จารใจรัก - ตอนที่ 78-2 ถล่มเขาเทียนหลิง
พระชายาอิงชินอ๋องหน้าซีด “รัชทายาทตายไม่ได้ หากเขาตาย อย่าว่าแต่การสืบทอดบ้านเมืองหนานฉินเลย ถึงอย่างไรราชสำนักก็ยังองค์ชายอีกหลายคน เพียงเอ่ยถึงสถานการณ์ตอนนี้ แสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันต่างขึ้นอยู่กับเขา” พูดจบ นางก็ถามด้วยความร้อนใจ “เจิงเอ๋อร์ เจ้ามีวิธีหาสมุนไพรดำม่วงหรือไม่”
“ไม่มี” ฉินเจิงส่ายหน้า
“แล้วทำเช่นไรดีเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องลุกขึ้นยืน เดินวนรอบห้องด้วยความลนลาน
ฉินเจิงมองนางแวบหนึ่งพลันถามขึ้น “นางเล่า”
“ใคร” พระชายาอิงชินอ๋องยังไม่ทันตั้งรับ
“สตรีไร้หัวใจ” ฉินเจิงเม้มปาก
พระชายาอิงชินอ๋องกระจ่างแจ้งทันทีว่าผู้ที่เขาเอ่ยถึงคือเซี่ยฟางหวา จึงถลึงตามองเขา “เจ้ายังมีหน้ามาถามอีก ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภรรยาที่กว่าเจ้าจะได้ตบแต่งด้วยนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ หวาเอ๋อร์ก็ภักดีต่อเจ้า มิฉะนั้นตอนที่เจ้ายิงธนูสามดอกทำร้ายนาง นางคงไม่ยอมออกเรือนกับเจ้าแล้ว แต่ตอนนี้ประกาศถูกติดไปทั่วหนานฉิน พวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องต่อกันแล้วจริงๆ”
“ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว” ฉินเจิงเลิกคิ้ว “ใครบอกแบบนั้น”
“สองวันนี้เจ้าได้ใส่ใจเสียงวิจารณ์ข้างนอกบ้างหรือไม่ ทั้งหนานฉิน เกรงว่าแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้าแล้ว พระราชโองการหย่าร้างเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ยังมีใครพูดว่าพวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันอีกบ้าง” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “เจ้าบอกแม่มาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เดิมทีข้ายังจะไปคิดบัญชีกับฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทไม่ยอมพบข้า ต่อมาพ่อเจ้าบอกว่าหวาเอ๋อร์นำชีพจรเศรษฐกิจในหนานฉินมาขู่บังคับฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาททรงยอมออกพระราชโองการหย่าร้าง”
“สิ่งที่นางพูดไม่นับ” ฉินเจิงตีหน้านิ่งขรึม
“ข้าไปตามหวาเอ๋อร์ ใกล้ตามทันอยู่แล้วแท้ๆ นางกลับยืนกรานที่จะไม่พบข้า ถึงกับตั้งค่ายกลขัดขวางข้า หลี่มู่ชิงตามไปแล้ว บอกว่าถ้าพบนางแล้วจะส่งข่าวกลับมา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้จดหมายจากเขา และไม่รู้ว่าตอนนี้นางไปถึงเมืองหลินอันหรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยความโมโห
“นางต้องไม่ได้ไปเมืองหลินอันแน่นอน” ฉินเจิงบอก
“แล้วนางไปไหน” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา
ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา “เมืองหลินอันติดโรคห่า ไม่มีสมุนไพรดำม่วงก็เหมือนเมืองปิดตาย นางไปแล้วจะทำอะไรได้” หยุดชั่วครู่แล้วหรี่ตาลง “ในเมื่อยังไม่มีข่าวของนางก็รอก่อนเถอะ”
“รออะไร” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
“รอข่าวคราว” ฉินเจิงลุกขึ้น โบกมือไล่ด้วยความเหนื่อยล้า “ท่านแม่ ท่านมีอะไรต้องทำก็ไปทำเถอะ ข้าลืมตาแทบไม่ไหวแล้ว ก่อนฟ้ามืดอย่าให้ใครมารบกวนข้าเด็ดขาด” พูดจบก็เดินเข้าไปในห้อง
พระชายาอิงชินอ๋องส่งเสียง “นี่” ม่านมุกไหวตามแรงกระเพื่อม เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง กระทั่งหายเข้าไปในห้องชั้นในแล้ว นางคิดว่าสองวันนี้เขาต้องไปกลับเขาเทียนหลิง จะต้องเหนื่อยอย่างที่สุดแน่นอน และควรได้รับการพักผ่อน ครั้นแล้วก็เงียบเสียงลง หันหลังเดินออกมาข้างนอกพร้อมปิดประตูให้ ก่อนกำชับกับหลินชี “ออกคำสั่งไปว่าก่อนฟ้ามืดห้ามผู้ใดมารับกวนท่านอ๋องน้อยทั้งนั้น”
“ขอรับ” หลินชีรีบรับคำ
พระชายาอิงชินอ๋องออกจากเรือนลั่วเหมย
ชุนหลันรออยู่ที่ประตู เมื่อเห็นพระชายาอิงชินอ๋องออกมาก็กล่าวเสียงเบา “พระชายา ท่านอ๋องน้อยกลับมาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “อย่าเอ็ดไป เจิงเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว ให้เขาได้พักผ่อนก่อนเถอะ ส่วนเรื่องเมืองหลินอัน ในเมื่อเขาไม่ก้าวก่ายก็คงมีเหตุผลอย่างแน่นอน คิดว่าเมืองหลินอันต้องไม่เป็นอะไร”
ชุนหลันพยักหน้า
“เจ้าพูดแล้วก็น่าแปลก เห็นชัดว่าเขายังคงเป็นเด็กในสายตาข้า แต่ขอเพียงเขานั่งอยู่ตรงนั้น พูดคุยกับข้าไม่กี่ประโยค ข้ากลับรู้สึกสงบใจมาก แม้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ราวกับขอเพียงมีเขาอยู่ ข้าก็ไม่กลัวและไม่ร้อนใจแล้วเช่นกัน” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว
ชุนหลันพลันยิ้มกล่าว “ท่านอ๋องน้อยมักให้ความรู้สึกเช่นนี้ต่อผู้อื่นเสมอ” หยุดชั่วครู่แล้วกระซิบถามเสียงเบา “ท่านถามหรือยังเจ้าคะ สองวันนี้ท่านอ๋องน้อยหายไปที่ใดมา”
“อย่าพูดถึงเลย” พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือปัด
“ไปตามหาพระชายาน้อยมาหรือไม่” ชุนหลันกังวล
“เมื่อก่อนข้าหวังว่าพวกเขาจะได้สมรสกันเสมอมา หลังสมรสกันแล้วก็หวังว่าจะได้อุ้มหลาน ทว่าความหวังนี้ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง นึกไม่ถึงว่าจะได้หนังสือหย่าร้างมาแทน ไม่ใช่สามีภรรยากันอีกแล้ว ตอนนี้หวังเพียงพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขก็พอ ข้าไม่ขออะไรมากแล้ว ขอไปก็ไม่ได้มา” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา
“พระชายา สองวันนี้ท่านก็มิได้พักผ่อนเต็มที่เช่นกัน ในเมื่อท่านอ๋องน้อยกลับมาอย่างปลอดภัย ท่านก็กลับเรือนไปพักผ่อนเถิด” ชุนหลันกล่าวเสียงเบา
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วกลับไปยังเรือนหลัก
อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายคว้าน้ำเหลวจากเรือนลั่วเหมย ทั้งสองรีบออกจากจวนอิงชินอ๋องด้วยกัน ย้อนกลับไปที่วังหลวงอีกครั้ง
หลังทั้งสองมาถึงวังหลวงก็ตรงไปยังห้องทรงหนังสือ
มีขุนนางที่กลับเข้าวังมาอีกครั้งรวมตัวกันอยู่นอกห้องทรงหนังสือไม่น้อย ใบหน้าแต่ละคนฉายแววกลัดกลุ้ม เมื่อเห็นอิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาก็รีบเข้ามาถาม “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่จวนมีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่”
อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า
“ทำเช่นไรดี จวนของเราก็ไม่มีสมุนไพรดำม่วงเช่นกัน” ทุกคนได้รับข่าวเช่นนั้นก็ท้อแท้สิ้นหวัง
“ไม่มีสมุนไพรดำม่วง แล้วจะช่วยองค์รัชทายาทอย่างไร”
“ตอนนี้ฟังว่ายังไม่ถึงฤดูที่สมุนไพรดำม่วงเจริญเติบโต แม้เข้าไปหาในป่าก็คงคว้าน้ำเหลว”
“เช่นนั้นมีหรือชีวิตของรัชทายาทจะไม่น่าห่วง”
“ใช่แล้ว มิใช่แค่ชีวิตของรัชทายาทเท่านั้น แสนกว่าชีวิตในหลินอันด้วย”
……
ทุกคนผลัดกันพูดตลอดช่วงเวลาหนึ่ง แต่ละคนร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา แม้แต่สมุนไพรดำม่วงต้นเดียวยังหามิได้ อย่าว่าแต่ช่วยแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันเลย แม้แต่ชีวิตของรัชทายาทยังช่วยยาก
ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องทรงหนังสือ กวาดตามองกลุ่มขุนนางแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าทุกท่าน ฝ่าบาททรงกระวนกระวายพระทัยอย่างยิ่ง อย่าเพิ่งส่งเสียงโวยวายเลย โปรดอยู่ในความสงบ”
ทุกคนเงียบเสียงทันที
ตั้งแต่อู๋เฉวียนไปถ่ายทอดพระราชโองการหย่าร้างที่จวนอิงชินอ๋องแล้วถูกฉินเจิงทำร้าย ตอนนี้ยังคงพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ลุกขึ้นมาเดินเหินมิได้ จำต้องเปลี่ยนขันทีน้อยคนใหม่มาประจำที่ห้องทรงอักษรแทน
“ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้าย ฝ่าบาททรงอยากพบขอรับ” ขันทีน้อยน้อมคำนับต่ออิงชินอ๋องและเสนาบดีฝ่ายซ้าย
อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองหน้าก่อน ก่อนเดินเข้าไปข้างใน
ฝ่าบาททรงยืนอยู่หน้าโต๊ะหยก มีพระพักตร์มืดครึ้ม ข้างล่างมีเสนาบดีฝ่ายขวา หย่งคังโหว ผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาชั้นสูงฮั่นหลินยืนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองมาถึง ฝ่าบาทก็ทรงตรัสถาม “ท่านพี่ เสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่จวนพวกท่านก็ไม่มีสมุนไพรดำม่วงหรือ”
อิงชินอ๋องส่ายหน้าตอบด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม
“จวนกระหม่อมมิชอบสำรองสมุนไพรตลอดมา เดิมทีมีสมุนไพรในคลังเก็บยาไม่มาก ไม่มีสมุนไพรดำม่วงพ่ะย่ะค่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายทูลกล่าว
“นี่จะทำเช่นไร หนานฉินของข้าเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล นึกไม่ถึงเลยว่าแค่สมุนไพรดำม่วงต้นเดียวยังหามิได้ เผยแพร่ออกไปจะไม่ถูกหัวเราะจนฟันร่วงรึ” ฝ่าบาทตรัสด้วยโทสะ
“ถูกหัวเราะจนฟันร่วงเป็นเรื่องเล็ก นี่เกี่ยวพันกับชีวิตของรัชทายาทและอีกแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอัน” อิงชินอ๋องทูลกล่าวด้วยความกังวล “มิรู้ว่าเมืองหลินอันยังต้านได้อีกกี่วัน”
“ตอนนี้ในเมื่อสมุนไพรดำม่วงถูกคนรีดไถจนหมดไปจากหนานฉินแล้ว สิ่งที่ต้องทำโดยเร่งด่วนคือตามหาว่าผู้ใดรีดไถเอาสมุนไพรดำม่วงไป ขอเพียงหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้ก็บังคับเอาสมุนไพรกลับคืนมา ถึงจะช่วยชีวิตรัชทายาทกับอีกแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันได้” หย่งคังโหวทูลกล่าว
“พูดน่ะง่าย แต่ผู้ใดจะไปตรวจสอบ พวกเจ้าไปตรวจสอบให้เรารึ อย่าว่าแต่นอกเมืองหลวงเลย ต่อให้เป็นเมืองหลวง วังหลวงของเรา นึกไม่ถึงว่ามีคนกล้าก่อความวุ่นวายใต้สายตาเรากับพวกเจ้าได้ ไม่คิดว่าแม้แต่พวกเจ้ายังไม่ทราบ พวกเจ้าบอกเรามาสิว่าใครจะไปตรวจสอบ ใครมีความสามารถมากพอจะตรวจสอบได้” ฮ่องเต้ทรงซักถาม
หย่งคังโหวเงียบเสียงทันที
“เสนาบดีฝ่ายซ้าย เจ้าไปขอร้องท่านอ๋องน้อยที่จวนอิงชินอ๋องมามิใช่หรือ ท่านอ๋องน้อยว่าอย่างไรบ้าง” เสนาบดีฝ่ายขวาถามเสนาบดีฝ่ายซ้าย
“ท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ที่จวน แม้แต่เงาเขาข้ายังมิได้เห็นเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้าตอบ
“ท่านอ๋องน้อยไปไหน” เสนาบดีฝ่ายขวารีบถาม
เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า
เสนาบดีฝ่ายขวาหันไปมองอิงชินอ๋อง
“คนที่เรือนลั่วเหมยบอกว่าเมื่อเช้ายังอยู่ แต่ไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไร และไม่รู้ว่าหายไปไหนด้วย”
อิงชินอ๋องก็ส่ายหน้าตอบเช่นกัน
เมื่อเอ่ยถึงฉินเจิง ฮ่องเต้ก็ทรงสงบลง ก่อนยกพระหัตถ์ไล่ทุกคนออกไป “ไม่มีสมุนไพรดำม่วง แล้วพวกเจ้ายังมัวยืนอยู่ต่อหน้าเราทำไมอีก ยืนไปก็มิได้ทำให้สมุนไพรดำม่วงงอกขึ้นมา ออกไปคิดหาหนทางมา” ว่าจบก็ตรัสกับอิงชินอ๋อง “ท่านพี่ ท่านกลับไปที่จวน รอฉินเจิงกลับมา เขากลับมาเมื่อไรก็บอกให้เข้าวังมาหาเราเมื่อนั้น หากเขาไม่ยอมเข้าวัง ท่านก็ส่งคนมารายงานเราด้วย เราจะไปหาเขาเอง”
อิงชินอ๋องรับคำ
ทุกคนมองหน้ากัน ทราบดีว่าถึงรวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็ไร้ประโยชน์ ต่างพากันออกจากห้องทรงอักษรไป