จารใจรัก - ตอนที่ 56 ป้อนยาด้วยจุมพิต
ทุกคนในห้องต่างตกใจ
จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นมองหน้ากัน ก่อนหันไปมองฉินเจิง
ฉินเจิงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนคว้ามือนางมากุมไว้ ขยับเข้าหาแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เขาต้องปลอดภัยแน่ วางใจเถอะ”
เซี่ยฟางหวาขยับมุมปากคล้ายอยากกล่าวบางอย่าง ทว่าดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็ไม่เอ่ยคำใดออกมา ครั้นแล้วก็หมดสติไปอีกครั้ง
ฉินเจิงโน้มใบหน้าไปหานาง ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาบริเวณหางตาให้
ภายในห้องไม่มีผู้ใดส่งเสียงขึ้นมา เงียบกริบอย่างยิ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่งจงหย่งโหวก็กระแอมขึ้น ก่อนเอ่ยบอกฉินเจิง “เจ้าเจิง เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว พาหวาเอ๋อร์
กลับไปพักผ่อนที่เรือนของนางเถอะ”
ฉินเจิงพยักหน้าแล้วช้อนร่างเซี่ยฟางหวาขึ้นมา เดินออกไปจากห้อง
เมื่อทั้งคู่ออกจากห้องโถงหรงฝูจนไม่เห็นเงาแล้ว ชุยอวิ่นก็มองไปยังจงหย่งโหว “ท่านว่าพวกเขาสองคนไม่มีปัญหาใดจริงๆ หรือ”
“ปัญหาอันใด” จงหย่งโหวถาม
“เรื่องความรู้สึก” ชุยอวิ่นกลุ้มใจ “มิฉะนั้นเหตุใดยังดีๆ อยู่ ทว่าจู่ๆ หวาเอ๋อร์ก็หมดสติไป กว่าจะบำรุงร่างกายให้แข็งแรงก่อนวันพิธีสมรสมิใช่เรื่องง่าย ไฉนเลยในเวลาอันสั้นถึงได้กลายเป็นเช่นนี้”
“พูดยาก” จงหย่งโหวถอนหายใจออกมา
“ข้าตามไปดูดีกว่า จะได้คุยกับเจ้าเจิง สาเหตุต้องมาจากเขาเป็นแน่ ถึงเขายิงธนูใส่หวาเอ๋อร์สามดอก นางก็ยังยินดีที่จะออกเรือนกับเขา ข้าได้ยินมาตลอดว่าเป็นนางที่คอยเอาแต่เข้าหาเขา เขากลับไม่ดูแลนางให้ดี…” ชุยอวิ่นพูดพลางก็ทำท่าจะเดินตามออกไป
“ไม่ต้องไป” จงหย่งโหวเอ่ยห้าม “ความรู้สึกที่เจ้าเจิงมีต่อหวาเอ๋อร์นั้น ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน เจ้ายังไม่เคยแต่งภรรยาสักคน เรื่องระหว่างสามีภรรยานั้นดั่งคนดื่มน้ำ ร้อนเย็นรู้เอง คนนอกเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ ถ้ามีเรื่องใดก็รอหวาเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยถามนาง”
“แต่ว่า…” ชุยอวิ่นยังกังวล
“ไม่มีแต่” จงหย่งโหวยกมือห้าม “ระยะนี้รัชทายาททรงมอบหมายคดีพวกนั้นให้เขาจัดการทั้งหมด เดิมทีเขาก็เหนื่อยล้าพอแล้ว ตอนนี้ดันเกิดเรื่องขึ้นกับหวาเอ๋อร์อีก เขาเหนื่อยใจมากพอแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ”
“ท่านเข้าข้างเขา” ชุยอวิ่นไม่ค่อยพอใจแต่ก็ยอมนั่งลง ไม่คิดไปหาฉินเจิงอีก
หลังจากฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาออกจากห้องโถงหรงฝูก็มุ่งตรงไปยังสวนไห่ถัง
เซี่ยหลินซีเดินตามหลังมาแล้วเอ่ยถามขึ้น “คืนนี้เจ้ากับน้องฟางหวาจะค้างที่จวนใช่หรือไม่ หากค้างที่จวนก็ส่งคนไปบอกจวนอิงชินอ๋องสักหน่อย ท่านอ๋องกับพระชายาจะได้ไม่เป็นห่วง”
“ค้างที่จวน รบกวนพี่หลินซีส่งคนไปบอกด้วย” ฉินเจิงพยักหน้า
เซี่ยหลินซีผงกศีรษะแล้วหันหลังกลับ
ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวากลับมาที่สวนไห่ถัง เมื่อเข้ามาในห้องก็วางนางลงบนเตียง ส่วนตัวเขาก็นั่งลงที่หัวเตียง
แม้เซี่ยฟางหวาออกเรือนแล้ว ไม่ได้อาศัยที่จวนหลังนี้อีก ทว่าเรือนของนางยังคงได้รับการทำความสะอาดทุกวัน
เซี่ยฟางหวานอนนิ่งไร้สุ้มเสียง คล้ายกำลังหลับอยู่ก็มิปาน
“ท่านอ๋องน้อย พระชายาทราบว่าคุณหนูหมดสติจึงมาหาที่จวนแล้ว” ซื่อฮว่ารายงานขึ้นจากข้างนอก
ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบรับ
ไม่นานพระชายาอิงชินอ๋องพร้อมด้วยชุนหลันก็มายังสวนไห่ถังด้วยความรีบร้อนโดยมีเซี่ยหลินซีนำทางมาด้วย
เมื่อมาถึงเรือนหลัก ผ่านห้องรับรอง ข้ามธรณีประตูเข้ามา นางก็เอ่ยถามฉินเจิงด้วยความร้อนใจ “เจิงเอ๋อร์ หวาเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง”
“ฟังว่ากังวลมากเกินเหตุ เหนื่อยล้าจนกระทบกับอวัยวะภายใน ทั้งถูกแรงกระตุ้นฉับพลัน ทำให้หมดสติไป” ฉินเจิงตวัดตามองพระชายาอิงชินอ๋องแวบหนึ่งแล้วเม้มปาก
“เป็นเพราะเจ้าจินเยี่ยน ไปผ่อนคลายจิตใจที่อารามแม่ชีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ดันทุรังไปไกลถึงเพียงนั้น เลือกสถานที่ที่ห่างไกลความเจริญ หากไม่ใช่เพราะนาง หวาเอ๋อร์ก็ไม่ต้องเดินทางตลอดทั้งคืน ทั้งยังพลัดตกหน้าผาจนเป็นเรื่องอีก หลังสมรสก็มีเรื่องมากมายรุมเร้า เจ้าไม่ว่าง นางเองก็ไม่ว่าง ยิ่งเหนื่อยล้าสะสมมากย่อมฝืนรับไม่ไหว ลำบากนางแย่” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวโทษ
ฉินเจิงไม่พูดจา
“จริงๆ เลย ผอมหมดแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องก้าวขึ้นมาแล้วคว้ามือเซี่ยฟางหวามากุมไว้ ก่อนลูบใบหน้านางแผ่วเบา
ฉินเจิงเม้มปาก
“ไฉนช่วงนี้ในเมืองถึงได้วุ่นวายเช่นนี้ ตกลงว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เจ้าตรวจสอบได้ความบ้างหรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเหล่านี้ คล้ายกับพุ่งเป้ามาที่เจ้ากับหวาเอ๋อร์”
ฉินเจิงยังคงเงียบ
“เจ้าช่วยพูดอะไรหน่อย บอกข้ามาว่าหลายวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าอยู่ในเมืองแรกเริ่มได้ยินว่าเกิดดินถล่มโคลนไถลที่อารามลี่อวิ๋นก่อน อารามทั้งหลังพังทลายลง จากนั้นก็ได้ยินว่าหวาเอ๋อร์อยู่ตรวจสอบสาเหตุ องค์หญิงใหญ่ถูกลอบสังหาร เยี่ยนหลันได้รับบาดเจ็บสาหัส นับว่ารอดตายกลับมาหวุดหวิด ตามมาด้วยหน้าดินพังทลาย หวาเอ๋อร์กับคุณชายอวิ๋นหลานหายตัวไป เจ้าออกไปตามหา กว่าจะได้รับข่าวดีว่าปลอดภัยนั้นไม่ง่าย ข้ากำลังจุดธูปเซ่นไหว้ไทเฮาที่ศาลบรรพชน ก็ได้ยินว่าเกิดเพลิงไหม้ในป่าห่างออกไปสิบลี้ วันนี้เฝ้าคอยรอพวกเจ้ากลับมา นึกไม่ถึงว่าหวาเอ๋อร์กลับหมดสติไปอีก เชิญหมอหลวง…” พระชายาอิงชินอ๋องพูดรัว “ตอนนั้นข้าน่าจะไปด้วย จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะความไม่รู้”
“ซื่อฮว่า เจ้าเข้ามาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พระชายาฟัง” ฉินเจิงกวักมือเรียก
ซื่อฮว่ารีบเดินเข้ามา เล่าเหตุการณ์วันนั้นที่นางเดินทางไปยังอารามลี่อวิ๋นพร้อมเซี่ยฟางหวา รวมถึงหลังนางเดินเข้ามาในจวนก็หมดสติลงฉับพลันในวันนี้ให้ฟังโดยละเอียด
พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็มีสีหน้าไม่หน้ามองยิ่ง เอ่ยถามฉินเจิงว่า “เจ้าบอกว่าเขาไร้นามถูกทำลายลงแล้ว แต่สามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ คดีหลี่อวิ๋นสังหารผู้อื่นที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก ใต้เท้าหานถูกสังหาร ยังมีเรื่องในอารามลี่อวิ๋น ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้คือพวกเขาหรือ”
“ยังยืนยันแน่ชัดไม่ได้” ฉินเจิงตอบ “ทุกสิ่งไม่ง่ายดายขนาดนั้น”
“ฉือเฟิ่งขัดขวางหวาเอ๋อร์ นึกไม่ถึงเลยว่าเพราะต้องการตำราเคล็ดวิชา เขาจะนำมันไปทำอะไร ตำรารวบรวมเคล็ดวิชาทั่วใต้หล้าไม่ใช่สมบัติของเผ่าภูตผีหรือ หรือว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าภูตผี”
พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม
“อาจจะ” ฉินเจิงตอบ
“หวาเอ๋อร์วางเพลิงทำให้เขาโดนไฟลวกบาดเจ็บ แม้จะไม่ก่อเรื่องขึ้นในชั่วคราว แต่คงไม่ยอมเลิกราแน่นอน” พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
ฉินเจิงเงียบ
“ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าสามปรมาจารย์เขาไร้นามยังอยู่” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
ฉินเจิงคลึงหว่างคิ้ว “ต้องดูว่าแผนการทั้งหมดของพวกเขานั้นเพื่อสิ่งใดกันแน่ หากสิ่งที่พวกเขาต้องการคือบัลลังก์ของเสด็จอา เช่นนั้นบางทีเสด็จอาอาจทรงทราบแล้ว หากสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่บัลลังก์ พระองค์อาจยังไม่ทราบ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “หากเมื่อวานนางไม่เปิดเผยฐานะสามปรมาจารย์เขาไร้นาม ข้าเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน”
“เจ้าเพิ่งรู้หรือว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่” พระชายาอิงชินอ๋องแปลกใจ
ฉินเจิงพยักหน้า
“ในมือเจ้าไม่ใช่ว่ามี…” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “เจ้าไม่ได้ควบคุมสถานการณ์ทั้งในและนอกเมืองหลวงหรอกหรือ”
ฉินเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา “ท่านแม่ สิ่งที่ข้ามีอยู่ในมือนั้นจะนำมาใช้ตามใจชอบไม่ได้” พูดจบ เขาคล้ายกับจนปัญญาเล็กน้อย “เหตุใดท่านถึงเหมือนนางไม่มีผิด คิดไปเองว่าข้าต้องรู้และทำได้ทุกอย่าง ข้าเป็นคน ไม่ใช่เทวดาจากที่ใด จะคาดการณ์ทุกอย่างล่วงหน้าได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น…” เขาเม้มปาก “สายลับราชสำนักกับราชสำนักหนานฉินเจริญรุ่งเรืองมาด้วยกันสามร้อยปี เดิมทีก็แข็งแกร่งมาก ทั้งถูกปิดเป็นความลับ เรียกได้ว่าฝั่งหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง ฝั่งหนึ่งอยู่ในที่ลับ เรื่องบางเรื่องไหนเลยจะควบคุมได้ง่ายเช่นนั้น”
“ก็จริง” พระชายาอิงชินอ๋องเงียบลง มองหน้าเขา “แล้วตอนนี้ควรทำเช่นไร”
“รอฉินอวี้เถอะ” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา
“รอเขา” พระชายาอิงชินอ๋องมอง “รอเขาทำไม”
“รอเขากลับจากขุดลอกคูคลอง” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “นี่คือบ้านเมืองที่เขาต้องสืบทอดต่อในอนาคต ข้าช่วยเขาแบกรับความรับผิดชอบทุกสิ่งไม่ได้ หรือรับลูกธนูแทนเขาได้”
“ฝนตกหนักหลายวัน หลายพื้นที่ประสบอุทกภัย รัชทายาทออกไปขุดลอกคูคลองด้วยตัวเอง คงไม่กลับมาในเวลาอันใกล้นี้” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา
“ก็ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้กระทำไปมากแล้ว ตอนนี้ฉือเฟิ่งได้รับบาดเจ็บ ทั้งถูกเปิดเผยฐานะแล้ว คงหยุดเคลื่อนไหวก่อนชั่วคราว” ฉินเจิงบอก “ข้าไม่กลัว ขอเพียงมีแผนการและยังเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวก็คือศพมีชีวิตอย่างที่นางบอกต่างหาก ไร้ความเป็นคน เดาทางไม่ได้ นี่ต่างหากที่น่ากังวล”
“เจ้ามีแผนก็ดีแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “แต่อย่าให้หวาเอ๋อร์ต้องใช้ความคิดมากอีก เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว จำต้องมีทายาท ข้ายังอยากอุ้มหลานไวๆ ถ้ายังกังวลต่อไปเช่นนี้ นางเหนื่อยล้าจนกระทบกับร่างกาย จะให้กำเนิดทายาทได้อย่างไร”
“รีบไปไหน” ฉินเจิงมองนาง
พระชายาอิงชินอ๋องตวัดข้อมือตีเขา “เจ้าเด็กบ้า สิ่งที่ข้าพูดเจ้าอย่าทำหูทวนลม ข้ากับพ่อเจ้าอายุปูนนี้แล้ว เฝ้ามองดูเจ้าเติบโตมาอย่างยากลำบาก เราจะได้เล่นกับลูกหลานอย่างมีความสุขทั้งที ไฉนถึงไม่รีบร้อนได้ ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าต้องบำรุงร่างกายหวาเอ๋อร์ให้ดี เจ้าเป็นผู้ชาย เรื่องคลี่คลายคดี สืบคดี หรือแผนการลับนั่นควรเลี่ยงนาง เป็นที่กันลมกันฝนให้นาง ไม่ควรดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องจนพลอยเหนื่อยล้าไปด้วย เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า
พระชายาอิงชินอ๋องเห็นว่าเขารับปากอย่างว่าง่ายก็ไม่กดดันเขาอีก ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อตอนนี้หวาเอ๋อร์ยังหมดสติอยู่ก็อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายนางเลย พวกเจ้าค้างที่จวนโหวเถอะ พอนางฟื้นและดีขึ้นแล้วค่อยกลับจวน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ข้าจะกลับไปปรึกษากับพ่อเจ้าที่จวน เรื่องภายในของสายลับราชสำนัก ข้าเองก็ไม่ค่อยกระจ่างเช่นกัน พ่อเจ้าเติบโตมาข้างกายอดีตฮ่องเต้กับไทเฮา ย่อมรู้เรื่องสายลับบนภูเขาลับของราชสำนักในส่วนที่พวกเราไม่รู้เป็นแน่”
ฉินเจิงผงกศีรษะ
พระชายาอิงชินอ๋องกำชับกับฉินเจิงอีกสองประโยค ไม่อยู่นานก็ออกจากสวนไห่ถัง
หลังพระชายาอิงชินอ๋องกลับไป ซื่อฮว่าก็ยกยาสองถ้วยมายังหน้าประตูแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องน้อย ต้มยาของท่านกับคุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ยกเข้ามา” ฉินเจิงปรายตามองข้างนอกแวบหนึ่ง
ซื่อฮว่ายกถ้วยยาเข้ามาในห้อง ส่งถ้วยหนึ่งให้ฉินเจิง “นี่เป็นยาของท่าน ตอนคุณหนูเขียนใบสั่งยาได้กำชับไว้แล้วว่าท่านต้องดื่มยาระยะหนึ่ง มิฉะนั้นอาการบาดเจ็บภายในจะทิ้งอาการแทรกซ้อนได้”
ฉินเจิงรับถ้วยยามาดื่มรวดเดียวจนหมด
ซื่อฮว่าส่งยาของเซี่ยฟางหวาให้เขา เขายกมือไล่ซื่อฮว่าออกไป เมื่อซื่อฮว่าเดินออกไปแล้วก็ดื่มยาคำหนึ่งพักเอาไว้ในปาก ก่อนโน้มใบหน้าลงมา ใช้ริมฝีปากเปิดกลีบปากของเซี่ยฟางหวาแล้วป้อนยาให้นาง