จารใจรัก - ตอนที่ 69-2 ค่ายกลโบราณ
หลังพระชายาอิงชินอ๋องออกมาได้แล้วก็มองไปยังเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยหมอกหนาแผ่ปกคลุม ยังคงมองสิ่งใดไม่เห็นดังเดิม
“พระชายาน้อยมีพรสวรรค์มาก อย่าว่าแต่สตรีเลย ถึงเป็นบุรุษทั่วไปก็ยังสร้างค่ายกลเช่นนี้มิได้” ชุนหลันกล่าวด้วยความนับถือ
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “สมัยก่อนอวี้หวั่นก็มีพรสวรรค์เช่นนี้ แต่เทียบกับฟางหวาแล้วยังด้อยกว่าบ้าง กะแล้วว่าศิษย์ย่อมเก่งกว่าครู่ เพียงแต่น่าเสียดาย…” นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ยกมือสั่งย้อนกลับไปทางเดิม
ชุนหลันกับผู้คุ้มกันจวนติดตามประกบพระชายาอิงชินอ๋องทั้งด้านข้างและข้างหลัง ไม่นานเสียงกีบเท้าม้าก็ค่อยๆ ดังห่างออกไปไกล
เซี่ยฟางหวายืนนิ่งมองค่ายกลที่นางสร้างด้วยตัวเอง หมอกหนาทึบแผ่ปกคลุมดุจตาข่ายที่สานต่อเนื่องกัน แน่นเสียจนลมผ่านเข้าออกมิได้ นางมองไม่เห็นคนที่อยู่ในหมอก คนฝั่งนั้นก็มองไม่เห็นนางเช่นกัน
นางยืนนิ่งเนิ่นนาน ไม่มีทีท่าว่าจะเดินทางต่อ
“คุณหนู” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองนางด้วยความเป็นห่วงพลางส่งเสียงเรียก
“เราเดินทางกันต่อเถอะ” เซี่ยฟางหวาละสายตาแล้วผินหน้ามอง
“แล้วค่ายกลนี้…” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา
“หลังฟ้าสว่างหมอกก็จะจางไปเอง แล้วค่ายกลก็จะทำลายตัวเอง” เซี่ยฟางหวาพลิกกายขึ้นม้าแล้วออกเดินทางต่อ
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินแบบนั้นก็ขึ้นม้าขี่ตามหลังนางออกไป
พระชายาอิงชินอ๋องนำผู้คุ้มกันย้อนกลับออกจากภูเขาวงแหวนมาได้สิบลี้ เบื้องหน้าก็มีคนและม้ากองหนึ่งมุ่งหน้ามา พระชายาอิงชินอ๋องมองออกผ่านแสงสว่างจากคบไฟว่าผู้นำขบวนเป็นหลี่มู่ชิง ฝั่งหลี่มู่ชิงก็อาศัยแสงจากคบไฟ ขณะเดียวกันก็มองออกว่าเป็นพระชายาอิงชินอ๋อง
“พระชายา” หลี่มู่ชิงดึงเชือกบังเ**ยนแล้วลงจากม้ามาคำนับ
พระชายาอิงชินอ๋องก็ดึงเชือกบังเ**ยนเช่นกัน นางเป็นผู้ใหญ่จึงไม่ต้องลงจากม้า ซับเหงื่อบนหน้าผากแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าหลี่ ไฉนถึงออกจากเมืองมาดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนหรือ”
หลี่มู่ชิงมองคนที่พระชายาอิงชินอ๋องนำมาด้วยทั้งหมด ทว่าไม่พบเงาคนที่ต้องการ เขาสงบอารมณ์แล้วตอบตามความจริง “ข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องที่จวนอ๋อง พระชายาน้อยกับพระชายาออกเมืองมากลางดึก ข้ากับพี่ฉินเจิงสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เขาออกจากเมืองมามิได้ ข้าไม่ไว้วางใจจึงตามมาดู เผื่อว่าจะเกิดเรื่องใดกัน”
“เจ้าช่างเป็นเด็กที่มีน้ำใจนัก” พระชายาอิงชินอ๋องเผยสีหน้าอบอุ่น
“พระชายาตามพระชายาน้อยทันหรือไม่” หลี่มู่ชิงถาม
“เดิมทีข้าใกล้ตามหวาเอ๋อร์ทันแล้ว แต่เมื่อมาถึงภูเขาเก้าวงแหวน นางก็สร้างค่ายกลขึ้น คนของข้าเพียงมองออกว่าเป็นค่ายกล กลับทำลายมันไม่ได้ เพราะทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ย้อนกลับมา ดูท่านางคงตัดสินใจแล้วว่าไม่ให้ข้าตามไป” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า บอกตามความจริงเช่นกัน
หลี่มู่ชิงได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “หลังท่านออกมา ในเมืองก็เกิดเรื่องขึ้น”
“หืม เกิดอะไรขึ้น” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินก็กระวนกระวายใจ
หลี่มู่งชิงเห็นนางกังวลก็รีบเล่าว่าหลังเซี่ยฟางหวากับพระชายาอิงชินอ๋องออกจากเมืองไล่หลังกัน มีการเชิญหมอหลวงมาที่เรือนลั่วเหมย หลังหมอหลวงกลับไป พระราชโองการหย่าร้างของฝ่าบาทก็มาเผยแพร่ที่จวนอิงชินอ๋อง ฉินเจิงทำลายพระราชโองการทิ้งแล้วบุกเข้าวัง ไม่นานก็ออกมา เขาเข้าไปขวางฉินเจิง และนำถ้อยคำที่ฉินเจิงพูดกับตนเล่าให้นางฟังคร่าวๆ
โดยเฉพาะเน้นย้ำถึงคำเตือนที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของฉินเจิงที่ว่าหากพบหลี่หรูปี้เมื่อไรจะสังหารทิ้ง
“น้องสาวเจ้าทำสิ่งใดยั่วโมโหเจิงเอ๋อร์หรือไม่ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่จะพูดแบบนี้ออกมาได้ หลายปีที่ผ่านมา ขนาดหลูเสวี่ยอิ๋งที่เอาแต่เกาะติดเขา เขาก็เพียงแค่แสดงออกว่ารังเกียจ สุดท้ายก็ออกอุบายผลักไสนางให้ฉินห้าว แต่ไม่เคยเอ่ยว่าจะสังหารมาก่อน” พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
“นี่ก็เป็นจุดที่ข้าไม่เข้าใจเช่นกันจึงกลับจวนไปถามท่านพ่อ เขาก็บอกว่าระยะนี้น้องอยู่กินเจสวดมนต์กับท่านแม่ ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนนอกจวน และไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินอันใดพี่ฉินเจิงเข้าถึงกับคิดสังหารน้องสาวข้า” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า
พระชายาอิงชินอ๋องไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เจิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่หลูเสวี่ยอิ๋งเลย ขนาดฉินห้าว แม้เขารังเกียจเพียงใดแต่ก็ระลึกถึงความสัมพันธ์พี่น้อง ค่อยๆ ปล่อยเขาไป ด้วยนิสัยของเขาหากพูดเช่นนี้ออกมาได้ แสดงว่าน้องสาวเจ้าต้องกระทำสิ่งใดให้เขาแค้นเคืองอย่างยิ่งเป็นแน่”
“ข้าโตมากับพี่ฉินเจิงจึงรู้จักนิสัยเขาเช่นกัน ดังที่พระชายาบอก ทว่าตอนที่ข้าเอ่ยถามเขา กลับเค้นคำตอบจากปากเขาไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว ตอนนี้ข้าได้รับอนุญาตจากท่านพ่อเพื่อออกจากเมืองมาก็เพราะ หนึ่งเป็นความความปลอดภัยของพระชายาน้อย สองก็เพื่ออยากถามเหตุผลจากนาง” หลี่มู่ชิงบอก “ถึงอย่างไรก็อยู่ในเมืองเหมือนกัน น้องสาวข้าไม่อาจหนีพี่ฉินเจิงไปตลอดชีวิตได้ นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับจวนอิงชินอ๋องในอนาคตด้วย”
“เจ้าพูดถูก” พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ตอนนี้ตามหวาเอ๋อร์ไปไม่ได้ ค่ายกลที่นางสร้างร้ายกาจอย่างยิ่ง หมอกพวกนั้นคล้ายเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”
“พี่ฉินเจิงบุกเข้าวังหลวง ท่านอ๋องเองก็ตามไปด้วย ต่อมาพี่ฉินเจิงออกจากวังมา ฟังว่าฝ่าบาททรงเรียกท่านอ๋องไปสนทนาด้วย จริงสิ ยังมีเรื่องหนึ่ง หลังท่านออกมาและฝ่าบาททรงออกพระราชโองการหย่าร้างแล้ว ยังมีพระบัญชาอีกหนึ่งอย่างว่าให้ติดประกาศเรื่องการหย่าร้างของพี่ฉินเจิงทั่วทุกแห่งในใต้หล้า พรุ่งนี้เช้าทุกคนคงทราบเรื่องนี้โดยทั่วกันแล้ว” หลี่มู่ชิงกล่าวขึ้นอีก
“อะไรนะ” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวด้วยโทสะ “ฝ่าบาททรงประสงค์สิ่งใด บีบบังคับจนตายเลยรึ”
“พระชายาอย่างเพิ่งร้อนใจ เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านรีบกลับเมืองก่อนดีกว่า ดูว่าพอจะมีทางให้ฝ่าบาทเรียกประกาศคืนหรือไม่ ข้าจะไปดูว่าพระชายาน้อยสร้างค่ายกลแบบใด ข้าก็พอสร้างค่ายกลเป็นบ้าง ดูว่าพอจะทำลายได้หรือไม่ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ข้า หากมีความคืบหน้า ข้าจะส่งข่าวไปบอกท่านที่เมือง” หลี่มู่ชิงรีบปลอบประโลม
“ก็ดีเหมือนกัน ลำบากเจ้าแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะ คิดว่าควรรีบกลับเมืองเพราะมีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบจัดการทันทีเช่นกัน
หลี่มู่ชิงยกมือให้คนข้างหลังหลีกทางให้
พระชายาอิงชินอ๋องก็ไม่มัวเสียเวลา รีบนำคนห้อตะบึงม้ากลับเมือง
เมื่อเสียงกีบเท้าม้าห่างออกไป หลี่มู่ชิงก็ถอนหายใจออกมา “เพื่อฉินเจิง พระชายาถึงกับออกมาตามเซี่ยฟางหวาด้วยตัวเอง หากเป็นเหตุการณ์แบบเดียวกันแต่เกิดกับข้า เกรงว่าแม่ข้าคงไม่แม้แต่จะก้าวออกจากจวน นี่คือความแตกต่าง”
เสียงเขาแม้ไม่ดังมาก แต่คนสนิทที่อยู่ใกล้ก็ได้ยิน คนข้างๆ หันมามองเขาพร้อมกัน
“คุณชาย เราต้องเดินทางต่อหรือไม่” มีคนเอ่ยถามเสียงเบา
“แน่นอน” หลี่มู่ชิงพลิกกายขึ้นม้าแล้วมุ่งหน้าต่อไป
ผู้คุ้มกันคนสนิทตามเขาไป
ห้อตะบึงมาได้สิบลี้ก็มาถึงภูเขาเก้าวงแหวน เบื้องหน้ามีหมอกหนาปกคลุมจริงดังที่พระชายากล่าว มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า
“คุณชาย มีหมอกหนาจริงด้วย” มีคนมองแวบหนึ่งแล้วถามหลี่มู่ชิง “ท่านทำลายได้หรือไม่”
หลี่มู่ชิงนั่งหลังตรงบนอานม้า มองเบื้องหน้าพักหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็ทำลายไม่ได้”
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี” คนนั้นรีบถาม “หรือว่าต้องย้อนกลับ”
“ไม่ต้องย้อนกลับ เราแค่ต้องรอ” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า
“รอหรือ” คนผู้นั้นมองเขา
หลี่มู่ชิงพยักหน้า มองหมอกหนาทึบพลางเอ่ยขึ้น “รอจนฟ้าสว่าง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น หมอกพวกนี้ก็จะจางไปเอง เมื่อหมอกจางลง ค่ายกลก็สลายไปเอง”
“เพราะเหตุใด” คนผู้นั้นไม่เข้าใจ “หมอกนี้เกิดขึ้นเพราะค่ายกลไม่ใช่หรือ หรือว่าหมอกในค่ายกลนี้เป็นหมอกจริง จำต้องให้ดวงอาทิตย์ขึ้น ลมพัดผ่าน แดดผสมกับสายลมถึงจะจางลง”
หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ “หมอกนี้เป็นหมอกจริง ที่ข้าบอกว่าทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้ สาเหตุเป็นเพราะค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลหมอกหนาทึบธรรมดา แต่เป็นค่ายกลโบราณชนิดหนึ่ง ฟังว่าถ่ายทอดมาจากเผ่าภูตผี มีชื่อว่าค่ายกลเก้าหยางเก้าหยิน ข้าเองก็เคยเอ่ยเจอคร่าวๆ ในตำราโบราณเล่มหนึ่ง ฟังว่าต้องเป็นผู้มีสายเลือดราชนิกุลเผ่าภูตผี ดึงดูดพลังเหนือธรรมชาติจากต้นไม้ใบหญ้ารอบภูเขารวบรวมเข้าด้วยกัน ข้างในมีด่านคู่อันยากซับซ้อน ด้านหนึ่งเป็นด่านหยาง ด้านหนึ่งเป็นด่านหยิน เมื่อเหยียบเข้ามาแล้วก็เหมือนเข้าสู่ทางเดินวัฏจักร เป็นด่านประตูผีที่มีแต่ความตายรออยู่”
เขาพูดจบทุกคนก็ตกใจยกใหญ่
“แต่ค่ายกลนี้ได้รับการดัดแปลงแล้ว สร้างแค่ประตูเกิด ไม่ได้สร้างประตูตาย ดังนั้นแม้เข้ามาในค่ายกลแล้วก็สังหารผู้ใดไม่ได้ ทั้งกำหนดเงื่อนไขเวลาเพื่อขัดขวาง ไม่ใช่เพื่อสังหารผู้อื่น ดังนั้นหลังครบกำหนดเวลา หมอกก็จะจางหายไปเอง ค่ายกลก็ทำลายตัวเองเช่นกัน” หลี่มู่ชิงคล้ายถอนใจคล้ายชื่นชม “นำค่ายกลโบราณของเผ่าภูตผีมาดัดแปลงอย่างประณีตเช่นนี้ได้ ทั้งยังประยุกต์ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ช่าง…”
ถ้อยคำต่อจากนั้น เขาพลันไม่พูดต่อแล้ว