จารใจรัก - ตอนที่ 76-1 สาบานเป็นตายร่วมกัน
เจ้าของเฟิ่งหลวนเป็นสตรีจากตระกูลเซี่ย
เฟิ่งหลวน หรืออีกชื่อหนึ่งคือตำหนักเฟิ่งหลวน หรือที่ประทับของฮองเฮาในวัง หรือก็คือตำแหน่งพระมารดาแห่งแผ่นดิน
สตรีจากตระกูลเซี่ย ในหนานฉินมีสตรีตระกูลเซี่ยอยู่มากมาย แต่ผู้ที่พอจะได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูตระกูลเซี่ยอย่างแท้จริงมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือเซี่ยฟางหวา
ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังถ้อยคำนี้แล้วก็พอจะเข้าใจความหมายได้ทันที
เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจ อย่างไรก็ไม่เคยนึกถึงว่ามีการทำนายซ้ำเช่นนี้ด้วย เขามองฉินอวี้ กล่าวคำใดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง
“แต่ท้ายสุดยังมีคำทำนายเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่ง ไต้ซือผู่อวิ๋นบอกว่า สวรรค์เป็นผู้ลิขิต เหมือนข้าเหมือนเขา” ฉินอวี้พูดจบก็แย้มยิ้มออกมา
“หมายความว่าอย่างไร” เซี่ยม่อหานไตร่ตรองถี่ถ้วน ทว่าก็ไม่เข้าใจความหมายจึงถามด้วยความสงสัย
“ตอนนั้นข้าเองก็ไม่เข้าใจจึงถามไต้ซือผู่อวิ๋นว่าหมายความว่าอย่างไร เขาตอบว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน บอกกับข้าว่าบางทีเมื่อถึงเวลาข้าคงเข้าใจเอง” ฉินอวี้หลับตาลง เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนล้า “ตอนนี้ข้าว่าข้าพอเข้าใจบ้างแล้ว”
“คือสถานการณ์ตอนนี้หรือ” เซี่ยม่อหานมองฉินอวี้แล้วหยั่งเชิงถาม
“หมายถึงสวรรค์ลิขิตต่างหาก” ฉินอวี้หัวเราะ
เซี่ยม่อหานไตร่ตรองพักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจดังเดิม
ฉินอวี้กลับไม่พูดมากความ หลับตาพักผ่อนแทน
เซี่ยม่อหานทราบดีว่าตั้งแต่เขาออกมาจากเมืองหลวง ตลอดทางต้องขุดลอกคูคลอง หลังมาถึงเมืองหลินอันก็เกิดโรคห่าระเบิดขึ้นอีก ยังไม่ได้พักผ่อนให้เต็มที่ตลอดมา เช้านี้ต้องวิ่งวุ่นไปมาคงอ่อนล้าไม่เบาจึงไม่อยู่รบกวนเขาอีก พลันลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
เมื่อมาถึงหน้าทางเข้า เหยียนเฉินก็เดินออกมาจากห้องลับพอดี
“พิสูจน์เสร็จแล้วหรือ” เซี่ยม่อหานถามเสียงต่ำ
เหยียนเฉินพยักหน้า
“เป็นเช่นไรบ้าง” เซี่ยม่อหานถาม
“คนผู้นั้นติดโรคห่าจริง ป่วยมาได้สองวันแล้ว นอกจากถูกรัชทายาทใช้กระบี่ปลิดชีวิตก็ตรวจสอบไม่พบสิ่งอื่นใดเลย ทั่วร่างไม่พบสิ่งใด” เหยียนเฉินส่ายหน้า
“ฐานะของคนผู้นี้เล่า” เซี่ยม่อหานบอก
“เรื่องนี้ต้องให้รัชทายาทออกคำสั่งตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ในหลินอิน” เหยียนเฉินตอบ “นอกจากนี้ ข้าแนะนำว่าควรรีบเผาศพที่ติดโรคห่าและศพที่ตายจากการจลาจลเช้านี้ ส่วนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อจลาจลเช้านี้ให้แยกออกมากักขังไว้ มิฉะนั้นหากทั้งเมืองติดโรคห่ากันหมด ถึงแม้จะได้สมุนไพรดำม่วงมาในสามวันก็เกรงว่าจะไม่ทันกาล”
“รัชทายาทเหนื่อยมากแล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” เซี่ยม่อหานบอก
“ท่านโหวยิ่งต้องรักษาสุขภาพให้ดี เมื่อครู่ยังเพิ่งไปหารัชทายาทมา ประเดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนใบสั่งยาให้ใหม่ จำต้องรีบต้มยาดื่มดักไว้ก่อน หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา ข้าคงอธิบายกับฟางหวาไม่ได้ อย่าว่าแต่หลินอันเมืองเดียวเลย ต่อให้เป็นหลินอันสิบเมืองก็ยังสำคัญไม่เท่าชีวิตท่าน หลายปีนี้นางต้องลำบากตรากตรำ ทั้งหมดก็เพื่อโหวเหยผู้เฒ่ากับท่าน” เหยียนเฉินมองเขาแวบหนึ่ง
“ข้ารู้แล้ว” เซี่ยม่อหานผงกศีรษะ
เหยียนเฉินเดินออกไป
“เจ้าไปตามข้าราชการทั้งหมดในศาลาว่าการและหน่วยงานส่วนกลางเมืองหลินอันมาพร้อมกันที่โถงประชุมของรัชทายาท” เซี่ยม่อหานสั่งงานทิงเหยียน
ทิงเหยียนแม้ไม่ค่อยพอใจนักที่เขาต้องทำงานหนัก แต่ก็รีบทำตามคำสั่ง
เซี่ยม่อหานเดินไปยังโถงประชุม
“เซี่ยม่อหาน” เขาเพิ่งเดินไปไม่ไกล ฉินเหลียนก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นเขาก็ตะโกนเรียกอย่างเหนื่อยหอบ
“ท่านหญิงเหลียน เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ในเรือน มาที่นี่ทำไมกัน” เซี่ยม่อหานหยุดเท้า หันกลับไปมองพบว่าเป็นฉินเหลียนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องกับพี่ฉินอวี้ ข้าไม่สบายใจ” ฉินเหลียนร้อนใจ “เขาเป็นเช่นไรบ้าง บาดเจ็บสาหัสหรือไม่”
“ไม่ค่อยสาหัสนัก แต่เพราะถูกคนติดโรคห่าข่วนทำร้าย จำต้องสังเกตดูอาการครึ่งวัน” เซี่ยม่อหานตอบอย่างคลุมเครือ
“ตอนนี้พี่ฉินอวี้อยู่ที่ไหน” ฉินเหลียนมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“อยู่ในห้อง แต่เจ้าอย่าเข้าไปจะดีกว่า พี่ชายเจ้าบอกให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี ตอนนี้เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาด หากไม่ระวังแล้วติดเข้า…” เซี่ยม่อหานตอบ
เขายังพูดไม่ทันจบฉินเหลียนก็ยกมือห้าม รอฟังเขาพูดจนจบไม่ไหวก็วิ่งไปที่ห้องฉินอวี้
เซี่ยม่อหานส่งเสียงเรียก แต่ฉินเหลียนแสร้งหูทวนลม ตรงไปที่ห้องอย่างเดียว
เซี่ยม่อหานนวดคลึงหน้าผาก ทราบดีว่าห้ามไม่ได้จึงปล่อยเลยตามเลย ก่อนเดินไปที่โถงประชุมต่อ
ฉินเหลียนถลันเข้ามาในห้อง พบว่าฉินอวี้นอนอยู่บนตั่ง เปลือกตาปิดสนิทคล้ายกำลังหลับอยู่ นางผลักประตูห้องเข้าไปเสียงดัง ทว่ายังไม่ทำให้เขาตื่น คำพูดที่นางคิดจะเอ่ยออกไปพลันหยุดชะงัก ผ่อนฝีเท้าเบาลง เดินไปข้างใน
แขนของฉินอวี้วางแนบข้างตั่ง บริเวณที่พันด้วยผ้าพันแผลมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
ฉินเหลียนย่นหัวคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังเดินออกไป พร้อมปิดประตูห้องเสียงเบา
“ท่านโหวไปไหนแล้ว” ฉินเหลียนเดินออกมา ไม่พบเซี่ยม่อหานก็ถามคนผู้หนึ่ง
“ไปที่โถงประชุมแล้วขอรับ” ผู้นั้นตอบ
ฉินเหลียนรีบวิ่งไปยังโถงประชุม
เมื่อมาถึงโถงประชุม พบว่าเซี่ยม่อหานอยู่เพียงลำพัง ทิงเหยียนยังไม่กลับจากการไปตามคนอื่นๆ นางจึงกล่าวกับเซี่ยม่อหาน “ข้าไม่อยากอยู่แต่ในเรือนแล้ว ข้าจะช่วยพวกเจ้าแก้ไขปัญหา”
“เจ้ามีศักดิ์เป็นท่านหญิง ทั้งเป็นสตรี มีฐานะสูงศักดิ์ ไม่ควรให้เจ้าเข้ามามีส่วนทำงานหนักในเรื่องพวกนี้ กลับไปพักผ่อนเถอะ หากเจ้าเบื่อ สาวใช้แปดคนของฟางหวาเพิ่งมาถึงเมื่อคืน เจ้าให้พวกนางมาอยู่กับเจ้าได้” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า
“พี่สะใภ้ก็เป็นสตรี ไฉนนางถึงเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ข้าซึ่งเป็นท่านหญิงไม่ได้มีฐานะสูงศักดิ์ไปกว่าคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวเช่นนาง ไฉนถึงทำไม่ได้” ฉินเหลียนถลึงตามอง “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าป่วยไม่ใช่หรือ พี่ฉินอวี้บอกให้เจ้ารักษาตัวให้ดี ไฉนเจ้าถึงไม่ฟัง กลับออกมาทำงานหนัก”
“ฟางหวาจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร ข้ากับเจ้าเหมือนกันที่ไหน” เซี่ยม่อหานปวดหัว
“ข้าไม่สน เจ้าอย่าดูถูกข้า ข้าโตมาในวังหลวง ไม่ใช่สตรีไม่รู้ความ ตอนนี้เมืองหลินอันเลวร้ายยิ่ง ข้าพอช่วยได้เท่าไรก็เท่านั้น” ฉินเหลียนดื้อรั้น “บอกเจ้าให้ ถึงไล่ข้าก็ไม่ยอมกลับ”
“ข้ายอมให้เจ้าช่วยข้าที่นี่ก็ได้ แต่หากข้าไม่อนุญาต ห้ามเจ้ากระทำการใดโดยพลการ มิฉะนั้นหลังเมืองหลินอันพ้นเคราะห์แล้ว ข้าจะขอให้รัชทายาทนำเจ้ากลับเมือง ไม่อนุญาตให้เจ้าตามข้าไปม่อเป่ยอีก” เซี่ยม่อหานมองนางอย่างจนปัญญา ทำได้ปล่อยเลยตามเลย
“ได้” ฉินเหลียนรีบรับคำ
สองสองถ้วยชาถัดมา ข้าราชการในหลินอันทุกภาคส่วนก็ทยอยมายังโถงประชุม
ครึ่งวันให้หลัง เหยียนเฉินก็กลับมาที่ห้องฉินอวี้อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบริเวณหว่างคิ้วและท่อนแขนปรากฏรอยสีดำจางๆ ก็เม้มปากเล็กน้อย
“ข้ามีแนวโน้มว่าจะติดโรคห่าใช่ไหม” ฉินอวี้ตื่นแล้ว เมื่อเห็นเขาก็เอ่ยถาม
เหยียนเฉินพยักหน้า
“ดูท่าคงอยากสังหารข้า” ฉินอวี้มองข้อมือแล้วเม้มปาก ทันใดนั้นก็หัวเราะแผ่วเบา
เหยียนเฉินเงียบ
ฉินอวี้บอกให้เขานั่งลงก่อนชวนสนทนาด้วยใบหน้าปกติ “เจ้าว่าจากมุมมองคนนอกแล้ว หากหนานฉินไม่มีข้า ผู้ใดจะสืบทอดรากฐานบ้านเมืองต่อไปได้”
“นอกจากองค์ชายแปด องค์ชายคนอื่นต่างไร้ความสามารถ แต่องค์ชายแปดยังเด็กอยู่ รับผิดชอบภาระอันใหญ่หลวงไม่ได้ แต่ด้วยสถานการณ์ในหนานฉินตอนนี้คงรอให้เขาเติบโตไม่ไหว” เหยียนเฉินมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนตอบเสียงเรียบ
“ในเมื่อองค์ชายไร้ความสามารถ แล้วราชนิกุลเล่า” ฉินอวี้ผงกศีรษะ
เหยียนเฉินเลิกคิ้ว
“อย่างเช่นฉินเจิง” ฉินอวี้มองเขา
เหยียนเฉินพยักหน้า กล่าวโดยไม่แฝงอารมณ์ใด “ในบรรดาลูกหลานราชนิกุลหนานฉิน ฉินเจิงนับว่าโดดเด่นเหนือกว่าใคร ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงเขาได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวเสริม “แต่ก็ต้องดูว่าเขาต้องการราชบัลลังก์หรือไม่”
ฉินอวี้พลันส่งเสียงหัวเราะออกมา
เหยียนเฉินมองเขา ไม่เอ่ยคำใดอีก
ฉินอวี้หัวเราะอยู่พักหนึ่งก่อนสำรวมลง ส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ถึงแม้เขาไม่ต้องการบ้านเมือง แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยทอดทิ้งบ้านเมืองหนานฉินไปได้” หยุดเว้นช่วง เขาราวกับกล่าวโดยแฝงอารมณ์บางอย่าง “ข้าเกลียดจุดนี้ของเขามากที่สุด เห็นชัดว่าหาได้แยแสตำแหน่งจักรพรรดิไม่ กลับยังปกป้องไม่ให้มันล่มสลายลง เห็นชัดว่าเกลียดชาติกำเนิดที่เกิดมาในจวนอิงชินอ๋อง กลับรับผิดชอบต่อสิ่งที่ไทเฮาและท่านลุงคาดหวังให้ทำ เห็นชัดว่าไม่ชอบที่ข้าเสแสร้งแกล้งทำตามกฎเกณฑ์ แต่เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญ เขากลับรักษากฎเกณฑ์ยิ่งกว่าใคร ตั้งแต่เล็กจนโต คนอื่นเห็นเขาเพียงภายนอก แต่ข้าเห็นจากภายใน ยิ่งเห็นก็ยิ่งรังเกียจนัก”
เหยียนเฉินไม่แสดงความเห็น ไม่มีส่วนร่วมวิพากษ์วิจารณ์ด้วย
“ข้ามีฐานะเป็นองค์ชายย่อมทำในสิ่งที่องค์ชายควรทำ เขาไม่ใช่องค์ชาย กลับทำในสิ่งที่ข้าควรทำ เจ้าว่าข้าจะถูกชะตากับเขาได้หรือ” ฉินอวี้พูดจบ เห็นว่าเหยียนเฉินยังเงียบ พลันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฟังว่า
พระมาตุลาแห่งเป่ยฉีใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมาหลายปี แม้อยู่ห่างจากเป่ยฉีและตระกูลอวี้ แต่อำนาจของตระกูลอวี้ทั้งหมดกลับถูกควบคุมโดยเจ้าอย่างลับๆ ด้วยความสามารถของพระมาตุลาแล้ว เห็นชัดว่าชอบฟางหวา เหตุใดถึงไม่พยายามช่วงชิงมา”
“รัชทายาทเป็นห่วงเรื่องที่ตัวเองติดโรคห่าดีกว่า หากพรุ่งนี้เช้ายังไม่มียารักษา ท่านจำต้องนอนติดเตียง ปากพูดไม่ได้ หูไม่ได้ยิน เหมือนกับคนที่ติดโรคห่าพวกนั้น รักษาไม่หาย ทำได้เพียงแค่รอความตายเท่านั้น เมื่อเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีคำว่ารัชทายาท ไม่มีคำว่าประชาชนคนยากจน ทุกคนต่างเท่าเทียมกัน” เหยียนเฉินผุดลุกขึ้นยืนทันที เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา
พูดจบเขาก็เดินออกไปข้างนอก ม่านประตูส่งเสียงดังตามการเคลื่อนไหวที่เขาจากไป
ฉินอวี้แย้มยิ้ม