จารใจรัก - ตอนที่ 66-2 ถึงตายก็ไม่แต่ง
ไม่นานหมอหลวงก็ถูกเชิญมาที่จวนอิงชินอ๋อง หลังผ่านประตูจวนเข้ามาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดพักหายใจแม้แต่ครู่เดียว ถูกลากไปยังเรือนลั่วเหมยด้วยความรีบร้อน
เวลานี้หลินชีนำร่างฉินเจิงขึ้นมานอนบนเตียงแล้ว เมื่อเห็นอิงชินอ๋องกับหมอหลวงเดินตามกันเข้ามาก็รีบหลีกทางให้ด้วยใบหน้าซีดขาว “ไม่ว่าข้าเรียกท่านอ๋องน้อยเช่นไร ท่านอ๋องน้อยก็ไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเลยขอรับ”
“หมอหลวงรีบตรวจเขาเถอะ” อิงชินอ๋องบอก
หมอหลวงท่านนี้อยู่เข้าเวรในสำนักหมอหลวงวันนี้ แม้ไม่ได้มีวิชาแพทย์ดีเยี่ยมเหมือนหมอหลวงซุน แต่ก็มิได้อ่อนด้อย มักเรียนรู้จากหมอหลวงซุนด้วยความถ่อมตัวเสมอ หลังหมอหลวงซุนเสียชีวิต งานของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเป็นกอง การถวายการรักษาฝ่าบาทและพระสนมต่างตกอยู่ในความรับผิดชอบของเขา เขาจึงต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น ยามนี้เห็นว่าฉินเจิงสลบไปจึงรีบมาตรวจชีพจรให้
พักต่อมาเขาก็ถอนหายใจยาว ประสานมือกล่าวกับอิงชินอ๋อง “เรียนท่านอ๋อง ท่านอ๋องน้อยมีอาการกระวนกระวายแล่นโจมตีหัวใจทำให้สลบไปชั่วเวลาหนึ่ง ภายในช่องท้องมีเลือดออก สร้างความเสียหายเล็กน้อย มิได้ร้ายแรงขอรับ”
“เขาจะฟื้นเมื่อไร” อิงชินอ๋องโล่งอก
“แค่ฝังเข็มก็ฟื้นแล้ว ต้องแล้วแต่ท่านอ๋อง หากมิรีบร้อน อยากให้ท่านอ๋องน้อยฟื้นช้าหน่อยก็อีกสามชั่วยามให้หลัง เขาน่าจะฟื้นขึ้นมาเอง แต่หากท่านอ๋องรีบ เช่นนั้นข้าก็จะฝังเข็มให้ เพียงหนึ่งก้านธูป ท่านอ๋องน้อยก็ฟื้นแล้วขอรับ” หมอหลวงตอบ
“เช่นนั้นเจ้าฝังเข็มเถอะ รีบให้เขาฟื้นมา” อิงชินอ๋องบอก
หมอหลวงพยักหน้าแล้วหยิบเข็มออกมาจากกระเป๋ายา ก่อนฝังเข็มบนจุดฝังเข็มให้ฉินเจิง
“ฝังเข็มครั้งนี้ไม่อันตรายต่อร่างกายเขาใช่ไหม” อิงชินอ๋องถาม
หมอหลวงส่ายหน้า “มิอันตรายขอรับ ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิด” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวเพิ่มเติม “แต่กระหม่อมตรวจชีพจรให้ท่านอ๋องน้อย พบว่าอาการบาดเจ็บภายในยังไม่หายสนิท ทั้งมีเลือดออกเพิ่มขึ้น ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก ต้องถนอมร่างกายให้มากกว่านี้ ค่อยๆ บำรุงรักษาไป ห้ามชะล่าใจโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นหากลมปราณไม่สมบูรณ์จะยิ่งร้ายแรงขึ้น”
อิงชินอ๋องผงกศีรษะ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
หลินชีฟังอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะถอนหายใจ
เวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา ฉินเจิงก็ลืมตาขึ้น
“ฟื้นแล้ว ท่านอ๋องน้อยฟื้นแล้วขอรับ” หมอหลวงดึงเข็มออกแล้วเอ่ยกับฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อยรู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนหรือไม่”
นัยน์ตาของฉินเจิงที่เพิ่งลืมตาขึ้นสว่างสุกใส เขากวาดตามอง เห็นอิงชินอ๋อง หมอหลวง หลินชี รวมถึงโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็ราวกับนึกบางสิ่งได้ ประกายในแววตาหม่นลงคล้ายกับปกคลุมด้วยเมฆครึ้มชั้นหนึ่ง
“คงไม่มีปัญหาใด รบกวนเจ้าแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าวกับหมอหลวง
หมอหลวงเองก็ทราบว่าคงเกิดบางอย่างขึ้นในจวนอิงชินอ๋อง ดังนั้นฉินเจิงถึงได้สลบไปเพราะความกระวนกระวายแล่นโจมตีหัวใจ ในเมื่อคนป่วยฟื้นแล้ว อยู่ต่อไปคงไม่ดีนักจึงถือโอกาสขอตัวลา “มิรบกวน ข้าขอตัวก่อน”
“หลินชี ส่งหมอหลวง ตกรางวัลหนักให้ด้วย” อิงชินอ๋องสั่งหลินชี
หลินชีขานรับแล้วรีบมอบทองคำหนักให้พร้อมส่งหมอหลวงออกจากจวน หมอหลวงปฏิเสธก่อน สุดท้ายก็รับเอาไว้แล้วออกจากเรือนลั่วเหมย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดหวาเอ๋อร์ถึงรีบร้อนออกจากจวนไปกลางดึกเช่นนี้” เมื่อภายในห้องเหลือแค่อิงชินอ๋องกับฉินเจิง อิงชินอ๋องก็เอ่ยถามขึ้น
ฉินเจิงไม่ตอบ
“เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่ เจ้ายิงธนูสามดอกใส่นางไม่พอ ยามนี้ยังทำสิ่งใดให้นางเสียใจอีก ในเมื่อวางแผนแต่งเข้ามาด้วยความลำบาก เหตุใดถึงไม่ทะนุถนอมนางให้ดี” อิงชินอ๋องเริ่มโมโห
ฉินเจิงหลับตาลง ไม่ส่งเสียงใด
“เจ้าพูดอะไรบ้างสิ!” อิงชินอ๋องเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ทั้งร้อนใจทั้งโมโห “แม่เจ้าออกไปตามแล้ว นางขี่ม้าตงชิงออกไป ไม่รู้ว่าจะไล่ตามทันหรือไม่”
ฉินเจิงยังคงเงียบ
อิงชินอ๋องจ้องมองเขาพร้อมเอ่ยถามซ้ำแล้วซ้ำอีก ทว่าเขายังไม่ยอมปริปากตอบ เมื่อจนปัญญาแล้วก็ได้แต่กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว มีเรื่องใดไฉนถึงไม่คุยกันดีๆ เอาแต่ทรมานจนอยู่ในสภาพนี้ กว่าพวกเจ้าจะได้สมรสกันไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนหน้านี้ยังดีๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ทำอะไรลงไปอีก”
ทว่าจู่ๆ ฉินเจิงก็ไอออกมา ตะแคงตัวกระอักเลือดลงบนขอบเตียง
“ฉินเจิง” อิงชินอ๋องตกใจ ส่งเสียงเรียกเขา
ฉินเจิงลืมตาขึ้นเชื่องช้า นัยน์ตาคู่นั้นอับแสง มีเพียงความมืดครึ้ม เขาตวัดตามองอิงชินอ๋องแล้วเอ่ยทั้งลำคอแห้งผาก “ท่านพ่อ ข้าสาบานว่าถึงตายก็จะไม่แต่งกับหลี่หรูปี้”
อิงชินอ๋องเห็นเขากระอักเลือดออกมา ทำขอบเตียงและพื้นเปื้อนเลือดกองใหญ่ ประกอบกันได้ยินเขาบอกเช่นนั้นก็แปลกใจทันที “เจ้า…เจ้าพูดอะไร หลี่หรูปี้ คุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาน่ะหรือ นางเป็นอะไรรึ”
“ข้าสาบานว่าถึงตายก็จะไม่แต่งกับหลี่หรูปี้” ฉินเจิงมองเขาแล้วพูดซ้ำ
“เกี่ยวข้องกับหลี่หรูปี้หรือ ใครให้เจ้าแต่งกับนาง นาง…ไม่ใช่ว่าหมั้นหมายกับฉินอวี้แล้วหรือ หรือว่าเกิดเรื่องใดขึ้น” อิงชินอ๋องค่อนข้างสับสน
“ข้าสาบานว่าถึงตายก็จะไม่แต่งกับหลี่หรูปี้” ฉินเจิงพูดขึ้นอีก
อิงชินอ๋องมองเขา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อน ต่อให้ยิงธนูสามดอกใส่เซี่ยฟางหวา เขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง แม้สลบไปเช่นเดียวกัน แต่เมื่อฟื้นมาก็ค่อนข้างเยือกเย็นและสงบนิ่งขึ้นบ้างเท่านั้น บุตรชายคนนี้มีนิสัยต่างจากคนทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก ไม่สนใจประเพณีนิยม กระทำตามอำเภอใจ ทว่าสภาพในตอนนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เขามีลมหายใจอ่อนโหยราวกับถูกดูดจิตวิญญาณจนดูอ่อนแอไปบ้าง ทำเอาตนผู้เป็นบิดาที่เดิมทีเตรียมจะพาลโมโหใส่เขา กลับเอ่ยคำใดไม่ออกอีกเลย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะฝ่าบาท หรือรัชทายาท หรือว่ายังมีคนอื่นอีก” เขาถอนหายใจออกมาแล้วลดเสียงอ่อนลง
แววตาฉินเจิงคล้ายหาจุดวางสายตามิได้ มีแต่ความมืดครึ้ม ไม่ตอบอิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องยืนอยู่หน้าเตียง เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็เริ่มร้อนใจ
ผ่านไปพักหนึ่งก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากข้างนอก “มีพระราชโองการ”
อิงชินอ๋องตกใจ ฟ้ามืดดึกดื่นเช่นนี้แล้วนึกไม่ถึงว่ายังมีพระราชโองการมาอีก เขาหันไปมองฉินเจิง
ฉินเจิงพลันนึกบางสิ่งได้ ผุดลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากเตียง สาวเท้าออกไปข้างนอก
“เจิงเอ๋อร์” อิงชินอ๋องตะโกนเรียก
ฉินเจิงไม่แม้แต่หยุดชะงัก ไม่แม้แต่จะหันมามอง ชั่วพริบตาก็รุดออกจากห้อง ออกจากเรือนลั่วเหมย
อิงชินอ๋องได้แต่สาวเท้าตามเขาไป
สายลมยามราตรีพัดเส้นผมฉินเจิงจนยุ่งเหยิง พัดเอาคราบเลือดที่มุมปากและปกเสื้อแห้งสนิท
เขามุ่งไปยังประตูใหญ่ พบว่าอู๋เฉวียนยืนถือพระราชโองการอยู่ตรงนั้น
“ท่านอ๋องน้อย” ทันทีที่อู๋เฉวียนเห็นฉินเจิงก็ตกใจ สงสัยว่าตนตาฝาดหรือไม่
“พระราชโองการใด” ใบหน้าฉินเจิงเย็นชาจนน่ากลัว จ้องมองพระราชโองการในมือเขาแล้วเอ่ยถาม
อู๋เฉวียนเห็นสภาพเขาราวกับแค่สายตาก็สังหารคนได้ เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง พูดตะกุกตะกักอย่างลำบากใจ “พระราชโองการที่ฝ่าบาท…พระราชทานให้ท่าน”
“เอามาให้ข้า” ฉินเจิงแบมือขอ
“ท่านอ๋องน้อย พระราชโองการ…ยังมิได้อ่าน” อู๋เฉวียนมือสั่น
“ส่งมา” ฉินเจิงดึงพระราชโองการมา
อู๋เฉวียนได้แต่มอบพระราชโองการให้เขา ขณะเดียวกันก็ถอยห่างออกไปหลายก้าว
ฉินเจิงรับพระราชโองการมาเปิดอ่านอย่างว่องไว เมื่ออ่านจบก็เงยหน้ามองอู๋เฉวียนอย่างดุดัน น้ำเสียงเยือกเย็นเสียจนแช่แข็งคนได้ “นี่เป็นพระราชโองการที่เสด็จอาเป็นผู้ออกจริงหรือ”
“เรียนท่านอ๋องน้อย นี่เป็นพระราชโองการของฝ่าบาทจริงขอรับ” อู๋เฉวียนเห็นอิงชินอ๋องตามออกมาก็คล้ายกับเห็นผู้ช่วยชีวิต เปลี่ยนเรื่องด้วยใบหน้าขมขื่น “ท่านอ๋อง ท่าน…แข็งแรงขึ้นแล้วหรือ”
“อู๋กงกง พระราชโองการใดหรือ ไฉนถึงมาประกาศดึกขนาดนี้” อิงชินอ๋องก้าวขึ้นมา เอ่ยถามอู๋เฉวียนด้วยความสุขุมอย่างที่สุด
อู๋เฉวียนมองฉินเจิงแวบหนึ่ง ไม่กล้าตอบคำถาม
“เสด็จอาทรงเห็นพระราชโองการเป็นสิ่งใด ไร้หลักการเช่นนี้เชียวรึ เช้าประกาศตกเย็นก็แก้ไข พระองค์จะมอบสมรสพระราชทานให้ใครก็ออกพระราชโองการ พออยากให้มีการหย่าร้าง เพียงออกพระราชโองการก็หย่าร้างได้แล้วหรือ ถึงเป็นจักรพรรดิ ใต้หล้าไหนเลยจะมีหลักการเช่นนี้ ข้าว่าเสด็จอาทรงประชวรหนักไม่เบา” ฉินเจิงบันดาลโทสะฉับพลัน
“อะไรนะ! นี่เป็นพระราชโองการหย่าร้างรึ” อิงชินอ๋องตกใจ รีบก้าวขึ้นไปดูพระราชโองการในมือฉินเจิง
ฉินเจิงไม่รออิงชินอ๋องอ่านจบ เขาตวัดฝ่ามือทำลายพระราชโองการแหลกเป็นจุณ จากนั้นก็ตะโกนขึ้น “ใครก็ได้! ไปนำม้ามา”
“เจิงเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“เข้าวัง” ใบหน้าฉินเจิงดุจน้ำแข็ง ตอบคำถามสั้นๆ
อิงชินอ๋องเห็นเขามีท่าทางหมายจะสังหารคน ทราบดีว่าคงห้ามไม่อยู่จึงรีบเอ่ยขึ้น “ใครก็ได้ ไปนำม้ามาให้ข้าด้วยตัวหนึ่ง”
มีคนรีบขานรับแล้วทำตามคำสั่ง
“ท่านอ๋องน้อยกับท่านอ๋อง…จะเข้าวังหรือ” อู๋เฉวียนมองสองพ่อลูกด้วยความระวัง
ฉินเจิงชำเลืองมองเขาด้วยแววตาดุดัน ทันใดนั้นก็ตวัดฝ่ามือปัดเขาออกไปให้พ้น
ร่างกายของอู๋เฉวียนคล้ายกับว่าวที่สายป่านขาด ถูกลมฝ่ามือของฉินเจิงปัดกระเด็นออกไปไกล กระแทกเข้ากับกำแพงจนเกิดเสียง ‘ปัก’ กระอักเลือดกองใหญ่ออกมาแล้วสลบไปทันที
ขันทีน้อยที่มาเผยแพร่พระราชโองการกับอู๋เฉวียนด้วยต่างตกใจจนหน้าถอดสี ขาแข้งอ่อนแรง คุกเข่าลงกับพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน
เวลานี้มีคนจูงม้าออกมา
ฉินเจิงไม่แยแสขันทีน้อยเหล่านั้น เขาพลิกกายขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันที
อิงชินอ๋องขึ้นม้าทีหลัง ทว่าไม่รวดเร็วเท่าเขา ถูกเขาทิ้งห่างราวครึ่งถนน
จวนอิงชินอ๋องกับวังหลวงมีการเคลื่อนไหวไล่หลังกัน ทำเอาเมืองหลวงดั่งน้ำเดือดปะทุขึ้นชั่วเวลาหนึ่ง
กระแสข่าวประหนึ่งก้อนหิมะกลิ้งตกจากภูเขา ทุกคนในจวนใหญ่ต่างเกิดความประหลาดใจ