการ มุ่งหน้าสู่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก
เนื่องจากฝนตกหนักมาตลอดหนึ่งวันสองคืน ตอนนี้ยังคงตกหนักไม่หยุด ถนนทางการไร้ผู้คนสัญจร ดังนั้นแม้จะแล่นฝ่าสายฝน แต่รถม้าสองคันก็วิ่งเหยียบแอ่งน้ำด้วยความเร็วมาก
ครึ่งชั่วยามถัดมาก็เข้าสู่เส้นทางบนเขา
ขณะมาถึงจุดที่พบกับกลไกลศิลายักษ์เมื่อวาน อวี้จั๋ว ซื่อฮว่า และซื่อม่อต่างตื่นตัว เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวรอบทิศทางเป็นพิเศษ ทว่าก็ไม่เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น แล่นผ่านไปได้ราบรื่น
ขณะมาถึงจุดที่พบฝูงหมาป่าล้อมโจมตีก็ไม่เกิดเหตุการณ์ใดเช่นกัน ผ่านไปได้ราบรื่นเหมือนกัน
กระทั่งมาถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตก การเดินทางราบรื่นไร้อุปสรรคขัดขวาง
“วันนี้น่าแปลกนัก ไม่มีการลอบสังหารเลย” เมื่อเห็นค่ายทหารเบื้องหน้า อวี้จั๋วก็กระซิบบอกซื่อฮว่ากับซื่อม่อ
“แล้วไม่ดีหรือ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อถลึงตามอง
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่แค่ผิดปกติ” อวี้จั๋วเกาศีรษะ
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อนึกถึงกระดาษแผ่นนั้นที่ชิงเกอส่งกลับมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ลอบมองเข้าไปในรถม้าแวบหนึ่ง ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก
รถม้าหยุดลงหน้าประตูค่ายทหาร
ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อวานที่เซี่ยฟางหวามาถึงแล้วถูกปิดประตูไม่รับแขกถึงครึ่งชั่วยาม หากแต่ประตูค่ายถูกเปิดทิ้งไว้ มีนายทหารชั้นสูงพร้อมด้วยทหารอีกหลายคนรออยู่ข้างหน้า เมื่อเห็นว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามาแล้วก็ก้าวขึ้นมาทันที “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย”
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาลงจากรถ มองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง บรรยากาศในค่ายสงบมาก แต่กลับนำมาซึ่งความรู้สึกเงียบสงัดท่ามกลางฝนห่าใหญ่ มิใช่ความเข้มงวดแบบทุกที หากแต่เป็นความเงียบสงัด นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเท่าไรนัก
ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน
นายทหารชั้นสูงเห็นหลี่มู่ชิงที่ลงรถตามมาทีหลังก็อ้าปากกล่าว “องค์รัชทายาททรงเชิญมาแค่ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อย คุณชายหลี่…”
“เขามาสืบคดีร่วมกับข้า” ฉินเจิงตอบโดยที่ไม่หันกลับมามอง
นายทหารชั้นสูงเงียบทันที รีบเชื้อเชิญหลี่มู่ชิงเข้าไปข้างใน
หลี่มู่ชิงส่งยิ้มรับ กางร่มเดินตามฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าไปข้างในพร้อมกัน
ประตูค่ายค่อยๆ ปิดลงทันทีที่ทั้งสามเข้าไปแล้ว
เดินผ่านลานฝึกซ้อมมาถึงตำหนักค่ายก็พบอู๋เฉวียนยื่นรออยู่หน้าทางเข้าแล้ว เมื่อเห็นฉินเจิงกับ
เซี่ยฟางหวามาถึงก็รีบคำนับ “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ในที่สุดพวกท่านก็มาเสียที” พูดจบก็คำนับให้
หลี่มู่ชิงอีกหน “คุณชายหลี่ก็มาด้วย”
หลี่มู่ชิงยิ้มรับ
ฉินเจิงมองอู๋เฉวียนแวบหนึ่ง เขารีบหลีกทางให้ “องค์รัชทายาทกำลังรออยู่ข้างใน น่าเวทนาใต้เท้าหาน มิทราบว่าเกิดอันใดขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเสียชีวิตอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ พระชายาน้อยรีบเข้าไปตรวจดูเถิด”
ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาเดินเข้าไป
ข้างในตำหนัก ฉินอวี้ เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว และผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางต่างอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ฉินอวี้มีสีหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อเทียบกับเมื่อวาน เรียกได้ว่าย่ำแย่มาก เมื่อเห็นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามาถึงก็ลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าหานยังอยู่ในห้องที่เขาพักอาศัย”
“เจ้าบัญชาการอยู่ในค่ายแท้ๆ นึกไม่ถึงว่ายังมีคนตายโดยไม่รู้ตัวอีก ออกจะน่าขำไปหน่อยหรือไม่” ฉินเจิงปรายตามองแล้วแสยะยิ้ม
“เมื่อคืนข้าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดทั้งนั้น” ฉินอวี้เม้มปาก
“ท่านอ๋องน้อย เรื่องนี้กระหม่อมเป็นพยานได้ เมื่อคืนกระหม่อมนอนนอกห้ององค์รัชทายาท ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดเลยเช่นกัน” อู๋เฉวียนรีบเอ่ยขึ้น “เสนาบดีฝ่ายซ้ายและท่านโหวต่างพักขนาบข้างห้ององค์
รัชทายาท ใต้เท้าหานพักถัดจากห้องของท่านโหว”
หย่งคังโหวก็มีสีหน้าไม่น่ามองเช่นกัน เรียกได้ว่าซีดเผือด “ข้าเป็นห่วงฮูหยินที่จวน เมื่อคืนจึงหลับๆ ตื่นๆ ทว่าก็ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดจากห้องใต้เท้าหานเลย หากแต่พอตื่นขึ้นมา เขาก็ตายไปแล้ว” พูดจบก็รู้สึกหวาดผวา “น่าตกใจยิ่งนัก”
“แล้วใครนอนข้างห้องใต้เท้าหาน” ฉินเจิงถามอีก
“เรียนท่านอ๋องน้อย ข้าเองขอรับ” นายทหารชั้นสูงที่นำทางฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้ามาเอ่ยขึ้น
ฉินเจิงมองมาที่เขาก่อนพยักหน้า
อู๋เฉวียนนำทางฉินเจิงไปยังห้องที่หานซู่พักอาศัย หน้าประตูห้องมีองครักษ์หลายนายเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นฉินเจิงกับฉินอวี้มาถึงก็รีบหลีกทางให้
ฉินเจิงเดินนำเข้าไปก่อน
เซี่ยฟางหวาข้ามธรณีประตูตามฉินเจิงเข้าไป ภาพเบื้องหน้าเป็นห้องพักทั่วไป ม่านที่เตียงถูกเลิกแขวนไว้ เผยให้เห็นหานซู่นอนสิ้นใจอยู่บนเตียงหลังใหญ่
ฉินเจิงเดินมาที่หน้าเตียง พินิจมองหานซู่ถี่ถ้วน ก่อนหันมามองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาสำรวจมองหานซู่ เขาคล้ายกำลังนอนหลับ ทว่าไม่หายใจและตายไปแล้ว สีหน้าเหมือนกับตอนมีชีวิตอยู่ ไม่พบความผิดปกติใดแม้แต่น้อย นางเอ่ยบอกฉินเจิง “พลิกตัวเขา”
ฉินเจิงพยักหน้า ตวัดมือแผ่วเบาพลิกตัวหานซู่
เขานอนโดยไม่ถอดเสื้อออก บริเวณอาภรณ์มีรอยยับย่นเล็กน้อย
เซี่ยฟางหวามองพักหนึ่งก่อนตรวจชีพจรหานซู่ พักใหญ่ต่อมาก็ไม่เอ่ยคำใด
“เกิดอันใดขึ้น หรือเขาถูกวิชาหนอนพิษจงเหมือนหลูอี้” ฉินอวี้ถาม
“ไม่ใช่” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ข้าเห็นว่าสีหน้าเขาตอนเสียชีวิตไม่แตกต่างจากหลูอี้ เหตุใดถึงไม่ใช่วิชาหนอนพิษจง เช่นนั้นเขาตายด้วยสาเหตุใด” ฉินอวี้มึนงง
“เขาถูกเข็มแทงบริเวณหัวใจจากข้างหลัง ทะลวงหัวใจในเข็มเดียว” เซี่ยฟางหวาตอบ
“เข็ม? สังเกตได้จากส่วนใด” ฉินอวี้หรี่ตาลง
“น่าจะเป็นเข็มที่เล็กมาก ถ้าตอนนี้เจ้าใช้พลังภายในดูดแผ่นหลังเขา น่าจะดูดเข็มเล่มนั้นออกมาจากหัวใจได้” เซี่ยฟางหวาผละตัวออกจากหน้าเตียงแล้วเอ่ยบอกฉินอวี้
“เมื่อครู่ขุนนางชันสูตรศพมาตรวจสอบ ทุกส่วนบนตัวใต้เท้าหานล้วนตรวจสอบดูหมดแล้ว หากมีเข็มที่ว่าจริงก็น่าจะเจอแล้ว” ฉินอวี้สงสัย
“ต้องเป็นคนที่มีวิทยายุทธ์สูงมาก มีพลังภายในดีมาก มีวิธีการใช้เข็มว่องไว หากเป็นเข็มขนาดเล็กมากก็อาจไม่ทิ้งปลายเข็มให้มองเห็นโดยง่าย” เซี่ยฟางหวาดึงฉินเจิงหลบมาด้านข้าง “หากไม่เชื่อ เจ้ามีวิทยายุทธ์ ตอนนี้ก็ลองลงมือพิสูจน์ได้ว่าข้าพูดจริงหรือไม่”
ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนแหวกเสื้อบริเวณหลังหานซู่ออก
ทุกคนตวัดตามองตาม แผ่นหลังหานซู่เกลี้ยงเกลา ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ มองไม่เห็นเข็มที่ว่านั่นเลย