จารใจรัก - ตอนที่ 63 หนึ่งเตียงบรรเลงรัก
ฉินเจิงเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากเซี่ยฟางหวาต้มยากลับมาที่ห้อง เขายังคงนอนหลับอยู่
เซี่ยฟางหวาถอยห่างจากประตูห้องอีกครั้ง เดินเลียบใต้ชายคาไปตามแนวกำแพงฝั่งทิศตะวันตก บนกำแพงยังคงมีภาพวาดและตัวอักษรบันทึกสลักเอาไว้เหมือนเดิม
นางเดินเลียบเชื่องช้าพลางใช้มือสัมผัสร่องรอยพวกนั้น ท้ายสุดก็ย่อตัวลงนั่งพิงเชิงกำแพง
“คุณหนู บนพื้นเย็นนะเจ้าคะ” ซื่อฮว่าขยับเข้ามาพร้อมเอ่ยเสียงเบา
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ถึงแม้ท่านอยากนั่งตรงนี้ แต่ก็ควรให้บ่าวไปนำเบาะมารองนั่ง” ซื่อฮว่ากล่าวอีก “ร่างกายท่านเดิมทีอ่อนแออยู่แล้ว หากท่านอ๋องน้อยตื่นมา เห็นว่าท่านมานั่งอยู่ตรงนี้ คงตำหนิบ่าวที่ไม่ดูแลท่านให้ดี”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปนำเบาะรองนั่งมา” เซี่ยฟางหวาบอก
ซื่อฮว่าเห็นว่านางตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้จึงได้ไปเดินไปทำตามคำสั่ง
ไม่นานนางก็นำเบาะรองนั่งหนากลับมา รองสะโพกให้เซี่ยฟางหวานั่ง
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” เซี่ยฟางหวานั่งลงบนเบาะแล้วยกมือไล่นาง
ซื่อฮว่าพยักหน้ารับ ถอยห่างออกมาแล้วไปทำงานอื่น
เซี่ยฟางหวาเอนหลังทิ้งน้ำหนักทั้งหมดพิงกำแพงแล้วหลับตาลง ปล่อยให้สายลมกระทบใบหน้า ปล่อยให้ดอกเหมยปลิวละล่องผ่าน ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดในสมองและก้นบึ้งหัวใจตีกันยุ่งเหยิง
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ประตูห้องถูกเปิดออก ฉินเจิงเดินออกมาจากข้างใน เขากวาดตามองก็เห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งอยู่ใต้เชิงกำแพง
ประตูห้องไม่ได้อยู่ห่างจากกำแพงล้อมเรือนมากนัก ทว่าก็ไม่ใกล้ คล้ายมองเห็นชายกระโปรงหรูหราและใบหน้าเรียบนิ่งของนางผ่านรอยแยกกิ่งต้นลั่วเหมยได้เลือนราง กระแสลมพัดผ่าน ดอกลั่วเหมยปลิวว่อน นางกำลังนั่งพิงกำแพงคล้ายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกำแพงล้อมเรือน
เซี่ยฟางหวาในตอนนี้ ไม่ว่าผู้ใดเห็นแล้วต่างเกิดความปรารถนาบางอย่างอัดอั้นในใจ
เขานิ่งมองนางพักหนึ่ง ก่อนก้าวเดินไปหา
เมื่อได้ยินฝีเท้าเขาเดินมา เซี่ยฟางหวาก็หันไปมอง ทันใดนั้นใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งก็แย้มยิ้มกว้างให้เขา “ตื่นแล้วหรือ”
ฉินเจิงชะงักเท้า มองใบหน้าสว่างเจิดจ้าของนาง ราวกับความไม่ชัดเจนและความเรียบนิ่งที่เขาได้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เขาเม้มปากก่อนเอ่ยถามขึ้น “ไฉนถึงมานั่งอยู่ตรงนี้”
“รู้สึกว่าพอมานั่งตรงนี้แล้วก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความรักของเจ้าที่มีต่อข้า นั่งไปพักหนึ่งก็สัมผัสได้ว่าความรักหนักแน่นกว่าเดิม” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินเจิงหัวเราะ มุมปากยกสูงขึ้น “เมื่อครู่กำลังคิดสิ่งใดอยู่”
“ไม่ได้คิดอะไร” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“หืม” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
เซี่ยฟางหวากะพริบตามอง ก่อนชี้นิ้วไปที่กำแพงแล้วเอ่ยขึ้น “มีบางสิ่งไม่ค่อยเข้าใจนัก”
“ลองถามมาสิ” ฉินเจิงมองนาง
“เจ้าดูสิ ตอนเจ้ายังเด็กขนาดนั้นไฉนถึงจำข้าได้ ทั้งยังหลงรักข้า และรอข้ามานานถึงเพียงนี้ อายุน้อยขนาดนั้นก็รู้จักความรักแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาชี้นิ้วค้าง
“ที่แท้ก็กำลังคิดเรื่องนี้” ฉินเจิงหัวเราะ
“ไม่น่าสงสัยหรอกหรือ เด็กตัวน้อยกลับรู้จักความรักชายหญิงแล้ว ความจริงแล้วเป็นไปแทบไม่ได้เลย” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองเขา
ฉินเจิงก้าวขึ้นมานั่งใต้เชิงกำแพงกับนาง เขาเอนหลังพิงกำแพงก่อนขยับเข้าใกล้นาง พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าเคยเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนั้นข้าใช้ธนูยิงนกยิงโดนปิ่นมุกบนศีรษะเจ้าตกลงมา ต่อมาเมื่อเห็นว่าเจ้ามีท่าทางสุขุมเยือกเย็นก็รู้สึกสนใจขึ้นมา หลังจากนั้นข้าก็สะกดรอยตามเจ้าออกจากเมือง เดิมอยากรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแฝงตัวเข้าไปในสายลับราชสำนัก ข้ารู้สึกสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าไม่ระวังกลับถูกฉินห้าวทำร้ายจนเกือบตายที่สุสานไร้ญาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็จดจำเจ้าได้ ไม่เคยลืมเลือนอีกเลย สะสมเป็นเวลานานเข้าก็กลายเป็นความคะนึงหา ถ้าไม่ได้แต่งเจ้าเข้ามาก็ไม่มีวันเลิกราเด็ดขาด”
“เป็นเช่นนี้หรือ” เซี่ยฟางหวาเอียงศีรษะมอง
“ไม่ใช่เช่นนี้แล้วยังเพราะสิ่งใดอีก ไหนเจ้าลองพูดให้ข้าฟัง” ฉินเจิงดีดหน้าผากนาง
“ช่วงนี้สมองข้าเริ่มทื่อแล้ว ถ้ายังถูกเจ้าดีดต่อไปแบบนี้คงยิ่งโง่กันพอดี” เซี่ยฟางหวามองค้อนด้วยความไม่พอใจ
“โง่หน่อยก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องคิดมาก ทรมานร่างกายเปล่าๆ” ฉินเจิงบอก
“ฉินเจิง ช่วงนี้มีภาพบางอย่างแล่นขึ้นในสมองข้าบ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยบอกแล้วว่าข้าเกิดมาในจวนจงหย่งโหว เจ้าเกิดมาในจวนอิงชินอ๋อง ชาติก่อนหากข้าไม่ได้ไปเขาไร้นามเหมือนชาตินี้ ก็น่าจะต้องเข้าวังบ่อยครั้งถึงจะถูก ไหนเลยจะไม่รู้จักเจ้าได้ ข้าจำพี่อวิ๋นหลานได้ ก็น่าจะมีความทรงจำมากกว่านี้ ถูกหรือไม่” เซี่ยฟางหวาซบศีรษะลงบนตัวเขา กล่าวเสียงเรียบ
“แล้วเป็นภาพแบบใดที่แล่นขึ้นในสมองเจ้าบ่อยๆ” ฉินเจิงเม้มปาก ยกมือลูบศีรษะนาง
“ยุ่งเหยิงมาก แล่นขึ้นมาเพียงครู่เดียว จับความรู้สึกไม่ได้เลย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ดังนั้นทำให้เจ้าเกิดความฉงน กลัดกลุ้มใจเช่นนี้” ฉินเจิงถาม
เซี่ยฟางหวาตอบ “อืม” แล้วพูดต่อ “เช่นนั้นกระมัง ข้ามักรู้สึกสับสนมาก มีบางสิ่งก่อกวนความคิดข้า ทำให้ข้าคล้ายลืมบางสิ่งไปมากมาย ยิ่งคิดหาคำตอบ สมองก็ยิ่งขาวโพลนว่างเปล่า แต่เมื่อไม่คิด มันกลับแล่นขึ้นมาอีกครั้ง”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดแล้ว เรื่องเมื่อชาติก่อน นึกไม่ออกแล้วสำคัญตรงไหน” ฉินเจิงดึงนางเข้ามากอด “สิ่งสำคัญคือชาตินี้ สวรรค์อุตส่าห์ให้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ เหตุใดถึงต้องเอาชาติก่อนมาพัวพันกับชาตินี้ด้วย” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นอีก “ยิ่งไปกว่านั้น ในความทรงจำของเจ้าไม่มีข้า ไม่ต้องนึกถึงก็ดี”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าความทรงจำของข้าไม่มีเจ้า” เซี่ยฟางหวานวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าบอกเองว่าชาติก่อนเสียเลือดมากจนตาย เท่านี้ก็ชี้ชัดแล้วว่าไม่มีข้า เพราะหากข้าอยู่ด้วย ไฉนเลยจะปล่อยให้เจ้ามีจุดจบเช่นนั้น” ฉินเจิงก้มหน้าจุมพิตนาง
เซี่ยฟางหวากัดริมฝีปาก
“ไม่ต้องคิดมากแล้ว ถ้าเจ้ายังคิดมากเช่นนี้ต่อไป ถึงดื่มยารสขมพวกนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ แล้วเมื่อไรร่างกายจะแข็งแรงดี” ฉินเจิงแง้มปากนางเผยอออก มอบจุมพิตอันลึกซึ้งให้ ลมหายใจเริ่มแตกซ่านเล็กน้อย
“ตรงนี้เป็นข้างนอก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ยกมือดันเขาออก
“พื้นที่ของข้า จะทำสิ่งใดก็ได้” ฉินเจิงพูดพลางก็อุ้มนางขึ้นมา เดินเข้าไปในห้อง
ประตูห้องปิดลงหลังเขาเดินเข้ามา เขาวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียงก่อนจะคร่อมกายทาบทับ จุมพิตนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า “เดิมไม่อยากรังแกเจ้า เจ้ากลับคิดมากไม่ยอมฟังข้า ข้าว่าเช่นนั้นก็ควรทำให้เจ้าเหนื่อย พอเหนื่อยแล้วจะได้ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น…”
พูดพลางก็แก้ปมสายคาดเอวนาง ชุดกระโปรงสีควันอันงดงามแยกออกร่วงหล่น เผยให้เห็นผิวขาวเนียนเกลี้ยงเกลาดุจหยกน้ำงาม
เซี่ยฟางหวายกมือโอบกอดเขา ใช้ลำคอตนเองคลอเคลียเข้ากับต้นคอเขา พร่ำเรียกด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “ฉินเจิง ฉินเจิง ฉินเจิง…”
“ถ้ายังเรียกต่อไปเช่นนี้ ข้าคงเสียนิสัยกันพอดี” ฉินเจิงหัวเราะแผ่ว ก่อนมอบจุมพิตอันร้อนแรงให้นาง
ตะวันแม้คล้อยใกล้ลาลับ ทว่ายังเป็นตอนกลางวัน แสงภายนอกสว่างอย่างยิ่ง
ม่านริมหน้าต่างตกลงทำให้ภายในห้องมืดสลัว ม่านบนเตียงปิดทับอีกชั้น บดบังเพลงรักบนเตียงใหญ่
ตะวันสิ้นแสง แทนที่ด้วยแสงจันทร์
ถ้อยคำพลอดรักไม่เสื่อมคลาย ใบหน้าสะสวยขึ้นสีระเรื่อ
กระทั่งเซี่ยฟางหวาเหนื่อยจนขยับปลายนิ้วไม่ได้ ฉินเจิงถึงยอมปล่อย ตระกองกอดนางผล็อยหลับไป
หนุนนอนเคียงข้างหลับฝันดีผ่านราตรีนี้ไปด้วยกัน
เซี่ยฟางหวาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ตะวันสายโด่งของวันถัดมาแล้ว นางลืมตาขึ้น ยื่นมือสัมผัสบนฟูกนอนข้างกาย พบว่าบริเวณนั้นเย็นเยียบ มองทั่วห้องก็ไม่เห็นเงาฉินเจิง นางกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง รู้สึกปวดเมื่อยทั่วร่างกายและอ่อนเพลียอย่างยิ่ง หลังนั่งนิ่งบนเตียงพักหนึ่งก็คลุมเสื้อลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูห้องออกมา
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบเข้ามาหา
เซี่ยฟางหวาพิงกรอบประตู มองท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสข้างนอก ดอกเหมยในเรือนลั่วเหมยอาบแสงแดดด้วยความสงบ วันที่อากาศดีเช่นนี้ไม่พบฉินเจิง นางจึงเอ่ยถาม “ฉินเจิงเล่า ไปไหนแล้ว”
“กะแล้วว่าพอคุณหนูตื่นมาต้องถามหาท่านอ๋องน้อย” ซื่อฮว่าเม้มปากกลั้นยิ้ม “ท่านอ๋องน้อยถูกคนจากกรมอาญาเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ก่อนไปกำชับพวกเราไว้ว่า หากคุณหนูถามหาก็บอกท่านว่าเขาไปกรมอาญา เดาว่านอกจากกรมอาญาแล้ว คนของศาลต้าหลี่ก็มาหาเขาเช่นกัน คิดว่าวันนี้คงยุ่งทั้งวัน หากตอนบ่ายท่านไม่อยากออกไปไหนก็อยู่ทานมื้อกลางวันที่เรือนลั่วเหมย ไม่ต้องรอเขา ตอนเย็นจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “เป็นเรื่องคดีพวกนั้นอีกแล้วหรือ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ซื่อฮว่าตอบ “ท่านอ๋องน้อยยังสั่งอีกว่าอย่าให้คุณหนูคิดมาก รักษาร่างกายให้ดี ไม่ต้องสนใจคดีพวกนี้แล้ว”
เซี่ยฟางหวานวดคลึงหว่างคิ้วแล้วผงกศีรษะ
“เมื่อคืนชิงเกอจัดการนำโหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน และคุณชายหลินซีออกจากเมืองหลวงแล้ว นอกจากนำสายลับจวนโหวไปด้วยจำนวนหนึ่งแล้ว หอเทียนจีเก๋อยังส่งผู้คุ้มกันติดตามในที่ลับด้วย เขาบอกให้คุณหนูวางใจได้ จะต้องส่งโหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน และคุณชายหลินซีไปยังสถานที่ที่ท่านกำหนดไว้อย่างปลอดภัยแน่นอน” ซื่อฮว่าก้าวขึ้นมากระซิบข้างหู
“อืม” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วถามต่อ “หาที่พักของท่านตา ท่านพี่ และเหยียนเฉินเจอหรือยัง”
“ท่านอาวุโสชุยออกจากเป่ยฉีมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ตอนนี้ยังไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา “แต่ตอนนี้ท่านโหวกับคุณชายเหยียนเฉินอยู่ที่หลินอัน หลินอันเกิดน้ำท่วมหนักมากจนทำให้สะพานขาด พวกเขาจึงติดค้างอยู่ที่หลินอัน บังเอิญพบองค์รัชทายาทไปขุดลอกคูคลองที่นั่น ตอนนี้จึงอยู่ร่วมกับท่านโหวและคุณชายเหยียนเฉิน ห่างจากเมืองหลวงแปดร้อยลี้เจ้าค่ะ”
“รัชทายาทขุดลอกคูคลอง นึกไม่ถึงเลยว่าไปไกลขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว
“หลินอันเป็นแหล่งผลิตเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าที่สำคัญ ครั้งนี้หลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรง ส่งผลกระทบกับการจัดหาเสบียงอาหารในหนานฉินตลอดปี โดยเฉพาะการจัดสรรให้กรมทหาร องค์รัชทายาททรงนำเงินที่พ่อค้ามั่งคั่ง ผู้มีฐานะ และจวนต่างๆ บริจาคให้ไปแจกจ่ายช่วยเหลือด้วยตัวเอง ขุนนางแต่ละพื้นที่ร่วมมือด้วย ฟังว่าหลายวันก่อนไปถึงหลินอันแล้ว เนื่องจากหลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรง ท่านโหวจึงให้ตระกูลเซี่ยที่มีกิจการในหลินอันช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยเช่นกัน” ซื่อฮว่าบอก
“มิน่าฉินอวี้ถึงรีบไปขุดลอกคูคลอง เพราะเสบียงเลี้ยงทหารกับม้า การเกษตรและการเก็บเกี่ยว ส่งผลกระทบกับกำลังของชาติในปีนี้โดยตรง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ใช่เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบ “เกรงว่าองค์รัชทายาทคงยังมิได้กลับเมืองในเวลาอันสั้นนี้ ส่วนหลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรง เกรงว่าท่านโหวเซี่ยของเราคงต้องเสียเวลาอยู่ที่หลินอันระยะหนึ่งกว่าจะได้เดินทางไปรับช่วงต่ออำนาจการทหารที่ม่อเป่ย”
“ข้าจำได้ว่าข้างกายท่านพี่มีชูฉือที่ฉินอวี้ส่งไปติดตามอยู่ด้วย” เซี่ยฟางหวาถาม
“ชูฉือติดตามท่านโหวตลอดเวลา” ซื่อฮว่าพยักหน้า
“แปดร้อยลี้จากเมืองหลวงไปยังหลินอันก็ไม่ได้ไกลนัก จดหมายที่ส่งไปหาเหยียนเฉินน่าจะไปถึงคืนวันนี้กระมัง ถ้าเหยียนเฉินส่งจดหมายกลับมา ไม่คืนพรุ่งนี้ก็เช้ามะรืนคงมาถึง เช่นนั้น…” เซี่ยฟางหวานวดหว่างคิ้ว
นางกำลังไตร่ตรอง สี่ซุ่นก็เข้ามาที่เรือนลั่วเหมยด้วยความรีบร้อน หลังพบนางก็รีบเอ่ยขึ้น “พระชายาน้อย ฝ่าบาททรงส่งคนมาเรียกท่านรีบเข้าวังขอรับ”
“หืม” เซี่ยฟางหวามองเขา “ด้วยเรื่องใด”
“อู๋กงกงเป็นคนมาถ่ายทอดข้อความ มิได้บอกอันใด” สี่ซุ่นมองนางแวบหนึ่ง “บ่าวได้รับคำสั่งจากพระชายาว่า ขอเพียงเป็นเรื่องของพระชายาน้อยก็ต้องไปรายงานให้นางทราบก่อน เมื่อครู่พระชายาบอกให้บ่าวช่วยปฏิเสธแทนท่าน อ้างว่าตอนนี้ท่านยังไม่แข็งแรงดี ทว่าก่อนท่านอ๋องน้อยออกไปได้กำชับบ่าวไว้ว่า หากมีใครมาหาท่านก็ไม่ต้องปิดบัง ให้ท่านตัดสินใจเอง บ่าวจึงมารายงาน”
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วตอบเขาว่า “ร่างกายข้ายังไม่แข็งแรงพอ ไม่สะดวกเข้าวัง ปฏิเสธไปเถิด”
“ขอรับ” สี่ซุ่นขานรับแล้วรีบออกไป
ซื่อฮวาเห็นสี่ซุ่นออกไปแล้วก็ขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวาแล้วกระซิบ “คุณหนู เมื่อวานฝ่าบาทเพิ่งพบท่านอ๋องน้อยไป วันนี้ก็รีบร้อนอยากพบท่านอีก ต้องมิใช่เรื่องดีเป็นแน่ ฝ่าบาททรงไม่โปรดปรานท่านตลอดมา”
“น่าจะเป็นเรื่องจวนจงหย่งโหว” เซี่ยฟางหวายิ้ม
“คุณหนูเตรียมการส่งโหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน และคุณชายหลินซีออกจากเมืองหลวงลับๆ ท่านคิดว่าฝ่าบาททรงทราบแล้วหรือ” ซื่อฮว่าตกใจ
“สายลับราชสำนักจับตามองจวนจงหย่งโหวตลอดมา ขอเพียงจวนจงหย่งโหวมีการเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว ย่อมปิดบังฝ่าบาทในวังหลวงไม่ได้เช่นกัน” เซี่ยฟางหวาบอก “อีกอย่าง เรื่องที่พวกเขาออกเดินทางก็ไม่ได้ตั้งใจปิดเป็นความลับขนาดนั้น”
“คุณหนู ฝ่าบาทจะทรงตำหนิหรือไม่” ซื่อฮว่ากังวลเล็กน้อย
“จวนจงหย่งโหวไม่ได้ทำอันใดผิด ท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีไม่มีตำแหน่งทางราชการ ย่อมเข้าออกเมืองได้โดยอิสระอยู่แล้ว ถึงแม้พระองค์จะทรงตำหนิ แต่จะทรงตั้งคำถามได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาไม่ยี่หระ
ซื่อฮว่าพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วสั่งงาน “เจ้าไปที่เรือนหลัก บอกพระชายาว่าเมื่อคืนข้าได้ส่งท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีออกจากเมืองแล้ว หนึ่งเพื่อให้จวนจงหย่งโหวหายหน้าไปจากเมือง สองเพื่อไม่ให้ปรมาจารย์ภูเขาลับลงมือกับท่านปู่ คาดว่าฝ่าบาทน่าจะทรงทราบข่าวจึงอยากพบข้าด้วยเรื่องนี้”
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าขานรับแล้วรีบเดินออกไป
เซี่ยฟางหวายืนหน้าประตูพักหนึ่งก่อนกลับเข้าห้อง ซื่อม่อเข้ามาปรนนิบัติกิจวัตรยามเช้าให้นาง
ไม่นานซื่อฮว่าก็กลับมารายงาน “คุณหนู พระชายาบอกว่าทราบแล้ว เมื่อคืนก่อนโหวเหยผู้เฒ่าออกเดินทางได้ส่งคนมาบอกนางแล้วเจ้าค่ะ นางบอกว่าในเมืองวุ่นวายถึงเพียงนี้ โหวเหยผู้เฒ่าถูกกักอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว ยามนี้ได้ออกไปท่องโลกภายนอกก็ดีเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในยามนี้แล้ว เพียงแต่ระหว่างทางต้องมีการคุ้มกันอย่างดี ฝ่าบาททรงทราบข่าวได้ เช่นนั้นผู้อื่นก็ทราบข่าวได้เช่นกัน”
เซี่ยฟางหวายืนริมหน้าต่าง มองไปยังต้นเซียนเค่อไหลที่ถูกแสงแดดส่องกระทบ แววตานางพลันดุดันเยือกเย็นขึ้นมา “หากผู้อื่นทราบข่าวก็ดี กลัวก็แต่พวกเขาจะไม่ทราบข่าว”
ซื่อฮว่ามองนางด้วยความไม่เข้าใจ
เวลานี้ซื่อม่อก็ยกอาหารกลางวันเข้ามา เซี่ยฟางหวาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ
หลังทานมื้อกลางวันเสร็จ เซี่ยฟางหวาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาพักผ่อน
ไม่นานก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากนอกจวนว่า “ฮองเฮาเสด็จ”
เซี่ยฟางหวาแสร้งไม่ได้ยิน นั่งต่อเงียบๆ
ไม่นานซื่อฮว่าก็ผลักประตูเข้ามา กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนู ฮองเฮาเสด็จมาที่จวนของเราเจ้าค่ะ ตรัสว่าได้ยินว่าท่านร่างกายไม่แข็งแรงจึงเสด็จมาเยี่ยมท่านที่จวนด้วยตัวเอง พระชายาออกไปรับเสด็จแล้ว ทว่ามิได้ไปที่เรือนหลัก หากแต่ตรงมายังเรือนลั่วเหมยของเรา”