จารใจรัก - ตอนที่ 51 นึกถึงข้าให้มาก
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดว่าเซี่ยอวิ๋นหลานหายไปไหน
หลังจากสารภาพกับนางว่าตนมีความทรงจำเมื่อชาติก่อนก็สะกดจุดนอนหลับบนตัวนาง ไม่อยากให้นางรู้เรื่องใดกันแน่
ต่อไปไม่อยากพบนางอีกแล้วใช่หรือไม่
เบื้องหน้านางเสมือนปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ บางสิ่งคล้ายมองไม่ชัด มองไม่ออก และไม่เข้าใจ
“คุณหนู” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่านางเหม่อลอย ไม่เอ่ยคำใดเนิ่นนาน ทอดสายตามองไปยังที่แสนไกล ทั้งนัยน์ตาคู่นั้นดูพร่าเลือน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงเบาด้วยความเป็นห่วง “ท่านเป็นห่วงคุณชายอวิ๋นหลานใช่หรือไม่ นอกจากบ่าวแปดคน คนอื่นยังไม่ถอนกำลังกลับมา ยังคงค้นหาตัวคุณชายอวิ๋นหลานอยู่”
“ข้ากังวลอยู่บ้าง” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
“เนื่องจากท่านให้ชิงเกอไปทำภารกิจอื่น ผนวกกับเยว่ลั่วองครักษ์ลับของรัชทายาทนำองครักษ์ลับราชสำนักติดตามลับๆ ดังนั้นชิงเกอจึงมิได้ติดตามออกจากเมืองหลวงมายังอารามลี่อวิ๋นด้วย” ซื่อฮว่าแนะนำเสียงเบา “คุณหนู หากลำพังแค่ผู้คุ้มกันจวนจงหย่งโหวของเราไม่พอ ท่านว่า…”
“พวกเจ้ารับผิดชอบการค้นหาไปก่อนแล้วกัน” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขัดพลางส่ายหน้า
ซื่อฮว่าไม่เอ่ยคำใดอีก
เซี่ยฟางหวายืนใต้ต้นไม้อีกพักหนึ่งก่อนตะโกนเรียกเสียงเบา “เยว่ลั่ว”
“พระชายาน้อย” เยว่ลั่วขานรับพร้อมปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง
เซี่ยฟางหวาพินิจมองเขาตั้งแต่หัวจดเท้า พบว่าเขาเองก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเช่นกัน ไม่เหลือเค้าความกระเซอะกระเซิงอย่างก่อนหน้านี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “จากเมืองหลวงมายังอารามลี่อวิ๋น เจ้าติดตามข้าลับๆ มาตลอดทางใช่หรือไม่”
“เรียนพระชายาน้อย ใช่ขอรับ” เยว่ลั่วผงกศีรษะ
“ข้าถามเจ้า ในเมื่อเจ้าอยู่ในที่ลับตลอดเวลา ได้สังเกตเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม “อย่างเช่นที่พักเจ้าอารามอาวุโสของอารามลี่อวิ๋นถล่มลงได้อย่างไร ต่อมาอารามลี่อวิ๋นก็เกิดดินถล่ม ข้ากับพี่อวิ๋นหลานไปตรวจสอบด้วยกัน เจ้าอยู่ในที่ลับ สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวใดหรือไม่ หรือว่าจุดใดที่ผิดปกติ”
เยว่ลั่วครุ่นคิด ก่อนมองนางแวบหนึ่ง
“บอกมาตามตรง ไม่ต้องกังวลสิ่งใดทั้งนั้น” เซี่ยฟางหวามองเห็นถึงความรู้สึกบางอย่างจากสายตาเขาจึงเอ่ยบอก
เยว่ลั่วลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อมาถึงอารามลี่อวิ๋น หลังท่านช่วยปลุกท่านหญิงจินเยี่ยนแล้วก็พักผ่อน ประมาณยามจื่อเพิ่งเลยผ่านไป ข้าก็ได้ยินเสียงห้องถล่มจากเขาด้านหน้า เดิมจะรายงานท่านว่าให้ไปตรวจสอบดูหรือไม่ ทว่าคุณชายอวิ๋นหลานก็ห้ามข้าไว้ก่อน”
เซี่ยฟางหวาส่งเสียง “หืม” แล้วมองไปยังเขา “พี่อวิ๋นหลานบอกว่าอะไร”
“เขาบอกว่า เพื่อช่วยท่านหญิงจินเยี่ยน ท่านเสียพลังไปมากและเหนื่อยล้าแล้ว น่าจะเพิ่งเข้านอน ดังนั้นจึงอย่าไปรบกวนท่านดีกว่า” เยว่ลั่วตอบ
“ยังมีหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
เยว่ลั่วครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “ข้าถามว่าให้ส่งคนไปตรวจสอบหรือไม่ แต่คุณชายอวิ๋นหลานบอกว่า ในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ถึงดูไปก็ไม่มีประโยชน์ ฟ้าสว่างแล้วค่อยว่ากัน” เยว่ลั่วบอก “ข้าคิดว่ามีเหตุผลจึงไม่ออกไปดู”
“ยังมีหรือไม่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“กลางดึกเมื่อคืน หลังจากท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานตกจากหน้าผาสูง พวกเราก็ทำการค้นหาเลียบภูเขา พบว่าภูเขาที่ล้อมรอบอารามลี่อวิ๋นแห่งนี้ไม่คล้ายกับเป็นดินถล่มและโคลนไถลที่เกิดขึ้นเอง แต่คล้ายถูกคนนำดินปืนไปฝังไว้ จงใจระเบิดอารามลี่อวิ๋นทั้งหลัง แม้ฝนตกหนักจนทำให้คล้ายกับเกิดดินถล่ม ทั้งเก็บกวาดร่องรอยดินปืนไปจนหมด แต่เมื่อตรวจสอบละเอียดแล้ว กลับไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือมนุษย์ เพียงแต่ผู้ลงมือรู้จักภูมิประเทศและสภาพพื้นดินดีมาก จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะฝนตกหนักเกินไป” เยว่ลั่วมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที
“ยังมีหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอย่างไม่แปลกใจ
“ยังมี…” เยว่ลั่วมองไปยังห้องหลักแวบหนึ่ง พบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดก็เอ่ยเสียงทุ้มเบา “หลังจากพวกเราตามหาท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานบนภูเขาไม่พบ จึงตัดสินใจลงมาค้นหาที่หุบเขาแทน พบว่ามีคนมาค้นหาในหุบเขาก่อนแล้ว เพราะมีร่องรอยคนเดินลุยหญ้าน้ำ”
“พวกเจ้าคิดได้ตอนไหนว่าควรลงไปหาในหุบเขา” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“ประมาณสองชั่วยามหลังจากท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานหายไป” เยว่ลั่วตอบ “ความจริงช่วงเวลาที่เราคิดได้ว่าต้องลงไปหาในหุบเขานั้นไม่ช้านัก แต่ก้นผาที่ท่านอยู่นั้นลึกลับซับซ้อนเกินไป เป็นหุบเขาที่โอบล้อมภูเขาเอาไว้อีกที พวกเราค้นหาเลียบหุบเขาไปเรื่อยๆ แต่ทิศทางไม่ถูกต้อง ทำให้เสียเวลาไปมาก กว่าจะพบท่านก็เช้าวันนี้”
“จากร่องรอยแล้วพอจะวิเคราะห์ได้หรือไม่ว่าเป็นใคร” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ
“นอกจากร่องรอยลุยหญ้าน้ำเพียงเล็กน้อยก็ไม่พบร่องรอยใดเลย จึงวิเคราะห์มิได้ว่าเป็นใคร” เยว่ลั่วส่ายหน้าตอบ
“เจ้าคิดว่า การที่พี่อวิ๋นหลานหายไปเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนั้นหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
“ตอนหาท่านพบ ท่านกำลังหมดสติอยู่ในถ้ำ ข้าน้อยเดาว่าคนที่ตกลงมาตรงนั้นพร้อมท่านคือคุณชายอวิ๋นหลาน ไม่มีคนอื่นแล้ว ในเมื่อท่านปลอดภัยดี เขาก็น่าจะปลอดภัยดีเช่นกัน บางทีอาจเกี่ยวข้องกับเขา” เยว่ลั่วตอบ “ถึงอย่างไรตรงอื่นก็ไม่พบร่องรอยเหยียบหญ้าน้ำเลย มีเพียงหุบเขาที่ท่านอยู่เท่านั้น และพวกเราเองก็ไม่พบเขา พบแค่ท่านเพียงผู้เดียว เป็นไปได้ว่าอาจหนีไปก่อนหาท่านพบ”
“บอกเรื่องพวกนี้กับฉินเจิงหรือยัง” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
“ท่านอ๋องน้อยมิได้ถาม” เยว่ลั่วก้มหน้าลง
“บอกฉินอวี้แล้วรึ” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“เมื่อครู่ได้ส่งข่าวรายงานองค์รัชทายาทแล้ว” เยว่ลั่วก้มหน้ามองปลายเท้าตนเอง
“เจ้าไปได้” เซี่ยฟางหวายกมือไล่
เยว่ลั่วถอยกลับออกไป
เซี่ยฟางหวายืนนิ่งตรงที่เดิมพักหนึ่ง ก่อนหันหลังกลับเข้าห้อง
ซื่อฮว่าเห็นว่าเซี่ยฟางหวาจะกลับห้องแล้วก็เอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู เตรียมอาหารพร้อมแล้ว ท่านกับท่านอ๋องน้อย…”
“เขาหลับอยู่ ข้าจะเข้าไปดูก่อน ถ้าเขาตื่นแล้วค่อยเรียกพวกเจ้า แต่ถ้ายังหลับอยู่ก็รอให้เขาตื่นก่อนค่อยว่ากัน” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบ
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
เซี่ยฟางหวาผลักประตูเข้าห้องแผ่วเบา ฉินเจิงยังนอนหลับโดยผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออยู่ภายในห้องชั้นใน นางปิดประตูลงแล้วเดินมาหน้าเตียง ยืนมองเขาพักหนึ่งแล้วถอดรองเท้าออกแช่มช้าก่อนขึ้นเตียง พิงหมอนอิงเข้ากับหัวเตียง
เวลาราวครึ่งชั่วยามถัดมา มือของนางก็ถูกกุมไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
เซี่ยฟางหวาผินหน้ามอง พบว่าฉินเจิงตื่นแล้ว หลังได้งีบหลับเป็นเวลาสั้นๆ ก็ช่วยขับไล่ความเหนื่อยล้าไปได้บ้าง นางส่งยิ้มให้เขา “ตื่นแล้วหรือ”
ฉินเจิงพยักหน้า
“หิวหรือยัง ข้าจะได้ให้คนยกอาหารเข้ามา” เซี่ยฟางหวาถาม
ฉินเจิงจับมือนาง กระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ไม่เอ่ยคำใด
“หืม” เซี่ยฟางหวามองเขา เห็นว่าเขาไม่พูดก็ยื่นมืออีกข้างไปตรวจชีพจรให้
“แต่งกับภรรยามีวิชาแพทย์เป็นเช่นนี้เอง เหมือนมีหมอหลวงไม่ห่างกาย” ฉินเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา
“หมอหลวงเทียบข้าไม่ได้” เซี่ยฟางหวาบอก
ฉินเจิงเลิกคิ้วครู่หนึ่งแล้วยิ้มกล่าว “อืม หมอหลวงเทียบเจ้าไม่ได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “แต่ก็ไม่ได้โอ้อวดตนเองเหมือนจ้าเช่นนี้ เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ข้า”
เซี่ยฟางหวากำลังจะหยอกล้อตอบ หากแต่ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงชีพจรผิดปกติจึงขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “เจ้าบาดเจ็บหรือ เกิดอะไรขึ้น”
“ระหว่างตามหาเจ้าพบคนกลุ่มหนึ่งจึงประมือกัน ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” ฉินเจิงตอบสั้นๆ แต่กระชับ
เซี่ยฟางหวาแม้ได้ยินเขาตอบฉะฉาน แต่ดูจากสภาพชีพจรนั้นก็รู้ว่าบาดเจ็บภายในไม่น้อย จึงเอ่ยถามอีก “ฝีมือดีขนาดนั้นเชียวหรือ นึกไม่ถึงว่าใช้พลังภายในทำร้ายเจ้าได้”
“ไม่รู้” ฉินเจิงส่ายหน้า
“ด้วยความสามารถของเจ้า นึกไม่ถึงว่าเดาไม่ออกว่าเป็นใครหรือมีฐานะใด” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“ข้ามิยักรู้ว่า ในใจเจ้าข้าผู้เป็นสามีนั้นต้องรู้และทำเป็นทุกอย่าง” ฉินเจิงมองนางด้วยความขบขัน
เซี่ยฟางหวาขึงตามองเขาก่อนดึงมือกลับมา กล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง “บาดเจ็บไม่เบา เจ้ายังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก หากข้าไม่ตรวจชีพจรให้ เจ้าก็คงไม่ตามหมอมาหรอกใช่ไหม” พูดจบก็พลันโมโหขึ้นมา “บาดเจ็บอยู่แท้ๆ แต่ยังจะอุ้มข้าเดินมาตลอดทางอีก เจ้านี่ไม่แม้แต่จะ…”
จู่ๆ ฉินเจิงก็ยื่นมือไปปิดปากนาง “พูดพร่ำไม่หยุด กลายเป็นคนแก่เสียแล้ว”
“ฉินเจิง” เซี่ยฟางหวาปัดมือเขาออก
“ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว ไม่ว่าเจ้ามีข้อกังหาหรือคิดไม่ออกก็ตาม ต้องนึกถึงข้าให้มาก เทียบกับเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว ข้าถูกใครทำร้ายยังดีเสียกว่า” ฉินเจิงลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า ก่อนดึงนางเข้ามากอดแล้วเอ่ยเสียงเบา
เซี่ยฟางหวาพลันรู้สึกไร้จุดยืน ความกลัดกลุ้มกัดกินหัวใจ ทั้งรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาเล็กน้อย นางพยักหน้ารับ “อืม”
ฉินเจิงกอดนางอีกพักหนึ่งแล้วผละตัวออก ยกมือไปกดหน้าผากนาง ก่อนถอนหายใจออกมา “ต่อให้ตลอดชีวิตนี้เป็นเวรกรรม ข้าก็ยินดีรับไว้เช่นกัน”
“ข้าเป็นเวรกรรมหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ข้าต่างหาก” ฉินเจิงพูดจบก็ตะโกนขึ้น “ยกอาหารเข้ามา” จากนั้นก็ไม่สนทนากับนางต่อ จูงมือนางลงจากเตียงเพื่อเดินไปยังโต๊ะอาหาร
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อขานรับจากนอกห้อง แล้วรีบเดินออกไป
ฉินเจิงนั่งตรงหน้าโต๊ะแล้วรินน้ำสามแก้วติดกัน ก่อนยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
เซี่ยฟางหวากางกระดาษเซวียนจื่อ จับพู่กันเขียนใบสั่งยาลงไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าฉินเจิงมองมาก็เอ่ยขึ้น “เจ้าต้องดื่มยา”
“เจ้าก็ตากไอลมเย็นมา ต้องเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองด้วยเช่นกัน” ฉินเจิงเลิกคิ้วมองนาง
เซี่ยฟางหวาคิดจะบอกว่าตนไม่เป็นไร แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาของเขาก็กลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงไปจนหมด พยักหน้ารับแล้วเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองด้วย
ไม่นานซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยาอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะ เซี่ยฟางหวายื่นใบสั่งยาสองแผ่นให้พวกนาง ทั้งสองรับไว้แล้วเดินถือออกไป
หลังทานอาหารเสร็จ ฉินเจิงก็เอ่ยขึ้น “พักผ่อนหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยกลับเมืองกัน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใดอีก พิงพนักเก้าอี้พักสายตา
เซี่ยฟางหวามองเขาพักหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยถามขึ้นเลย ที่สุดแล้วก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามเองอย่างทนไม่ไหว “เจ้าไม่มีสิ่งใดจะถามข้าหรือ”
“ถ้าเจ้าอยากบอกก็คงบอกข้าเอง หากไม่อยากบอก ถึงข้าถามเจ้าก็ไม่ยอมบอกอยู่ดี” ฉินเจิงลืมตาขึ้น
เซี่ยฟางหวาหลุบตาลงจ้องมองผิวโต๊ะ มองครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ฉินเจิง เจ้าคลายปมในใจได้หรือยัง”
ฉินเจิงไม่ตอบ
“ยังคลายไม่ได้หรือ” เซี่ยฟางหวาตวัดตามอง
ฉินเจิงมองนางตอบ ทั้งคู่สบตามองกันพักหนึ่ง เขาก็ยิ้มออกมา “เรื่องบางเรื่องไม่เกี่ยวกับปมในใจ”
เซี่ยฟางหวายกยิ้มมุมปากแล้วก้มหน้าลงใหม่ เงียบไปพักหนึ่งก็เล่าว่านางออกจากเมืองมาอย่างไร ไปยังอารามลี่อวิ๋นอย่างไร ช่วยจินเยี่ยนอย่างไร ทั้งออกจากอารามลี่อวิ๋นแล้วกลับขึ้นไปใหม่อย่างไร สุดท้ายร่วงตกหน้าผาได้อย่างไร ทว่าเรื่องความทรงจำสองชาติของเซี่ยอวิ๋นหลานนั้น นางยังคงปิดบังไว้ก่อน
ฉินเจิงฟังจบก็ไม่พูดอันใดเนิ่นนาน
เซี่ยฟางหวามองเขา เงียบลงอีกพักหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “พี่อวิ๋นหลาน…ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน คงไม่เป็นไร…”
“เขาไม่เป็นไรหรอก” ฉินเจิงบอก
เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินเจิงหยิบถ้วยชาใบหนึ่งมากุมไว้ในมือ จากนั้นก็หมุนลงบนผิวโต๊ะแผ่วเบา ถ้วยชาหมุนติ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยุดแน่นิ่ง เขาพลันเอ่ยขึ้นว่า “จ้าวเคอเป็นชาวภูตผี”