จารใจรัก - ตอนที่ 44-1
หานซู่มีเหตุผลใดต้องตาย
เซี่ยฟางหวาไม่ได้รู้จักใต้เท้าหานจากกรมอาญาท่านนี้มากนัก รู้เพียงแค่เขาเป็นขุนนางมายี่สิบปี เป็นคนสุจริตเที่ยงธรรม ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด คดีอาญาใดๆ ก็ตามที่เขารับผิดชอบมักปิดลงได้อย่างว่องไว ชื่อเสียงไม่เคยต้องแปดเปื้อนเพราะทำคดีใดๆ มาก่อน
หากแต่ครั้งนี้นึกไม่ถึงว่าจะต้องสิ้นใจลงอย่างเงียบเชียบในค่ายทหาร
และยังเกิดขึ้นภายใต้ฉินอวี้อยู่บัญชาการค่ายทหารด้วย
เข็มเล่มหนึ่งปักทะลวงหัวใจจากข้างหลัง เขาลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างกลางดึก ทว่าสายลับหนึ่งร้อยคนและทหารห้าร้อยนายกลับไม่มีใครสังเกตเห็น เป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง
“เขามีเหตุผลใดต้องตาย” ฉินเจิงหันไปมองหลี่มู่ชิง
“เมื่อวานหมอหลวงซุนเสียชีวิตนอกเมืองหลวงห้าลี้ ขุนนางจิงจ้าวอิ่นนำกำลังคนไป ข้ากลัวว่าพระชายาน้อยจะเดือดร้อนจึงไปที่กรมอาญา บังเอิญพบใต้เท้าหานที่กรมอาญาพอดี ด้วยเหตุนี้จึงนำคนไปพร้อมกับข้า หลังพบศพหมอหลวงซุน เขาก็บอกว่าฝ่าบาททรงกำลังพักรักษาตัว ไม่ควรทรงงานหนัก รัชทายาทดูแลบ้านเมือง ทว่าตอนนั้นกลับอยู่ที่ค่ายทหาร หมอหลวงซุนไม่ใช่ขุนนางทั่วไป อีกทั้งเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ค่ายทหาร ดังนั้นจึงเดินทางมาเพื่อรายงานรัชทายาท” หลี่มู่ชิงครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเข้ม
“หลังจากนั้นเขาก็ตาย” ฉินเจิงกล่าวต่อ
“ข้ากับเจ้าและพระชายาน้อยเดินทางกลับพร้อมกัน ต้องทำความเข้าใจเหตุการณ์หลังจากนั้นก่อน” หลี่มู่ชิงกล่าว “ถึงอย่างไรหลังพวกเรากลับไป กว่าจะกลางดึกก็ยังเหลือเวลาอีกสักพักใหญ่”
ฉินเจิงพยักหน้าก่อนเรียกอู๋เฉวียนมา “อู๋กงกง เมื่อวานหลังเรากลับไปแล้ว ใต้เท้าหานทำอะไรไปบ้าง”
“เรียนท่านอ๋องน้อย กระหม่อมอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทตลอดเวลา หลังท่านกับพระชายาน้อย และคุณชายหลี่กลับไป เนื่องจากฟ้ามืดแล้ว รัชทายาทจึงรับสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน กระหม่อมย่อมตามไปรับใช้รัชทายาทด้วย” อู๋เฉวียนครุ่นคิดก่อนกล่าวขออภัย
“ไปตามหย่งคังโหวกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายมา” ฉินเจิงพยักหน้ารับ
อู๋เฉวียนขานรับแล้วเดินออกไป ไม่นานหย่งคังโหวกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็เดินเข้ามา สีหน้าหย่งคังโหวผ่อนคลายลงมาก ย่อมเป็นเพราะหลี่อวิ๋นคือผู้บริสุทธิ์ เขาคงส่งข่าวบอกฮูหยินของตนแล้ว สภาพจิตใจจึงดีขึ้นไม่น้อย เสนาบดีฝ่ายซ้ายกลับแตกต่างจากหย่งคังโหว เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ย่อมเป็นเพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ยกก้อนหินทุบเท้าตัวเองโดยแท้
“เมื่อวานหลังเรากลับไป ใต้เท้าหานทำอะไรบ้าง หรือพวกท่านทำอะไรบ้าง” ฉินเจิงพูด
“เมื่อวานหลังองค์รัชทายาทมีรับสั่งให้พักผ่อน ฝ่าบาทก็กลับไปยังตำหนักบรรทมของตัวเอง ส่วนข้าเพราะเป็นห่วงฮูหยิน ทั้งไม่มีกระจิตกระใจจะอยู่สนทนาต่อจึงกลับห้อง แต่เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับใต้เท้าหานคล้ายนั่งพูดคุยด้วยกัน” หย่งคังโหวมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแวบหนึ่ง และเป็นฝ่ายตอบขึ้นก่อน
ฉินเจิงหันไปมองเสนาบดีฝ่ายซ้าย
“ข้าสอบถามการตายของหมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานครู่หนึ่ง แต่พูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยค พวกน้าอาก็มาหาข้า ข้าจึงหยุดบทสนทนากับเขาแล้วแยกย้ายกันไป” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
“นายท่านเสนาบดีจำได้หรือไม่ว่าพูดอันใดกับใต้เท้าหานบ้าง” หลี่มู่ชิงรีบเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอะไรมาก บอกเพียงตอนที่เขากับคุณชายหลี่ออกจากเมือง บังเอิญพบครอบครัวจวนหมอหลวงซุนพอดี เล่าได้ไม่นานก็ไม่ได้เล่าต่อ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบ
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่มู่ชิงโพล่งขึ้น
“เจ้าเข้าใจอะไร” ฉินเจิงหันไปมองหลี่มู่ชิง
“ตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว มิหนำซ้ำฝนตกหนักเช่นนี้ยิ่งไม่ควรปล่อยศพไว้ที่นี่นาน นำศพใต้เท้าหานกลับเมืองก่อนดีกว่า นอกจากนี้ บางส่วนของคดีจำต้องขอความร่วมมือจากกรมอาญาและศาลต้าหลี่ถึงจะสืบสวนได้” หลี่มู่ชิงหันกลับมามองฉินเจิงแล้วเอ่ยขึ้น
ฉินเจิงผงกศีรษะ “มีเหตุผล” พูดจบก็ยกมือสั่งอู๋เฉวียน “ออกคำสั่งไปว่าให้เก็บข้าวของและตรวจสอบให้ดี เราจะพาใต้เท้าหานกลับเมือง”
“ท่านอ๋องน้อย หากพวกเรากลับเมืองกันหมด แล้วที่นี่…” อู๋เฉวียนชะงัก
“ที่นี่ทำไม” ฉินเจิงถาม
“ค่ายทหารอย่างไรเล่า หากทหารสามแสนนายเสียขวัญ…” อู๋เฉวียนตอบ
“ตอนนี้ข้ามีหน้าที่สืบคดี ไม่ใช่ปกครองค่ายทหาร” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “แค่ความวุ่นวายเล็กน้อยเท่านั้นเอง ค่ายทหารควรเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น”
“แต่หากเกิดเรื่องขึ้นอีก ถึงอย่างไรก็เป็นวิชาหนอนพิษจง ออกจะน่าตกใจ…” อู๋เฉวียนกังวล
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่ดูแลที่นี่แล้วกัน” ฉินเจิงบอก
“ท่านอ๋องน้อย ท่านอย่าล้อเล่นกับกระหม่อมเลย กระหม่อมมีความสามารถนี้ที่ไหนกันเล่า” อู๋เฉวียนรีบกล่าวด้วยความหวาดกลัว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หุบปากไปเสีย” ฉินเจิงชำเลืองมอง
อู๋เฉวียนปิดปากทันที ก่อนวิ่งออกไปเก็บข้าวของตามคำสั่ง
เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหวไม่มีความเห็นใดกับการออกจากค่ายทหาร ใต้เท้าหานค้างแค่หนึ่งคืนก็เสียชีวิตลง พวกเขาย่อมไม่กล้าค้างเป็นคืนที่สองแล้ว
โดยเฉพาะหย่งคังโหวที่กล่าวบอกฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อย เหตุใดผู้อยู่เบื้องหลังถึงบงการหลูอี้ให้ไปพบ
หลี่อวิ๋น หลี่อวิ๋นคือกุญแจสำคัญ ตามความเห็นของข้า คิดว่าไม่ควรปล่อยหลี่อวิ๋นไว้ที่ค่ายทหารแล้ว”
“อืม นับแต่วันนี้หลี่อวิ๋นมาติดตามข้าแล้วกัน” ฉินเจิงเอ่ยขึ้น
“ท่านอ๋องน้อย” หย่งคังโหวตกใจ
ฉินเจิงผินหน้าไปมอง “หรือท่านโหวไม่เต็มใจ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “หากให้ท่านพาเขากลับจวนไปก็ย่อมได้ แต่ท่านมั่นใจนะว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยเขาได้”
“เอาตามท่านอ๋องน้อยว่าดีแล้ว หลี่อวิ๋นเพิ่งจะพ้นเคราะห์มาได้ ต้องพึ่งพาท่านอ๋องน้อย” หย่งคังโหวอึ้ง พอฉุกคิดขึ้นได้ก็รีบกล่าว
ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา
ครึ่งชั่วยามถัดมาก็เก็บข้าวของทุกอย่างเรียบร้อย หานซู่ถูกบรรจุไว้ในรถที่ปิดผนึก นอกจากนี้ผู้อาวุโสสามท่านจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางก็ถูกบรรจุไว้ในรถเช่นเดียวกัน ส่วนผู้อาวุโสอีกสองท่านถูกผู้คุ้มกันสองคนคุมตัวขึ้นรถ เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว และอู๋เฉวียนก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถด้วย
แม้หลี่มู่ชิงนั่งรถม้าตนเองมา แต่ตอนกลับเมืองนั้นขึ้นมานั่งเบียดบนรถม้าของฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวา
“เจ้าพบสิ่งใดแล้วใช่หรือไม่” เมื่อออกจากค่ายทหารมาได้ระยะหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็มองหลี่มู่ชิงแล้วเอ่ยถามขึ้น
ฉินเจิงก็มองไปยังหลี่มู่ชิงเช่นกัน
“ข้าคิดว่าการตายของใต้เท้าหานน่าจะเกี่ยวข้องกับหมอหลวงซุน” หลี่มู่ชิงพยักหน้า
“หมอหลวงซุน?” เซี่ยฟางหวาสงสัย
“เจ้าอย่าลืมว่าใต้เท้าหานดูแลกรมอาญามาหลายปี มีความรู้สึกไวต่อการทำคดีอย่างมาก เขาจะต้องพบสิ่งใดแล้วแน่นอน ส่วนเสนาบดีฝ่ายซ้ายคุยกับเขาเรื่องการตายของหมอหลวงซุน ทว่าคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค ก็ถูกผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมาขัดจังหวะ พอดีกับช่วงที่เอ่ยถึงครอบครัวหมอหลวงซุน” หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ
“วันนั้นเจ้ามาพร้อมกับคนของกรมอาญา” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ถูกต้อง ดังนั้นพอกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าคงมองข้ามบางสิ่งไป” หลี่มู่ชิงบอก
“สิ่งใด” ฉินเจิงถาม
“ครอบครัวหมอหลวงซุน หลังทราบว่าหมอหลวงซุนตาย ตอนนี้มานึกดูแล้วลูกสะใภ้ทั้งสองคนของเขา คนหนึ่งร้องไห้จริง อีกคนหนึ่งแกล้งร้องไห้” หลี่มู่ชิงตอบ
“หือ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“ตอนนี้นึกทบทวนดูแล้วได้ความเช่นนี้” หลี่มู่ชิงบอก “แต่เพราะตอนนั้นข้าไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับครอบครัวหมอหลวงซุน ดังนั้นจึงไม่ได้ฟังอย่างถี่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นฝนก็ตกหนักมาก ฮูหยินทั้งสองท่านต่างอยู่บนรถม้า ดังนั้นจึงแยกไม่ออกว่าใครร้องไห้จริง ใครแกล้งร้องไห้”
“ดังนั้นเจ้าจึงแนะนำว่า ในเมื่อหาสาเหตุการตายของใต้เท้าหานที่ค่ายทหารไม่เจอ เช่นนั้นก็กลับเมืองไปหาจากตัวหมอหลวงซุนแทน” ฉินเจิงถาม
“อืม ข้าหมายความเช่นนี้” หลี่มู่ชิงตอบ
“ตอนนั้นเจ้าบอกว่าคนขับรถฆ่าตัวตาย” ฉินเจิงหันไปมองเซี่ยฟางหวา
“ใช่แล้ว หมอหลวงซุนถูกสังหาร แต่คนขับรถฆ่าตัวตาย” เซี่ยฟางหวายืนยัน “ดังนั้นปัญหาต้องอยู่ที่คนขับรถแน่นอน”
“ตอนนี้คนขับรถที่ฆ่าตัวตายนั่นเล่า” ฉินเจิงถาม
“ใต้เท้าหานส่งคนนำกลับไปที่กรมอาญาแล้ว น่าจะเก็บไว้ที่ห้องพักศพ” เซี่ยฟางหวาตอบ
“หลังกลับไปแล้วก็เริ่มตรวจสอบจากจวนหมอหลวงซุนแล้วกัน” ฉินเจิงยิ้มเย็น “ข้าอยากรู้นักว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครถึงคิดการใหญ่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้”
“ฝ่าบาททรงแลกทุกสิ่งเพื่อบ้านเมือง คงไม่นึกอยากทำลายมันก่อนสวรรคตเป็นแน่” เซี่ยฟางหวาไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น
ฉินเจิงพลันเหนื่อยล้าขึ้นบ้าง ตอบ “อืม” แผ่วเบา
“ตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้วัดฝ่าฝอซื่อ มีคนลอบสังหารเจ้า ศพไต้ซืออู๋ว่างก็ถูกวิชาหนอนพิษจงแล้วอันตรธานหายไป หลายเดือนผ่านไปก็พบว่าหลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงอีก เหตุการณ์พวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวากล่าว
“เผ่าภูตผี…” ใบหน้าฉินเจิงมืดครึ้มลง
“เผ่าภูตผีลือกันว่าถูกทำลายสิ้นไปแล้ว แต่ดูท่าหาได้เป็นเช่นนั้น นอกจากพวกเราที่รู้เรื่องนี้ ยังมีคนไม่รู้ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ตลอดเวลาที่ผ่านมาคิดจะทำอะไรกันแน่” เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วเม้มปาก
“ต้องตรวจสอบได้กระจ่างแน่” ฉินเจิงเลื่อนมือมากุมมือนาง
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก
ฝนตกหนักตลอดสามวันทำให้เดินทางลำบาก บางแห่งกลายเป็นแม่น้ำ ม้าจำต้องแล่นลุยน้ำไป
ฝนเทลงมาราวกับจะไม่หยุดตกในเวลาอันใกล้นี้