จารใจรัก - ตอนที่ 69-1 ค่ายกลโบราณ
เซี่ยฟางหวาออกจากเมืองทางทิศใต้แล้วเดินทางไปได้ห้าลี้ ฝั่งประตูเมืองก็มีการเคลื่อนไหวพร้อมกับคนและม้ากลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าตามมา
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อหันไปมอง เนิ่นนานถึงมองออกว่าคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นผู้คุ้มกันจวนอิงชินอ๋อง ทั้งสองรีบขี่ม้ามาขนาบข้างเซี่ยฟางหวาแล้วรายงาน “คุณหนู ข้างหลังคล้ายว่าคนของจวนอิงชินอ๋องตามมา ไม่รู้ว่าใช่ท่านอ๋องน้อยหรือไม่…”
“ไม่ใช่เขา น่าจะเป็นพระชายา” เซี่ยฟางหวาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยภายใต้ยามราตรี
“คุณหนู พระชายาออกจากเมืองกลางดึกเพื่อมาตามท่าน ทำเช่นไรดี” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อตกใจ
“ไม่ต้องสนใจ” เซี่ยฟางหวาตอบ
“หากพระชายาตามมาตลอดทางเล่า” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากันแล้วเอ่ยเสียงเบา
“เดินทางต่อไปอีกสามสิบลี้จะถึงภูเขาวงแหวน ข้าจะวางค่ายกลที่นั่นเพื่อขัดขวางพระชายา หลังจากนั้นเราก็อ้อมทางภูเขาเดินทางต่อ หากนางหาร่องรอยไม่พบ พระชายาก็ตามมาไม่ได้อีก” เซี่ยฟางหวาบอก
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นก็เงียบเสียงลง
พวกผิ่นจู๋ที่ขี่ม้าตามอยู่ข้างหลังต่างใคร่ครวญโดยพร้อมเพรียงกัน เห็นชัดว่าคุณหนูรักท่านอ๋องน้อย เคารพต่อพระชายามาก ยามนี้กลับเด็ดขาดเช่นนี้เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ แม้แต่พวกนางซึ่งเป็นสาวใช้ประจำกายยังมองไม่ออก
ทั้งหมดเดินทางต่อ พระชายาอิงชินอ๋องพร้อมด้วยผู้คุ้มกันไล่ตามหลังมาตลอดทาง
กำลังคนที่พระชายาอิงชินอ๋องนำมาด้วยเป็นทหารม้าติดอาวุธที่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษภายในจวนอิงชินอ๋อง เชี่ยวชาญเรื่องการตามร่องรอยและยิงธนูบนหลังม้า ส่วนม้าที่พระชายาอิงชินอ๋องขี่เป็นม้าล้ำค่าหายากในบรรดาม้าด้วยกัน ส่วนเซี่ยฟางหวาแม้มีทักษะการขี่ม้ายอดเยี่ยม ทั้งยังเป็นม้าอันดับหนึ่งในพันลี้ แต่เนื่องจากมีพวกซื่อฮว่าติดตามมาด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางไปได้อีกสามสิบลี้จนมาถึงภูเขาวงแหวนจึงเหลือระยะห่างใกล้กันมากไม่เกินสามลี้
“หวาเอ๋อร์ หยุดก่อน!” พระชายาอิงชินอ๋องตะโกนขึ้น
เซี่ยฟางหวาแสร้งไม่ได้ยิน
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หันกลับไปมอง
“พระชายาน้อย โปรดหยุดก่อน!” ทหารม้าติดอาวุธจวนอิงชินอ๋องตะโกนขึ้นพร้อมกัน
เสียงกีบเท้าม้าดังสนั่นลั่นฟ้า
เมื่อเซี่ยฟางหวาอ้อมมาถึงแนวภูเขาก็พลันดึงเชือกบังเ**ยน พลิกกายลงม้าแล้วยกมือให้สัญญาณพวกซื่อฮว่า ทั้งแปดคนเข้าใจทันทีรีบอ้อมมาอยู่ข้างหลังนางโดยเว้นระยะค่อนข้างห่าง
เซี่ยฟางหวาดึงกระบี่ใต้แขนเสื้อออกมา ตัดท่อนไม้ออกเป็นเก้าท่อน ทั้งขยับฝ่ามือเคลื่อนหินยักษ์เก้าก้อน ทั้งดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมาหักเป็นเก้าส่วน ก่อนเริ่มสร้างค่ายกล
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเคยเรียนค่ายกลมาบ้างเช่นกัน แต่พวกนางยืนอยู่ข้างหลังจึงมองไม่เห็นว่าคุณหนูสร้างค่ายกลอย่างไร
เวลาต่อมาบริเวณที่เซี่ยฟางหวายืนอยู่ก็เริ่มมีหมอกปกคลุม ไม่นานไอหมอกก็แผ่ขยายเป็นวงกว้าง บดบังเงานางไว้ท่ามกลางม่านหมอก เวลาครึ่งถ้วยชาถัดมา เส้นทางสัญจรบริเวณแนวภูเขาทั้งหมดก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยืนอยู่นอกค่ายกล เบื้องหน้าสิบจั้งเต็มไปด้วยหมอกหนาแน่น มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ต่างตกใจจนพูดไม่ออก
เวลาถัดมาเซี่ยฟางหวาก็เดินออกมาจากม่านหมอก ทว่าไม่ได้รีบขี่ม้าเดินทางต่อ หากแต่ยืนรอนอกค่ายกลด้วยความสงบนิ่ง
ไม่นานเสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงมาด้วยความรีบร้อนก็ดังขึ้น
“พระชายาระวังตัวด้วย ข้างหน้ามีหมอกหนา!” มีคนตะโกนขึ้น
“ที่นี่ไฉนถึงมีหมอกลงจัดขนาดนี้ หวาเอ๋อร์ฝ่าหมอกเข้าไปหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องดึงเชือกบังเ**ยน มองหมอกหนาทึบเบื้องหน้าในบริเวณแนวภูเขาด้วยสีหน้าร้อนใจ
“ตรงนี้มีเส้นทางเดียวให้ผ่าน พระชายาน้อยน่าจะฝ่าหมอกหนาเดินทางต่อขอรับ” มีคนตอบ
“เดินทางต่อ ตาม!” สิ้นเสียง พระชายาอิงชินอ๋องก็มุ่งเข้าไปในม่านหมอก
ผู้คุ้มกันสองคนเข้ามาประกบอารักขานาง
ผ่านไปพักหนึ่ง คนผู้นั้นก็เอ่ยขึ้น “พระชายา อย่าตามต่ออีกเลย หมอกยิ่งหนาทึบขึ้นทุกที ข้าน้อยอยู่ใกล้ท่านขนาดนี้ยังแทบมองไม่เห็นท่าน”
“ไม่ได้ ต้องตาม” พระชายาอิงชินอ๋องบอก “หมอกหนาถึงเพียงนี้ ขนาดหวาเอ๋อร์ยังเดินทางฝ่าไปได้ เราก็ต้องทำได้เช่นกัน”
ผู้คุ้มกันเห็นนางยืนกรานก็ต่างเงียบเสียงลง อารักขานางเดินทางต่อไป
ผ่านไปอีกพักหนึ่งก็มีคนเอ่ยขึ้น “พระชายา นี่ผิดปกติ”
“หืม ผิดปกติอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยถามทันที
“ข้าน้อยคิดว่าเรากำลังเดินวนอยู่ที่เดิม นานถึงเพียงนี้แล้ว เดินมาไกลขนาดนี้ แต่คล้ายกับมิได้ก้าวไปข้างหน้าเลย” คนผู้นั้นกล่าว ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง “คล้ายเป็นค่ายกล”
“อะไรนะ!” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ
“จริงขอรับพระชายา เป็นค่ายกลที่ใช้หมอกพรางตาผู้คน พวกเราดูเหมือนฝ่าหมอกไปยังเบื้องหน้า แต่ความจริงแล้วกำลังวนอยู่ที่เดิม นี่เป็นค่ายกลที่ยอดเยี่ยมมาก” คนผู้นั้นกล่าวอีก “ข้าน้อยเคยศึกษาค่ายกลกับอาจารย์ตอนเด็กจึงพอรู้จักบ้างเล็กน้อย”
“ในเมื่อเป็นค่ายกล แล้วเจ้าทำลายได้หรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องถามต่อ
“ค่ายกลประเภทนี้ล้ำเลิศยิ่ง ข้าน้อยไม่เคยได้ยินค่ายกลแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นเช่นกัน หากุญแจหลักของค่ายกล ทิศทาง ทางออกไม่เจอ มิทราบอันใดเลย เพียงแต่อาศัยที่เคยศึกษามาสมัยเด็กคาดเดาว่าเป็นค่ายกลเท่านั้น หากเอ่ยถึงทำลายค่ายกล ข้าน้อยกล้ายืนยันกับพระชายาเลยว่า แม้ให้เวลาข้าน้อยศึกษาสามวันสามคืนก็ทำลายค่ายกลมิได้” คนผู้นั้นส่ายหน้า
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “พอเจ้าพูดแบบนี้ข้าก็คิดว่าเป็นค่ายกลเช่นกัน วันนี้อากาศดีมาก ที่นี่ไม่ใช่ภูเขาลึกด้วยซ้ำจึงไม่ควรมีหมอกลงจัดถึงเพียงนี้ นี่น่าจะเป็นค่ายกลที่หวาเอ๋อร์สร้างขึ้นเพื่อขัดขวางไม่ให้ข้าตามต่อไป”
ทุกคนฟังแล้วก็ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมา ต่างคิดในใจว่านึกไม่ถึงว่าพระชายาน้อยจะสร้างค่ายกลได้เก่งกาจเช่นนี้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“หวาเอ๋อร์ เจ้าอยู่หรือไม่!” พระชายาอิงชินอ๋องตะโกนขึ้นอีก
เซี่ยฟางหวายืนอยู่นอกค่ายกล ไม่ส่งเสียงขานรับ
“หวาเอ๋อร์ ไม่ง่ายเลยที่เจ้ากับเจิงเอ๋อร์จะได้สมรสเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างนั้นได้รับความทุกข์ยากลำบากมามากน้อย ไม่ใช่ว่าก็ผ่านมันมาได้หรือ ขอเพียงพวกเจ้าสามีภรรยามีใจตรงกัน อุปสรรคใดใดบนโลกนี้ไหนเลยจะผ่านมันไปไม่ได้” พระชายาอิงชินอ๋องใช้ความรู้สึกสร้างความสะเทือนใจ ใช้เหตุผลทำความเข้าใจ “ฟังแม่แล้วกลับมาเถอะ หากเจิงเอ๋อร์ทำให้เจ้าเสียใจตรงไหน แม่จะจัดการเขาให้เจ้าเอง”
เซี่ยฟางหวาเม้มปากเล็กน้อย ไม่ส่งเสียงใด
“ข้ารู้จักลูกชายข้าดี ในใจเขานอกจากเจ้าแล้วก็ไม่เคยมีผู้ใดอีก หากระหว่างพวกเจ้าเกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นก็ควรเปิดอกคุยกันให้เข้าใจ พวกเจ้าเพิ่งสมรสกันไม่กี่วัน ยังไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเลยสักวันเดียว แม่ไม่เชื่อว่าใจเจ้าไม่มีเขาถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ กล่าวกันว่าสะสมวาสนาสิบปีกว่าจะได้ลงเรือลำเดียวกัน สะสมวาสนาร้อยปีถึงจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน*[1] พวกเจ้าไหนเลยมีความรักลึกซึ้งแต่วาสนาน้อย เห็นชัดว่ามีทั้งวาสนาและความรักต่อกัน ความรักและวาสนาลึกซึ้งอย่างยิ่ง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอีก
เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ
“ส่วนพระราชโองการหย่าร้างของฝ่าบาทที่เจ้าพูดถึงนั้นเพราะเหตุใดกันแน่ ฝ่าบาททรงมอบสมรสพระราชทานถึงสองครั้งเพื่อการสมรสของพวกเจ้า หรือว่ายังทรงออกพระราชโองการหย่าร้างอีก ตอนที่ทรงออกพระราชโองการครั้งที่สอง ฝ่าบาทตรงตรัสไว้ว่าไม่อนุญาตให้เขาหย่าอีกตลอดชีวิต ทว่ายามนี้พระองค์ทรงออกพระราชโองการหย่าร้างเอง เท่ากับเป็นการตีฝ่ามือตนเองและตระบัดสัตย์ ข้อห้ามสำคัญของการเป็นจักรพรรดิคือห้ามไม่รักษาสัจจะวาจา ฝ่าบาททรงทำไม่ได้หรอก เจ้ากลับเมืองไปกับข้าเถอะ ข้าจะเรียกร้องความเป็นธรรมกับฝ่าบาทให้เจ้าเอง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอีก
เซี่ยฟางหวาหลับตาลง ยังคงเงียบกริบ
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนต่างกลั้นลมหายใจไม่กล้าส่งเสียง กระทั่งไม่กล้าหายใจแรง
พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้นอีก แต่เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ
ในที่สุดชุนหลันก็ก้าวขึ้นมาหาพระชายาอิงชินอ๋องอย่างทนไม่ไหว ก่อนโน้มน้าวนาง “พระชายา พระชายาน้อยคงไปแล้ว”
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้เด็ดขาดเช่นนี้ ฝากข้อความไว้ให้ข้าเพียงประโยคหนึ่ง ข้าไล่ตามนางมาจนห่างไม่เกินสามลี้แล้ว นางบอกเหตุผลกับข้าสักคำไม่ได้เลยหรือ เดินจากไปเงียบๆ เช่นนี้ แม้แต่เวลาที่จะพูดกับข้ายังไม่มีให้” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจ
ชุนหลันองก็ไม่เข้าใจ “พระชายาน้อยไม่คล้ายเป็นคนโหดเ**้ยมไร้น้ำใจ ท่านอ๋องน้อยยิงธนูสามดอกใส่นาง นางยังออกเรือนกับเขาอย่างไม่มีความขลาดกลัว บางทีอาจเกิดเรื่องที่จำใจต้องทำเช่นนี้ก็เป็นได้” หยุดชั่วครู่แล้วโน้มน้าว “พระชายา ตอนนี้ไม่รู้ว่าในเมืองกับในจวนเป็นอย่างไรบ้าง ท่านอ๋องน้อยสลบไปก็ไม่รู้ว่าฟื้นขึ้นมาหรือยัง ในเมื่อทำลายค่ายกลมิได้ พวกเราก็ย้อนกลับกันดีกว่า มิอาจถูกขังอยู่ตรงนี้ตลอดได้ บางทีกลับเมืองแล้วอาจเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น”
“ในเมื่อเข้ามาในค่ายกลแล้วจะออกไปเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องค่อนข้างไม่สมัครใจ แต่คิดว่า
ชุนหลันพูดมีเหตุผล ในเมื่อตามเซี่ยฟางหวาไม่ทัน นางก็เป็นห่วงฉินเจิงที่อยู่ในเมืองด้วยเช่นกัน
“ในเมื่อเจ้ามองออกว่านี่เป็นค่ายกล แม้ทำลายมิได้ แต่เราจะออกไปได้หรือไม่” ชุนหลันถามคนผู้นั้น
คนผู้นั้นพยักหน้าตอบ “เรียนพระชายา ข้าน้อยบอกว่าค่ายกลนี้สร้างได้ยอดเยี่ยมมาก เหตุผลอยู่ตรงนี้ เรามิอาจเดินหน้าไปต่อ แต่ด้านหลังกลับเป็นประตูกลวง เพียงเดินย้อนกลับไปทางที่เดินเข้ามาก็ออกจากค่ายกลได้แล้วขอรับ” คนผู้นั้นอธิบาย “หากพระชายาน้อยเป็นผู้สร้างค่ายกลนี้จริง น่าจะสร้างเพื่อขัดขวางมิให้ท่านตามไป มิได้อยากกังขังท่าน”
“หวาเอ๋อร์ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้แล้ว คงไม่อยากให้ข้าตามไปจริงๆ” พระชายาอิงชินอ๋องฟังแล้วก็ถอนหายใจออกมาก่อนยกมือสั่ง “ช่างเถอะ เราไม่ต้องตามแล้ว กลับเมือง”
ทุกคนขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่นานทั้งหมดก็ออกจากค่ายกล
*สะสมวาสนาสิบปีกว่าจะได้ลงเรือลำเดียวกัน สะสมวาสนาร้อยปีถึงจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน เป็นการอุปมาว่า การได้พบคนที่มีใจตรงกันนั้นแสนยาก แต่การสูญเสียใครสักคนกลับเป็นเรื่องง่ายดาย