จารใจรัก - ตอนที่ 65-1 โหดร้ายทารุณ
ได้ยินพระชายาอิงชินอ๋องบอกเช่นนี้ เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้นว่า “เป็นดังคาด”
“หวาเอ๋อร์ เจ้ารู้สิ่งใดแล้วหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมองนางด้วยความมึนงง
“ท่านแม่ ข้าแค่รู้สึกว่าเกิดเรื่องขึ้นในเมืองมากเช่นนี้ ผู้อยู่เบื้องหลังกับจวนอวี้เชียนอ๋องต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่ ท่านว่าหลานชายอวี้เชียนอ๋องหายไป เขาไม่เพียงแค่ไปหาฝ่าบาท จวนอิงชินอ๋อง จวนจงหย่งโหว และจวนใหญ่อื่นๆ ภายในเมือง อำนาจแต่ละฝ่ายต่างมีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ทั้งหลอกตบตาเขาก็ดี ทั้งมีไมตรีช่วยเขาตามหาหลานชายจริงๆ ก็ดี สุดท้ายก็มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวพันไปหมดทั้งในและนอกเมืองหลวง หลังเกิดเรื่องก็เกิดคดีสังหารตามมาไม่หยุด ลูกหลานเขาหายตัวไปกลับทำให้ถูกมองข้ามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีพวกนี้ได้ง่าย บางทีอาจชักนำให้เข้าใจผิด” เซี่ยฟางหวารั้งมือพระชายาอิงชินอ๋องนั่งลงแล้วกล่าวขึ้น
“จวนอวี้เชียนอ๋อง” พระชายาอิงชินอ๋องกระแทกถ้วยชา กล่าวด้วยโทสะ “พวกเขาหมายจะทำสิ่งใดกันแน่ ต้องการปั่นป่วนหนานฉินรึ”
“ตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดาของข้า ยังตัดสินชี้ชัดมิได้ ท่านแม่อย่างเพิ่งร้อนใจเลย” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเบา “ข้าให้คนนำเรื่องนี้ไปบอกฉินเจิงแล้ว เขาน่าจะมีความคิดใดบ้าง”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ระงับโทสะลง ลูบมือนาง “อวี้เชียนอ๋องเข้าเมืองมาเพราะรัชทายาท หากเขาเกี่ยวข้องกับผู้อยู่เบื้องหลังจริง ไม่รู้ว่ารัชทายาททรงทราบหรือไม่ หากเป็นรัชทายาทที่ทรงชี้แนะให้ทำ เช่นนั้น…” นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“หากรัชทายาททรงนำบ้านเมืองมาล้อเล่น เช่นนั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิ” เซี่ยฟางหวายิ้ม
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“อวี้เชียนอ๋องก็ใช้แซ่ฉิน เป็นราชนิกุลหนานฉินเช่นกัน” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก “ฉินอวี้ใช้งานอวี้เชียนอ๋อง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นดาบสองคม” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ทราบหรือไม่ ตอนนั้นเหตุใด
อวี้เชียนอ๋องถึงได้เขตปกครองที่หลิงหนาน”
“เรื่องนี้ข้ารู้” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “สมัยนั้นเนื่องจากท่านอ๋องมีความผิดปกติที่ขาจึงหมดสิทธิ์ได้สืบทอดราชบัลลังก์ บรรดาองค์ชายต่างช่วงชิงประจบสอพลอไทเฮากับท่านอ๋อง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงมีไหวพริบเรียนรู้ไว มีพรสวรรค์รอบด้าน มีชื่อเสียงควบคู่มากับซื่อจื่อเซี่ย ราชวงศ์มีองค์ชายเช่นนี้กำเนิดขึ้นมา ถึงแม้เขาไม่คิดแย่งชิงก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาขององค์ชายท่านอื่น เต๋อฉือไทเฮาทรงเลือกหลี่ว์กุ้ยเหรินกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้ชาญฉลาดจากบรรดาองค์ชาย ระหว่างสนับสนุนให้ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็ต้องผ่านการประลองฝีมืออย่างสุดกำลังจากทั้งที่แจ้งและที่ลับ ในที่สุดก็ได้สืบทอดราชบัลลังก์”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า เรื่องนี้นางพอทราบมาบ้าง
“บรรดาองค์ชายจากตอนนั้น ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงอวี้เชียนอ๋องผู้เดียว นั่นย่อมมีสาเหตุเช่นกัน ตอนนั้นมีพี่น้องจำนวนมาก การแย่งชิงตำแหน่งครั้งนั้นส่งผลให้ทั้งตาย ทั้งบาดเจ็บ ทั้งถูกเนรเทศ อวี้เชียนอ๋องกลับไม่เคยร่วมแย่งชิงบัลลังก์เลย ทำเพียงแค่แลกสิ่งที่มีอยู่ในมือเพื่อเอาตัวรอด” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “หากทำตามความคิดของไทเฮา อวี้เชียนอ๋องก็ไม่ควรไว้ชีวิตเช่นกัน แต่ท่านอ๋องมีเมตตา คิดว่าพี่น้องทั้งหลายต่างมีจุดจบอันน่าเวทนาแล้ว หากแม้แต่อวี้เชียนอ๋องที่ไม่นิยมความขัดแย้ง ปรารถนาเพียงปกป้องตัวเองเท่านั้นยังไม่ยอมไว้ชีวิต เช่นนั้นจะสร้างชื่อเสียงแง่ลบแก่ฝ่าบาท ถูกอนุชนประณามไปอีกพันปี ฝ่าบาททรงคิดว่ามีเหตุผล ครั้นแล้วก็ไว้ชีวิตอวี้เชียนอ๋อง มอบเขตปกครองหลิงหนานให้ดูแล”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
“อวี้เชียนอ๋องอยู่ที่หลิงหนานตลอดมา กระทั่งก่อนไทเฮาสวรรคต ทรงออกพระราชเสาวนีย์สั่งเสียไว้ล่วงหน้าว่าห้ามอวี้เชียนอ๋องกลับมาร่วมพิธีไว้ทุกข์โดยเด็ดขาด” พระชายาอิงชินอ๋องบอก “ดังนั้นสี่ปีก่อน
อวี้เชียนอ๋องจึงไม่ได้กลับมา กระทั่งปีนี้ฝ่าบาททรงอาศัยวันเกิดท่านอ๋อง เรียกอวี้เชียนอ๋องกลับเมือง ฟังว่าเป็นความคิดของฉินอวี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เชียนอ๋องกลับเมืองหลวงหลังจากที่ฝ่าบาททรงราชาภิเษก”
“หลิงหนาน ความจริงแล้วเป็นดินแดนที่ห่างสายพระเนตรฮ่องเต้” เซี่ยฟางหวาบอก “อีกอย่างเท่าที่ข้าทราบมา หลิงหนานมีอัจฉริยะบุคคลจำนวนมาก”
“หวาเอ๋อร์ เจ้าจะบอกว่าอวี้เชียนอ๋องมีเจตนาเป็นปรปักษ์หรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง
“นี่ต้องถามรัชทายาทแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ในเมื่อรัชทายาทกล้าใช้เขาก็ต้องมีเหตุผลเป็นแน่”
พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจก่อนนวดหว่างคิ้ว “ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เจ้ารีบพักผ่อนดีกว่า บอกแล้วว่าจะไม่ให้เจ้ากังวลใจ ข้ากลับนำเรื่องนี้มาปรึกษาเจ้าก่อน”
“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางส่ายหน้า
พระชายาอิงชินอ๋องลูบหลังมือนางก่อนลุกขึ้นยืน กำชับสองสามประโยคก่อนออกจากเรือนลั่วเหมย
เซี่ยฟางหวานั่งต่ออีกพักหนึ่งก่อนกลับไปนอนที่เตียง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใด กระทั่งสัมผัสได้ว่าบนหน้ามีบางสิ่ง นางยกมือปัดมันออกไปให้พ้นดวงหน้า ทว่าไม่นานสิ่งนั้นก็กลับมาก่อกวนบนใบหน้าอีกครั้ง นางยกมือจับมันเอาไว้แล้วลืมตาขึ้น
ภาพเบื้องหน้าเป็นนิ้วมือที่ถูกนางจับเอาไว้ นางหันหน้าเชื่องช้า ถึงเห็นว่าฉินเจิงนั่งพิงตั่งอยู่ข้างเตียงอย่างเกียจคร้าน เขากำลังเหลือบมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ตื่นแล้วรึ”
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร” เซี่ยฟางหวากะพริบตามอง เขย่านิ้วมือเขาถามขึ้น
“ครึ่งชั่วยามก่อน” ฉินเจิงมองนาง “ข้าเห็นว่าฟ้ามืดแล้วแต่เจ้ายังไม่ยอมตื่น กลัวว่าเจ้าจะหลับไปจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้จึงได้แต่ต้องปลุกเจ้าขึ้นมา”
เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า พบว่าจุดตะเกียงในห้องแล้วเพราะภายนอกมืดสนิท “ยามใดแล้ว”
“ยามซวี*[1]แล้ว” ฉินเจิงตอบ
“ดึกขนาดนี้แล้วรึ ข้าหลับไปถึงครึ่งวันเชียวรึ” เซี่ยฟางหวาตกใจ
“คล้ายเป็นเช่นนั้น” ฉินเจิงหัวเราะแผ่วเบา
เซี่ยฟางหวาปล่อยนิ้วเขา ก่อนล้มตัวลงนอนใหม่อย่างเกียจคร้าน “น้อยครั้งจะไม่ฝันถึงสิ่งใดเลย”
“ยังอยากนอนต่ออีกหรือ” ฉินเจิงมองนาง
เซี่ยฟางหวาหาวก่อนตอบ “อืม”
“ไม่ต้องนอนต่อแล้ว ลุกมากินมื้อเย็นก่อน คนในหมู่บ้านของหลี่มู่ชิงส่งปลาเหลืองมาให้เขาหลายตัว เขารู้ว่าช่วงนี้ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงจึงให้คนนำมาให้ ข้าสั่งคนครัวนำไปทำอาหารแล้ว” ฉินเจิงดึงนางขึ้นมา
“ปลาเหลืองรึ” เซี่ยฟางหวารีบลุกขึ้นทันที
“เขารู้ด้วยว่าเจ้าชอบสิ่งใดบ้าง” ฉินเจิงดีดหน้าผากนาง ลุกลงจากเตียงด้วยความอิจฉาอยู่บ้าง
เซี่ยฟางหวาลูบศีรษะป้อยๆ รอให้ตัวเองตื่นดีแล้วก็ลุกตามเขามา “วันนี้มีสิ่งใดคืบหน้าบ้างหรือไม่”
“ไม่มี” ฉินเจิงนั่งลงที่โต๊ะ รินน้ำชาส่งให้นาง
เซี่ยฟางหวามองเขา ออกไปตั้งหนึ่งวันจะไม่มีความคืบหน้าใดเลยได้อย่างไร เพียงแค่ไม่อยากบอกนางก็เท่านั้น นางเบะปากแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม เมื่อเขาไม่บอก นางก็ไม่ซักถามต่อ
ไม่นานซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกอาหารเย็นเข้ามา
เซี่ยฟางหวาเห็นว่ากับข้าวมีปลาเหลืองจริง นางรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วยิ้มกล่าว “ปลาเหลืองมีถิ่นกำเนิดในทะเลบูรพา นึกไม่ถึงว่าหมู่บ้านของหลี่มู่ชิงจะหาปลาชนิดนี้มาได้ ดูท่าคงมีคนเคยไปทะเลบูรพามาแล้ว”
“ตอนนำปลามาให้ เขาบอกว่ามีกิจการทางน้ำอยู่ โดยเฉพาะการกู้ภัยเลียบทะเลบูรพา หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอความช่วยเหลือจากเขาได้” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“ท่าทางเรื่องท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีไปทะเลบูรพาคงเผยแพร่ออกไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
ฉินเจิงไม่ออกความเห็น
“ในเมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็มีเรื่องให้เขาช่วยเล็กน้อย” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “พรุ่งนี้ให้เขามาที่จวนของเราหน่อย ข้าจะคุยกับเขาต่อหน้า”
“ไม่ได้” ฉินเจิงปฏิเสธทันที “เจ้าจะให้เขาทำอะไร ข้าจะบอกแทนให้”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
“จิตใจเขาจะได้ไม่ว้าวุ่น” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็รบกวนสามีไปบอกคุณชายหลี่ด้วยว่า หากเขามีเรือเดินทะเลเยอะ ข้าขอยืมสักสิบลำ” เซี่ยฟางหวาหัวเราะ
“เจ้าต้องการเรือเดินทะเลมากขนาดนั้นไปทำไม” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“คุ้มครองท่านปู่ออกทะเลน่ะสิ แม้ข้าเตรียมไว้เองแล้วสองลำ แต่จะไปเพียงพอได้อย่างไรกัน” เซี่ยฟางหวาทำท่าเหมือนเป็นความลับ
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะบอกเขาให้” ฉินเจิงรับคำ
ทั้งคู่คุยเล่นอีกครู่หนึ่งก่อนตั้งใจทานมื้อเย็น
หลังมื้อเย็นจบลง ฉินเจิงนั่งพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อเซี่ยฟางหวาสั่งคนเข้ามาเก็บกวาดอาหารที่เหลือบนโต๊ะก็ลุกขึ้นยืน เดินมาซ้อนหลังฉินเจิง ก่อนยกมือนวดไหล่ทุบหลังให้เขา
“เดิมข้านึกว่าจะแต่งคุณหนูเข้ามา ข้าต้องเป็นคนคอยปรนนิบัติ ไม่นึกเลยว่าจะได้ผลลัพธ์เหนือความคาดหมายไปมาก ตอนนี้เห็นแล้วว่าเป็นภรรยาที่ดี” ฉินเจิงเอ่ยขึ้นอย่างเพลิดเพลินยิ่ง
เซี่ยฟางหวาได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ทุบอย่างแรง
ฉินเจิงร้องอุทานก่อนพึมพำขึ้น “ชมก็ไม่ได้”
เซี่ยฟางหวาหัวเราะ ผ่อนกิริยาอ่อนลง
ผ่านไปพักหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าฉินเจิงจะนั่งหลับบนเก้าอี้
เซี่ยฟางหวาผละมือออกเชื่องช้า นิ่งมองเขาเงียบๆ หลายวันนี้เขาคงเหนื่อยมาก มักจะหลับไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้เสมอ…
ฉินเจิงที่นางรู้จักควรเป็นชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ควบม้าสะบัดแส้ เป็นคุณชายผู้โดดเด่นสะดุดตาในเมืองหลวง มีบุคลิกสง่าผ่าเผย กระทำตามอำเภอใจ ไม่เอาจริงเอาจัง เต็มไปด้วยความยโสโอหัง ไม่ควรแบกรับความรับผิดชอบในราชสำนักไว้บนบ่าเช่นนี้ เรื่องแล้วเรื่องเล่าทับบนศีรษะเขาจนกลบนิสัยตามอำเภอใจไปแล้ว ทำให้รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างยิ่ง
นางมองเขาพักหนึ่ง คิดอยากปลุกเขา ทว่าก็รู้สึกว่าน้อยครั้งจะเห็นเขาหลับเช่นนี้จึงตัดสินใจไม่ปลุก ปล่อยให้เขาได้หลับต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน
“คุณหนู” ไม่นานซื่อฮว่าก็ส่งเสียงเรียกแผ่วเบาจากหน้าประตู
เซี่ยฟางหวาเดินออกมาเปิดประตูมองนาง “มีเรื่องใด”
“จดหมายจากคุณชายเหยียนเฉินเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ายื่นจดหมายฉบับหนึ่งมาให้
เซี่ยฟางหวารับมาเปิดอ่านเชื่องช้า จดหมายอีกฉบับหนึ่งจากข้างในร่วงตกลงบนพื้นขณะนางเปิดออก นางย่อตัวเก็บกระดาษจดหมายขึ้นมา พบว่าข้างในเขียนข้อความสั้นๆ บรรทัดหนึ่ง ลงชื่อแนบท้ายไว้ว่าฉินอวี้
เซี่ยฟางหวาอ่านจบก็ขมวดคิ้ว เก็บกระดาษจดหมายนั้นไว้แล้วเปิดอ่านจดหมายของเหยียนเฉิน เนื้อความในจดหมายของเขาก็เขียนไว้สั้นๆ เช่นเดียวกัน
เซี่ยฟางหวาอ่านจบก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณหนู เกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา
“เกิดโรคห่าระบาดที่เมืองหลินอันจริง เริ่มคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“แล้วท่านโหวเล่า” ซื่อฮว่าตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป
“ตอนนี้ท่านพี่ปลอดภัยดี” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “เมื่อโรคห่าระบาดขึ้นมา ลำพังแค่กำลังของคนคนเดียวเกรงว่ายากจะควบคุมได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าฐานะพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีของเหยียนเฉินจะถูกเปิดโปงแล้ว หากมีคนอาศัยเรื่องโรคห่าระบาดก่อเรื่อง ผลลัพธ์เป็นเช่นไรคงทราบดี”
“เช่นนั้นทำอย่างไรดีเล่า” ซื่อฮว่าเอ่ยถามเสียงเบา “หรือว่าคุณหนูจะไปเมืองหลินอันเอง ร่างกายท่านเพิ่งจะดีขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น…”
“ในเมื่อเป็นโรคห่าระบาดจริง ถึงแม้ร่างกายข้าไม่พร้อมก็ต้องไป” เซี่ยฟางหวาเก็บจดหมายแล้วบอกซื่อฮว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ข้าจะปรึกษาฉินเจิงก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง”
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากลับออกไป
*ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19:00 น. – 21:00 น.