จารใจรัก - ตอนที่ 59 ปกป้องไปจนแก่เฒ่า
เซี่ยฟางหวาคล้ายไม่ได้ยินสิ่งที่ฉินเจิงพูด น้ำตายังคงทะลักออกมาราวกับเปิดประตูกั้นน้ำ อย่างไรก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้
ฉินเจิงเอ่ยขึ้นอีกสองประโยค พบว่านางยังร้องไห้ไม่หยุด เขาจึงช้อนใบหน้านางเงยขึ้น ก่อนโน้มศีรษะประทับริมฝีปากลงบนเปลือกตานาง
เซี่ยฟางหวาผลักเขาออกแล้วซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเขาแน่น ฝ่ามือทั้งสองข้างกอดเอวเขาไม่ยอมปล่อย น้ำตาซึมลงบนปกเสื้อบริเวณหน้าอกฉินเจิงจนเปียกเป็นวงกว้าง
เสื้อผ้าหน้าร้อนเดิมทีนั้นบางและน้อยชิ้น บริเวณหน้าอกของฉินเจิงเปียกชื้นอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวจากน้ำตาของนาง
ฉินเจิงเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ทั้งดันออกและห้ามไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้นางร้องไห้ในอ้อมกอดตน
หัวใจร้อนผ่าวเสมือนไฟแผดเผา
เดิมยังนึกโกรธเคืองที่นางเอ่ยเรียก ‘พี่อวิ๋นหลาน’ ขึ้นมาระหว่างหมดสติ ตอนนี้ราวกับถูกน้ำตากลบจนไม่เหลือเค้าลางความรู้สึกนั้นแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าน้ำตาเหล่านี้ไหลรินออกมาเพื่อเขา
บางสิ่งราวกับมีน้ำหนักมากจนมิอาจแบกไหวในเวลานี้
ฉินเจิงเม้มปากนิ่งมองสตรีที่กำลังร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตาในอ้อมอก นี่คือเซี่ยฟางหวาภรรยาของเขา
ภรรยาของเขา
ภรรยาของเขา
ผ่านไปเนิ่นนานเซี่ยฟางหวายังร้องไห้อยู่ ร่างกายสั่นระริกสะอึกสะอื้นแผ่วเบาเพราะร้องไห้หนัก
ในที่สุดฉินเจิงก็ทนไม่ไหว ฝืนดันตัวนางออกจากอ้อมอก เห็นว่านางร้องไห้จนตาบวมแดงก็เอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บปวดระคนทำอันใดไม่ได้ “เอาล่ะ อย่าร้องไห้อีกเลย ถ้าเจ้ายังร้องไห้ต่อไปเช่นนี้ข้าก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน กล่าวกันว่าลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ ทว่าหากเจ้ายังร้องไห้เช่นนี้ ข้าก็อยากร้องไห้ตามเช่นกัน ทำเช่นไรดีเล่า หรือว่าเราต้องกอดกันร้องไห้”
เซี่ยฟางหวาสะอื้นมองเขา ร้องไห้อย่างหนักจนกระทั่งคล้ายหยุดไม่ได้ ดวงตาแดงช้ำพูดอะไรไม่ออก
ฉินเจิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ซับน้ำตาให้นางแผ่วเบา
เซี่ยฟางหวาผลักเขาออก
ฉินเจิงมองนาง
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ก่อนดึงแขนเสื้อเขามาถูใบหน้าตัวเอง
ฉินเจิงชะงักไปเล็กน้อย นิ่งมองนางพักหนึ่งก็หลุดยิ้มออกมา “ตั้งแต่เจ้าสลบไปข้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย สกปรกอย่างกับอะไรดี เจ้ายังเอาไปเช็ดน้ำตาอีก ไม่กลัวสกปรกหรือ”
เซี่ยฟางหวาไม่พูดจา จับแขนเสื้อเขาถูใบหน้าอย่างแรง สื่อความหมายชัดแจ้ง
“ต่อไปผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่มีประโยชน์แล้วใช่หรือไม่ แค่แขนเสื้อข้าก็พอแล้ว” ฉินเจิงทิ้งผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
เซี่ยฟางหวาปล่อยแขนเสื้อลงก่อนวาดมือกอดเขาใหม่ ซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเขาโดยไม่ยอมพูดจา
ฉินเจิงเห็นว่าแขนเสื้อตนเองเปียกชื้นเป็นดวงเหมือนบริเวณหน้าอกในเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นว่าตอนที่นางใช้แขนเสื้อเช็ดหน้านั้นก็ยังร้องไห้อยู่ เขาเม้มปาก ยกมือลูบแผ่นหลังนาง “นี่ไม่เหมือนเจ้าเลย ไฉนถึงเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ หรือว่าหลังเจ้านอนหลับไปตื่นหนึ่งนั้นถูกใครสลับตัวเข้า”
เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ
“ภรรยาของข้าเป็นคนสงบนิ่ง สุขุม ใจเย็น ควบคุมอารมณ์ได้ น้ำตาของนางมีค่ามาก ไหนเลยจะไหลรินได้ง่ายเช่นนี้ เจ้าบอกข้ามา เจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน รีบคืนนางมาให้ข้า” ฉินเจิงกล่าวอีก
น้ำตาของเซี่ยฟางหวายังไหลออกมา มือที่กอดเอวเขากระชับแน่นขึ้น ยังไม่พูดจาเช่นเดิม
“อย่าร้องไห้อีกเลย ประเดี๋ยวท่านปู่ ท่านลุง พี่หลินซีรู้ว่าเจ้าฟื้นแล้วก็คงมาหา คิดว่าข้ารังแกเจ้าอีก หากทำร้ายข้า ข้ามีหรือจะปกป้องตัวเองได้ ทำได้เพียงยอมรับ ไหนเลยจะแก้ตัวได้” ฉินเจิงถอนหายใจยาว
“เจ้ารังแกข้า” ในที่สุดเซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงแหบพร่าจนน่ากลัว สะอึกสะอื้นเสียงขาดๆ หายๆ กว่าจะพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง
“ข้าอยู่เฝ้าข้างเตียงตลอดเวลา คอยป้อนน้ำป้อนยาให้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เฝ้ารอเจ้าฟื้นขึ้นมา แม้แต่เส้นผมสักเส้นยังไม่กล้าแตะ ไหนเลยจะกล้ารังแกเจ้า” ฉินเจิงกะพริบตาปริบ ก้มหน้ามองนาง
“เจ้ารังแกข้า” เซี่ยฟางหวาหลับตาลงแล้วย้ำขึ้นอีกหน
ฉินเจิงแสดงท่าทีว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
“เจ้ารังแกข้า” เซี่ยฟางหวาย้ำอีกครั้ง
“เอาล่ะ เจ้าหยุดร้องได้แล้ว ข้าผิดเอง เป็นข้าที่รังแกเจ้า ถ้าวันนั้นไม่ใช่ข้าที่วอแวเจ้า ทำให้เจ้าต้องเหนื่อยล้า เจ้าคงไม่เหนื่อยจนหมดสติไปเช่นนี้” ฉินเจิงคล้อยตามนางอย่างจนปัญญา
มือของเซี่ยฟางหวาที่กำลังกอดเขาอยู่พลันกระตุกสายคาดเอวเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำมาก “ฉินเจิง ที่ข้าพูดถึงไม่ใช่สิ่งนี้”
“หืม” ฉินเจิงก้มมองนาง
เซี่ยฟางหวาอ้าปากทว่าก็หุบลง ไม่เอ่ยคำใด และไม่ร้องไห้อีกแล้ว
ฉินเจิงพบว่านางราวกับจมดิ่งสู่ความเงียบสงบอันน่าประหลาดในชั่วพริบตา เขามองนางแล้วแย้มยิ้มบาง “แล้วเจ้าหมายถึงสิ่งใด เป็นถ้อยคำที่เสด็จอาตรัสกับข้าเมื่อครู่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “อืม”
“เสด็จอาขู่ข้า ข้าจึงนำมาขู่เจ้าต่อ แต่วิธีการนี้ได้ผล ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเสียที ดูท่าข้าต้องไปขอบคุณเสด็จอาแล้ว” ฉินเจิงหลุดยิ้ม
เซี่ยฟางหวาเงียบ ดึงแขนเสื้อเขามาเช็ดน้ำตาอีกหน
“ชุดนี้เป็นชุดที่เจ้าเย็บปักให้ข้าเองกับมือ ให้เจ้าใช้เช็ดน้ำตานั้นน่าเสียดายนัก เหตุใดเจ้าถึงไม่เช็ดน้ำตากับชุดตัวเอง” ฉินเจิงถอนหายใจ
เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา รอยยิ้มของนางราวกับแฝงไปด้วยความกระฟัดกระเฟียด มองหน้าเขาแล้วเอ่ยทั้งนัยน์ตาแดงก่ำ “ต่อไปใช้แขนเสื้อเจ้าเช็ดน้ำตา เช็ดจนขาดแล้วข้าค่อยเย็บปักให้เจ้าใหม่ ไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าอีกแล้ว”
“อย่าบอกนะว่าต่อไปเจ้าจะร้องไห้เช่นนี้ให้ข้าเห็นบ่อยๆ ข้าจะทนไหวได้อย่างไร” ฉินเจิงไล้ใบหน้านาง
เซี่ยฟางหวาแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา ก่อนคว้าแขนเสื้อเขามาเช็ดหน้าอีกครั้งแล้วปล่อยออก เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะร้องไห้ให้เจ้าเห็นบ่อยๆ ถึงเจ้าทนไม่ไหวก็ต้องทนให้ได้”
“สวรรค์ ช่างไร้เหตุผลนัก” ฉินเจิงกุมหน้าผาก
“ไร้เหตุผลเช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะหย่ากับข้า” เซี่ยฟางหวาสวนกลับทันที
“ไหนๆ ก็แต่งมาแล้ว จะลองทนดูก่อนก็ได้” ฉินเจิงส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาหัวเราะทั้งน้ำตา
“เจ้านอนไปนานมาก หิวหรือยัง ข้าป้อนอาหารให้เจ้าก็ไม่ยอมกลืนลงไป ได้แต่ป้อนยากับน้ำให้ ในเมื่อฟื้นแล้วก็รีบลุกจากเตียงเถอะ อย่านอนต่ออีกเลย ข้าจะให้คนไปยกอาหารเข้ามา” ฉินเจิงดึงนาง
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ลงจากเตียงตามแรงฉุดดึงของเขา
ฉินเจิงตะโกนขึ้น ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินการเคลื่อนไหวภายในห้องก่อนแล้ว เพียงแต่เมื่อไม่มีคำสั่งจึงมิอาจเข้ามาได้ เวลานี้ได้ยินคำสั่งของฉินเจิง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็รีบผลักประตูเข้ามา
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่าดวงตาเซี่ยฟางหวาบวมแดงก็ตกใจ
เซี่ยฟางหวามองทั้งสองแล้วยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ข้าฝันจึงตกใจเท่านั้น”
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองฉินเจิงแวบหนึ่ง เห็นเขายิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดูก็โล่งใจ
“ไปเตรียมอาหาร แล้วก็ไปรายงานที่ห้องโถงหรงฝูด้วยว่านางฟื้นแล้ว” ฉินเจิงสั่ง
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า “พวกผิ่นจู๋เฝ้าอยู่ข้างนอก ข้าจะให้พวกนางทำแทน ส่วนบ่าวสองคนจะปรนนิบัติคุณหนูกับท่านอ๋องน้อยล้างหน้าแต่งตัว”
เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่ง พบว่าเสื้อผ้าเขาเลอะเทอะด้วยคราบน้ำตาของนาง นางอดยิ้มขำขึ้นมาไม่ได้ ว่าแล้วยกมือไล่ทั้งสอง “พวกเจ้าออกไปเถอะ ไม่ต้องปรนนิบัติหรอก ยกอ่างน้ำเข้ามาก็พอ”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเดินออกไป
พริบตาก็มีคนไปสั่งทำอาหารที่ห้องครัว และมีคนไปรายงานจงหย่งโหวที่ห้องโถงหรงฝู เนื่องจากเซี่ยฟางหวาฟื้นแล้ว บรรยากาศกลัดกลุ้มภายในสวนไห่ถังก็พลันกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าไล่พวกนางออกไปแบบนี้ ใครจะปรนนิบัติเจ้า” ฉินเจิงมองเซี่ยฟางหวา
“ข้าปรนนิบัติเจ้าเอง” เซี่ยฟางหวาเดินมาที่ตู้เสื้อผ้า รื้อค้นหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาส่งให้เขา
ฉินเจิงยิ้มพลางส่ายหน้า ยื่นมือรับเสื้อผ้ามาแล้วเดินไปยังหลังฉากกั้น
เซี่ยฟางหวาตามเขาเข้าไปหลังฉากกั้น พบว่าเขาจะถอดเสื้อผ้าออกก็ยื่นมือช่วย
“เจ้าเพิ่งฟื้นมา นอนนานถึงเพียงนี้ กล้ามเนื้อคงแข็งตึงเป็นแน่ใช่หรือไม่ เจ้าไม่ต้องทำหรอก ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้ เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ประเดี๋ยวท่านปู่กับท่านลุงมาถึง ข้ากลัวว่าทำให้พวกเขาตกใจอีก” ฉินเจิงจับมือเซี่ยฟางหวาไว้
“เจ้ากลัวท่านปู่กับท่านลุงตำหนิถึงเพียงนี้” เซี่ยฟางหวามองเขา
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าพอเจ้ากลับมาแล้วหมดสติไปฉับพลันนั้น สีหน้าของท่านปู่กับท่านลุงตอนมองข้าไม่น่ามองขนาดไหน ถึงแม้ข้าหนังหน้าหนาก็ยังทนสายตาพวกเขาไม่ไหว” ฉินเจิงพยักหน้าราวกับมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ
“ก็ได้” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม ก่อนหันหลังเดินออกไป
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกน้ำสะอาดเข้ามา เซี่ยฟางหวาเดินมาล้างหน้าหน้าอ่างใส่น้ำ
นางก้มหน้าลง ยื่นฝ่ามือลงไปในน้ำ มองเงาสะท้อนในน้ำเนิ่นนานด้วยสายตาเหม่อลอย นิ่งไม่ไหวติง
“คุณหนู” ซื่อฮว่าเอ่ยเรียกด้านข้าง
เซี่ยฟางหวาผินหน้ามองซื่อฮว่าก่อนยกยิ้มให้เล็กน้อย แล้วถามเสียงเบา “ท่านพี่ส่งข่าวกลับมาหรือยัง”
“ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวจากซื่อจื่อเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาไม่พูดอะไรอีก ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด
ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่ง ก่อนขยับเข้ามากระซิบข้างหูนาง “แต่ของที่คุณหนูสั่งให้คนไปนำมาจากเมือง
ผิงหยางมาถึงแล้ว ตอนนี้อยู่ในมือข้า ท่านจะดูตอนนี้เลยหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาชะงักมือแล้วหันมามองนางอีกครั้ง
ซื่อฮว่าพยักหน้ายืนยัน
เซี่ยฟางหวามองไปยังหลังฉากกั้น ไม่เห็นเงาฉินเจิง ได้ยินเพียงเสียงเขากำลังสวมเสื้อผ้าดังแว่วลางๆ นางละสายตากลับมากล่าวกับซื่อฮว่า “รอข้าว่างก่อนค่อยดูเอง”
ซื่อฮว่าผงกศีรษะ
เซี่ยาฟางหวาล้างหน้าเสร็จแล้วก็เดินมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซื่อฮว่ารีบมาช่วยงาน ทว่านางยกมือห้าม บอกว่าจะแต่งหน้าหวีผมเอง
ไม่นาน ฉินเจิงก็เดินออกมาจากหลังฉากกั้น
“ไปยกน้ำสะอาดเข้ามาใหม่ ให้ท่านอ๋องน้อยได้ล้างหน้าล้างตาด้วย” เซี่ยฟางหวาสั่งงานซื่อฮว่า
ซื่อฮว่าขานรับแล้วกลับออกไป ไม่นานก็ยกน้ำสะอาดเข้ามาใหม่อีกอ่าง
ฉินเจิงเดินไปล้างหน้าล้างตาอย่างเชื่อฟัง เสร็จแล้วก็เดินมาซ้อนหลังเซี่ยฟางหวา มองนางผ่านกระจกตรงหน้า “ให้ข้าช่วยหรือไม่”
“เจ้าจัดการตัวเองไปเถอะ” เซี่ยฟางหวาเบ้ปากใส่เขาพร้อมชำเลืองมอง “เป็นคุณชายรูปงามแท้ๆ ยามนี้กลับมอมแมมจนแทบจำไม่ได้แล้ว ข้าแค่…” นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็หันมาถามเขา “ข้าสลบไปนานแค่ไหน”
“เมื่อวานจนถึงวันนี้” ฉินเจิงตอบ
“แค่เวลาอันสั้น ไหนเลยจะยาวนานอย่างที่เจ้าว่า เหตุใดเจ้าถึงทรมานตนเองจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้” เซี่ยฟางหวาถลึงตา
“เจ้าหมดสติลงฉับพลัน หมอหลวงมาตรวจชีพจร วินิจฉัยว่าเจ้ากังวลมากเกินเหตุ เหนื่อยล้าจนกระทบต่ออวัยวะภายใน สภาพร่างกายอ่อนแอจนน่ากลัว ข้ามีหรือจะไม่ตกใจ” หยุดชั่วครู่แล้วยื่นมือมากดไหล่นาง เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อีกอย่างหลังเจ้าสลบไปก็เอาแต่เรียกชื่อข้า ข้าเห็นเจ้าทรมานเช่นนี้ มีหรือจะทนได้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ หนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี ต่อไปอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้อีก” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ตรวจชีพจรตัวเอง
ฉินเจิงมองนาง
สักพักใหญ่นางก็ถอนมือออกแล้วยิ้มกล่าวขึ้น “หมอหลวงคนไหนขู่ขวัญเจ้ากันแน่ ร่างกายข้าไหนเลยจะร้ายแรงอย่างที่เขาบอกเช่นนั้น หลายวันก่อนเหนื่อยล้าไปบ้างก็จริง ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย แต่พักสองวันก็หายแล้ว”
ฉินเจิงขึ้นเสียงแผ่วเบา “เจ้ารู้วิชาแพทย์ หรือจะแกล้งข้าที่ไม่รู้วิชาแพทย์” พูดจบก็แค่นเสียงในลำคอ “แรกเริ่มหมอประจำจวนจงหย่งโหวที่เจ้าจัดสรรไว้เป็นคนตรวจชีพจรให้เจ้าก่อน ข้ายังไม่เชื่อ จากนั้นหมอหลวงก็ตามมาสมทบ หากแต่วินิจฉัยแบบเดียวกันข้าจึงยอมเชื่อ เจ้าในตอนนั้นร่างกายอ่อนแอ สภาพจิตใจแกว่ง กังวลมากเกินเหตุ ส่งผลกระทบกับอวัยวะภายใน นี่ยังไม่ร้ายแรงอีกหรือ เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาสิ แบบไหนถึงจะเรียกว่าร้ายแรง”
“เพราะข้ารู้วิชาแพทย์จึงรู้จักสภาพร่างกายตัวเองดีเหมือนหลับตาเห็น เหยียนเฉินฟื้นฟูร่างกายให้ข้ามานานขนาดนั้น ถ้ายังไม่หายดีอีกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว วิชาแพทย์ของเขาเป็นเช่นไรเจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ เจ้าไม่เชื่อข้าก็ควรเชื่อเขา เจ้าใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเขาใช้วิชาแพทย์สักหน่อย” เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองเขา
“พูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าดูแลร่างกายให้ดีก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจเรื่องภายในและนอกเมืองหลวงอันยุ่งเหยิงอีก” ฉินเจิงยกมือแล้วเน้นย้ำ “ห้ามคิดมากไปมากกว่านี้”
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
“เจ้าทรมานข้าจนอยู่ในสภาพที่ตัวเองแทบไม่รู้จัก ตอนนี้ยังไม่ยอมพักฟื้นร่างกายให้หายดีอีกหรือ หรือว่าเจ้ามีข้อโต้แย้ง” ฉินเจิงมองนางแล้วเลิกคิ้วกล่าว
เซี่ยฟางหวาเถียงไม่ออก ครู่ต่อมาก็หันกลับไปแล้วยิ้มกล่าวอย่างจำใจ “ได้ แล้วแต่เจ้า ข้าไม่ยุ่งอีกแล้วก็ได้”
“เช่นนี้ถึงจะถูก” ฉินเจิงเห็นนางยินยอมแต่โดยดีก็เอื้อมมือไปหยิบปิ่นระย้าหยกมาปักลงบนมวยผมนางที่เกล้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เซี่ยฟางหวาลดมือลง มองมวยผมเกล้าสูงกับฉินเจิงที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังพักหนึ่งก่อนลุกขึ้นเชื่องช้า ก่อนยื่นมือมากดไหล่เขานั่งลงบนเก้าอี้ “ข้าจะเกล้าผมให้”
ฉินเจิงนั่งลงอย่างเกียจคร้านแล้วพยักหน้ารับ “เจ้าควรปรนนิบัติข้า ข้าเฝ้าเจ้ามาตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืนอย่างทรมานกว่าเจ้าจะยอมฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว”
เซี่ยฟางหวาไม่พูดขึ้นอีก เกล้าผมให้เขาอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็นวดทุบไหล่ให้
ฉินเจิงจับมือนางโดยไม่เอ่ยคำใด
เซี่ยฟางหวาเห็นว่ามือตนเองถูกเขาจับเอาไว้จึงมองเขาผ่านทางกระจก พบว่าสีหน้าเขาแม้เฉยเมย ทว่าตรงหว่างคิ้วกลับปรากฏคลื่นอารมณ์เลือนราง ราวกับกำลังควบคุมและสะกดกลั้น นางขยับกายเข้าใกล้แผ่นหลังเขาแล้วโอบกอด วางศีรษะลงบนไหล่ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฉินเจิง ชาตินี้พวกเราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ปกป้องกันและกันไปจนแก่เฒ่าใช่หรือไม่”
ฉินเจิงพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”