จารใจรัก - ตอนที่ 42-2
“เท่านี้เองหรือ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางทนไม่ไหว “พระชายาน้อย ท่านอย่าเห็นว่าพวกเราไม่รู้วิชาแพทย์จึงตบตาตามใจชอบเพื่อให้เขาพ้นโทษนะ”
“ท่านจะลองออกมาชกเตะเขาตามใจชอบก็ได้ หากทำให้เขาตื่นขึ้นมาหรือใช้วิธีการอื่นที่พิสูจน์ได้ว่าข้าโกหก เช่นนั้นข้าจะไปเสียตอนนี้ ไม่แทรกแซงเรื่องคดีนี้อีกเลย” เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นยืน มองไปยังผู้อาวุโสคนนั้น
สิ้นเสียงผู้อาวุโสคนนั้นก็ก้าวออกมา ชกเตะหลี่อวิ๋นอยู่พักหนึ่ง ทว่าหลี่อวิ๋นกลับนิ่งไม่ไหวติง หลับสนิทดังเดิม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจนได้ยินชัดเจน
“พวกท่านก็มาร่วมด้วยได้” เซี่ยฟางหวาบอกกับผู้อาวุโสที่เหลือ
ผู้อาวุโสทั้งหมดมองหน้ากัน บางคนเตะตีหลี่อวิ๋น บางคนฉุดเขาลุกขึ้น ไม่ว่ากระทำเช่นไรเขาก็ไม่แม้แต่จะรู้สึกตัว ยังคงหลับลึกดังเดิม
“เอาล่ะ พอได้แล้วกระมัง” เซี่ยฟางหวาเห็นผู้อาวุโสเตะตีพักหนึ่งแล้วยังไม่พอใจ ราวกับจะชักกระบี่ออกมาแทงหลี่อวิ๋นด้วยจึงเอ่ยขึ้น
“ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเป็นตระกูลใหญ่อันสง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสในตระกูลจะแสดงพฤติกรรมรุนแรงเช่นนี้ ชวนให้รู้สึกว่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไร้ค่ายิ่ง” หย่งคังโหวนั่งไม่ติดเช่นกัน ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ
“น้าอาทุกท่านพอได้แล้ว!” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ผู้อาวุโสทุกท่านได้แต่หยุดแล้วหอบหายใจด้วยใบหน้าดำทะมึน
“เริ่มถามเขาเถอะ” ฉินเจิงกวาดตามองก่อนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“หลี่อวิ๋น เจ้าเป็นคนสังหารหลูอี้ใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาขยับเข้าใกล้หลี่อวิ๋น เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้สังหารเขา” หลี่อวิ๋นตอบเสียงเรียบ
“เจ้ากับหลูอี้มีเรื่องบาดหมางกันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“ไม่มี” น้ำเสียงของหลี่อวิ๋นยังคงเรียบเฉย
“คืนแรกที่ฝนตกหนักเจ้าทำอะไรอยู่” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“ไม่ใช่เวรของข้า จึงกลับไปนอนที่ห้อง” หลี่อวิ๋นตอบ
“กลางดึกเล่า เจ้าทำอะไรไปบ้างหรือไม่” เซี่ยฟางหวาซักไซ้
“กลางดึก…” หลี่อวิ๋นงุนงง “ไม่ได้ทำอะไร”
“เจ้าลองนึกดูให้ดี คืนวันนั้นหลังยามจื่อ เจ้าออกจากห้องไปยังลานฝึกซ้อมได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาถามอีก “เจ้าไปพบกับหลูอี้ได้อย่างไร”
หลี่อวิ๋นราวกับจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งเหงื่อก็เริ่มซึมบนหน้าผาก ก่อนที่เหงื่อเม็ดใหญ่จะไหลหยดตกลงมา
“นึกออกหรือยัง” เซี่ยฟางหวาถามอีก
หลี่อวิ๋นพลันสะดุ้งโหยง ลมหายใจคล้ายกับหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็พูดเสียงดังด้วยความหวาดกลัว “เป็นหลูอี้ หลูอี้กระโดดเข้ามาจากหน้าต่างหมายจะสังหารข้า นึกไม่ถึงเลยว่าข้า…ข้าจะสู้เขาไม่ได้ จากนั้น…จากนั้น…” เขาเค้นแรงคิด “ต่อมาเขาก็ตีข้าจนสลบไป ข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ที่ลานฝึกซ้อมแล้ว ทหารตรวจตรากลางคืนบอกว่าข้าสังหารคนไปแล้ว…”
“หลังจากนั้นเล่า” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“จากนั้นทุกคนก็ตกใจกันใหญ่ ก่อนคุมตัวข้าไปขัง อยู่ในคุกมืดตลอดมา…” น้ำเสียงของหลี่อวิ๋นกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง
“เขาเพ้อเจ้ออะไร หลูอี้จะกระโดดไปสังหารเขาในห้องได้อย่างไรกัน เหลวไหล!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ฉินเจิงเหลือบมองด้วยสายตาเย็นยะเยือกซึ่งแฝงไปด้วยจิตสังหารทันที
ผู้อาวุโสคนนั้นเงียบลงทันควัน
“ถามเรื่องอื่นได้หรือไม่” ฉินเจิงถามอีก
“ถ้าอยากถามอะไร เจ้าก็ถามเขาเสียตอนนี้” เซี่ยฟางหวาบอก
“ในหัวใจเจ้า หลูอี้ที่ถูกเจ้าสังหารไปเป็นคนอย่างไร” ฉินเจิงครุ่นคิดก่อนเอ่ยถามหลี่อวิ๋น
“ข้าไม่ได้สังหารหลูอี้ เขาต่างหากที่จะสังหารข้า” หลี่อวิ๋นแย้งเสียงดัง
“เอาล่ะ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้สังหารหลูอี้ เช่นนั้นเจ้าตอบมาว่าหลูอี้เป็นคนอย่างไร” ฉินเจิงถามย้ำ
“หลูอี้…” หลี่อวิ๋นราวกับจมดิ่งไปในห้วงความคิดอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบด้วยความดูถูก “ขี้ขลาด ขี้กลัว อ่อนแอ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง”
“คนไม่มีอะไรดีเช่นนี้ เหตุใดตอนจะสังหารเจ้า เจ้าถึงสู้เขาไม่ได้” ฉินเจิงถามอีก
“ข้ามิทราบว่าเพราะเหตุใด เขามีวิทยายุทธ์แค่เบื้องต้นแท้ๆ ทว่าคืนนั้นกลับร้ายกาจมาก ข้าสู้ไม่ได้” หลี่อวิ๋นราวกับจมอยู่กับความไม่เข้าใจ
ฉินเจิงไม่ถามต่อ โบกมือให้เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาตวัดฝ่ามือแผ่วเบา รวบรวมพลังภายใน หมอกสีทะมึนที่แผ่ครอบคลุมเหนือหว่างคิ้วเขาเมื่อก่อนหน้านี้ถูกนางถอนออกมา นางสะกิดตัวหลี่อวิ๋น เขาค่อยๆ ได้สติตื่นขึ้นมา
“ท่านอ๋องน้อย” เขาตื่นขึ้นมาพลางมองรอบข้างด้วยความมึนงง ผ่านไปครู่หนึ่งราวกับนึกขึ้นได้จึงมองไปยังฉินเจิง
ฉินเจิงทำมือให้เขาลุกขึ้นยืน
หลี่อวิ๋นลุกขึ้นนั่ง ยังไม่ทันลุกขึ้นยืนก็ล้มกลับลงไป ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว
“พระชายาน้อยใช้วิชาแพทย์สอบสวนดูแล้ว เจ้าไม่ได้สังหารหลูอี้จริง กลับเป็นหลูอี้ที่บุกไปสังหารเจ้าที่ห้องตอนกลางดึก” ฉินเจิงมองเขา
หลี่อวิ๋นอุทาน “หา” ขึ้นคล้ายไม่อยากเชื่อ “ข้าไม่มีความแค้นกับเขา…”
“เมื่อครู่ตอนเจ้าหลับสนิทพูดไว้เช่นนี้” ฉินเจิงบอก “ส่วนเหตุใดหลูอี้ถึงสังหารเจ้า…” เขามองไปยัง
เซี่ยฟางหวา “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงควบคุม ถูกคนใช้วิชาหนอนพิษจงควบคุมอีกต่อหนึ่งเสมือนหุ่นเชิดที่ถูกควบคุม ผู้ใช้วิชาหนอนพิษจงอยากให้เขาทำสิ่งใด เขาก็จะทำสิ่งนั้น ดังนั้นกลางดึกคืนนั้น หลูอี้ซึ่งถูกควบคุมด้วยวิชาหนอนพิษจงจะเป็นฝ่ายบุกไปสังหารหลี่อวิ๋นในห้องแทนก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” เซี่ยฟางหวาตอบ
“เหลวไหล!” ผู้อาวุโสโมโห “กลายเป็นหลูอี้หลานชายข้าสังหารคนอื่นได้อย่างไรกัน เหลวไหลทั้งเพ!”
“สุดท้ายเป็นเรื่องเหลวไหลหรือไม่แค่ตรวจสอบดูก็ทราบแล้ว ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางท่านนี้คงมีตำแหน่งสูงในตระกูล วิชาแพทย์ของข้าไม่แบ่งเพศและอายุ หากท่านไม่เชื่อว่าหลี่อวิ๋นพูดความจริงหลังหลับไป เช่นนั้นก็นอนลงให้ข้าลองถามสิ่งที่อยู่ในใจท่านได้” เซี่ยฟางหวาพลันหันไปมองผู้อาวุโสคนนั้น
ผู้อาวุโสคนนั้นตกใจ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที
“เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้สนใจความลับตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางถึงเพียงนั้นหรอก สนเพียงคดีนี้เท่านั้น” เซี่ยฟางหวายิ้ม
“พระชายาน้อย ข้าไม่รู้ว่าท่านใช้อุบายใด แต่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของข้าเป็นผู้เสียหาย ยามนี้ท่านกลับดำเป็นขาวขึ้นที่นี่ ไม่กลัวว่าหากเผยแพร่ออกไป ประชาชนใต้หล้าจะกล่าวหาว่าท่านใช้วาทะปีศาจสะกดผู้อื่น เป็นปีศาจสาวที่คอยรังแกชาวบ้านรึ” ผู้อาวุโสคนนั้นหวาดกลัว
“สิ่งที่ข้าใช้คือวิชาแพทย์ หากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางหาผู้ที่มีวิชาแพทย์ดีกว่าข้าได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องลำบากเองเช่นนี้” เซี่ยฟางหวายิ้มเย็น “ข้าไม่รู้ว่าการใช้วิชาแพทย์สอบสวนคดีนั้นกลายเป็นปีศาจสาวตั้งแต่เมื่อไร ท่านช่างให้เกียรติข้าเหลือเกิน”
“ใครก็ได้!” ฉินเจิงพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ทหารสองคนรีบเดินเข้ามา
“จับผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไว้” ฉินเจิงออกคำสั่ง “ข้าก็อยากรู้นักว่าพวกเขาเที่ยวก่อกวนไปทั่ว สุดท้ายแล้วเกี่ยวของกับการสังหารหลูอี้หรือไม่”
“ขอรับ!” ทั้งสองรีบก้าวขึ้นมา
“ท่านอ๋องน้อย ท่านทำเช่นนี้มิได้!” เสนาบดีฝ่ายซ้ายลุกขึ้นยืนทันที
“หืม เสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าข้าทำเช่นนี้ไม่ได้ แล้วทำเช่นไรได้” ฉินเจิงหรี่ตาลง “ถ้าผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่มีปัญหา ข้าย่อมคืนความเป็นธรรมให้พวกเขา แต่หากมีปัญหาล่ะก็ เช่นนั้นตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่อาจพ้นโทษแน่นอน”
“เพราะหลูอี้ตายไป พวกเขาเสียใจถึงได้เป็นเช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวขึ้น
“เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านอยู่ในราชสำนักมานานเท่าไรแล้ว คนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็น ข้าเกิดมาในเมืองหลวง เติบโตขึ้นที่วังหลวง คนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็น แค่หลานชายคนหนึ่งตายไป ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางจำต้องกัดหลี่อวิ๋นไม่ปล่อยเชียวหรือ พิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นวิชาหนอนพิษจงแท้ๆ กลับเอาแต่กล่าวหาว่าเขาเป็นคนสังหาร หมายจะให้เขาตายเพื่อชดใช้ให้ได้ ความจริงแล้วคิดจะทำสิ่งใดลับหลังกันแน่ หากท่านไม่มีส่วนรู้เห็นก็รอดตัวไป แต่หากท่านรู้เห็นด้วยล่ะก็ แม้ท่านเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่เมื่อข้าสืบสวนจนความจริงปรากฏแล้วก็ย่อมได้รับโทษด้วยเช่นกัน เข้าใจหรือยัง” ฉินเจิงยิ้มเย็น
“ท่าน…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมีสีหน้าดำทะมึน เอ่ยคำใดไม่ออก
“ให้พวกเขาพูดความจริงระหว่างหลับ เจ้าทำได้หรือไม่” ฉินเจิงหันมาถามเซี่ยฟางหวา
“ทำได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ!” ฉินเจิงยกมือ
“หากไม่ใช่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางที่ทำร้ายกันเอง ท่านอ๋องน้อย ท่านจะทำเช่นไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้นอีก “ตอนนี้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางแม้ไม่เหมือนก่อน แต่ก็เป็นตระกูลใหญ่อันสง่าผ่าเผย”
“หากไม่ใช่พวกเขาที่ทำร้ายกันเอง ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่พวกเขาด่าพระชายาของข้าว่าเป็นปีศาจสาว มิฉะนั้น…” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเย็น
เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองฉินเจิงที่กำลังแผ่จิตสังหารต่อผู้อาวุโสที่ถูกกดลงบนพื้น ทราบดีว่าพวกเขายั่วโทสะฉินเจิงด้วยการต่อว่าเซี่ยฟางหวา เดิมเขาคิดจะห้ามฉินเจิงก็เงียบลงทันที
ผู้อาวุโสถูกกดลงบนพื้นทีละคน เซี่ยฟางหวาเดินออกมา ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาสะกดจิตกับพวกเขา
ภายในตำหนักนอกจากเสียงของนางก็เงียบสงัดไร้เสียงใดรบกวน
“เรียบร้อยแล้ว ถามได้เลย” ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็บอกฉินเจิง
“หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงได้อย่างไร” ฉินเจิงลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มถามขึ้น
“วะ…วิชาหนอนพิษจงอะไรกัน…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัว
“การใช้หนอนตัวเล็กควบคุมจิตใจผู้อื่น” ฉินเจิงอธิบาย
“หนอนตัวเล็ก…หนอนตัวเล็ก…” ผู้อาวุโสคนนั้นคล้ายต่อต้าน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “หลูอี้เป็นขยะไร้ค่าของตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ตายไปก็ดี…ขอเพียงเจ้ารับปากพวกเราว่าจะกระชากหลูหย่งลงจากตำแหน่ง สนับสนุนลูกหลานในตระกูลข้าให้มีอนาคตแทน…พวกเราจะร่วมมือกับเจ้า…”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลูหย่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ร่วมมือกับใคร ร่วมมืออะไรกัน” ฉินเจิงถามอีก
“ร่วมมือ…ร่วมมือ…” คนผู้นั้นต่อต้าน พูดไปแค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก
ฉินเจิงจ้องมองเขาแล้วถามอีกครั้ง
ผู้อาวุโสคนนั้นพลันยกขาถีบกลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนที่ลมหายใจจะขาดช่วงไป สิ้นใจลงทันที