จารใจรัก - ตอนที่ 82-2 ค้นหาให้ทั่ว
เวลานี้ชุยอี้จือก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายชัดเจน สีหน้าที่กว่าจะดีขึ้นเพราะได้รับการพักผ่อนก็ซีดขาวในฉับพลัน มองไปยังฉินเจิง “นี่เป็นหุบเขาปิดตาย เราจะทำเช่นไรดี”
“หรือว่านกของเจ้าแยกแยะกลิ่นผิด” ฉินเจิงเม้มปากเป็นเส้นตรง
“เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าฝึกฝนมันมากี่ครั้งแล้ว มันไม่เคยผิดพลาด” ชุยอี้จือรีบส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว ตรงนี้ดูคล้ายหุบเขาปิดตาย แต่ต้องมีมากกว่าที่เห็นแน่” ฉินเจิงบอก
ชุยอี้จือได้ยินเช่นนั้นก็สงบลง สังเกตสภาพแวดล้อมรอบกายถี่ถ้วน เนื้อหินเกลี้ยงเกลา น้ำใสสะอาด นอกจากต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นผิดปกติ เขาเอ่ยขึ้น “ผนังหินตรงนี้เกลี้ยงเกลาจนไม่มีแม้แต่ถ้ำสักแห่ง ในน้ำก็ใสสะอาดแต่มองไม่เห็นปลา มองไม่ออกเลยว่ามีทางออกตรงไหน”
“เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะดำน้ำลงไปดู” ฉินเจิงบอก
“ท่านพี่ ทักษะว่ายน้ำท่านเป็นเช่นไรบ้าง ในน้ำเกรงว่าคงไม่ตื้นเป็นแน่ แค่ว่ายน้ำเป็นคงใช้ไม่ได้”
ชุยอี้จือรีบยกมือขวาง
“วางใจได้” ฉินเจิงปัดมือเขาออกแล้วกระโดดลงไปในน้ำ
ชุยอี้จือลอบเสียใจที่ตนไม่เรียนว่ายน้ำมา ทำได้เพียงนั่งรอเฉยๆ ข้างบน
หลังฉินเจิงลงน้ำก็ว่ายดำดิ่งลงไปยังก้นทะเลสาบตามแสงสว่างที่ไข่มุกราตรีเปล่งออกมาในน้ำ ในทะเลสาบไม่มีแม้แต่หญ้าน้ำ เห็นเพียงกองกระดูก เขาว่ายไปตามก้นทะเลสาบรอบหนึ่ง ก่อนว่ายกลับขึ้นมา
ชุยอี้จือรอมาหนึ่งชั่วยามแล้ว กระทั่งเริ่มรอไม่ไหว เมื่อเห็นเขากลับมาก็ดีใจ “เป็นเช่นไรบ้าง”
“ก้นทะเลสาบมีแต่กระดูกคนตาย เป็นดังที่เจ้าบอก ไม่พบสิ่งมีชีวิตเลย แม้แต่หางปลาสักตัวยังไม่เห็น” ฉินเจิงส่ายหน้าตอบ
“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี” ชุยอี้จือท้อแท้
“ต้องมีวิธีอื่น” ฉินเจิงถ่ายพลังทำให้เส้นผม ใบหน้า และหยดน้ำบนกายแห้งสนิท “ในเมื่อเจ้าฝึกนกตัวนั้นมา คงมีวิชาเรียกมันกลับมาเช่นกัน”
“มี” ชุยอี้จือพยักหน้า
“เจ้าลองเรียกมันกลับมา ข้าจะเดินเลียบผนังหินรอบหนึ่ง ดูว่ามีทางออกอื่นหรือไม่” ฉินเจิงบอก
“เช่นนั้นท่านระวังตัวด้วย” ชุยอี้จือผงกศีรษะรับคำ
ฉินเจิงหยิบตะคอที่เอวออกมา ไต่เลียบจากจุดที่พวกเขาพักผ่อนไปรอบๆ ผาหิน
ชุยอี้จือใช้วิชาเรียกกลับ
ครึ่งชั่วยามถัดมา ฉินเจิงกลับมาก็เห็นว่าชุยอี้จือนอนอยู่ตรงที่เดิมด้วยสภาพเหงื่อโชก ลมปราณดูอ่อนแรง เขาถามขึ้น “เป็นเช่นไรบ้าง”
“หาร่องรอยไม่เจอ” ชุยอี้จือส่ายหน้า
“หาร่องรอยไม่เจอ มีกี่ความเป็นไปได้” ฉินเจิงขมวดคิ้ว
“ดังที่ท่านเคยบอกไว้ หนึ่งคือตายเพราะอุบัติเหตุ สองคือถูกจับไปแล้วผนึกประสาทการรับรู้ของมัน”
ชุยอี้จือกล่าวอย่างหมดกำลังใจ “จากที่ข้าเดา เกรงว่ามันจะเจออุบัติเหตุแล้วตายไป มิฉะนั้น ขนหางในมือข้าต้องรับรู้ถึงมันได้ แต่ตอนนี้ขนหางกลับไม่ตอบสนองเลย คนทั่วไปผนึกประสาทการรับรู้ของมันไม่ได้”
“ประสาทการรับรู้?” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“ท่านคงมิทราบ แม้ท่านป้าเกิดมาในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ แต่ด้วยกฎประจำตระกูลที่ว่าถ่ายทอดให้บุรุษมิถ่ายทอดให้สตรี ถ่ายทอดให้ทายาทมิถ่ายทอดให้อนุ ดังนั้นท่านป้าจึงรู้วิชาเสาะร่องรอยของตระกูลชุยแห่งชิงเหอแค่เบื้องต้น แท้จริงแล้ววิชาเสาะร่องรอยพันลี้ไม่ใช่ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอทั้งหมด แต่ถ่ายทอดมาจากเผ่าภูตผี” ชุยอี้จือตอบด้วยความซึมเซา
ฉินเจิงหรี่ตาลง
“นกตัวนี้ชื่อว่าเฟิงหลิง เนื่องจากในบรรดาอนุชนรุ่นนี้ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอ พี่ใหญ่แม้เฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แต่ถูกท่านป้ารับไปอยู่จวนอิงชินอ๋อง ถูกท่านเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ดังนั้นผู้อาวุโสในตระกูลจึงเลือกผู้สืบทอดที่มีแววจะพัฒนาตระกูลได้ นั่นก็คือข้า เฟิงหลิงตัวนี้ถูกมอบให้ข้าเมื่อตอนอายุห้าขวบ แม้ข้าชื่นชอบที่ได้เป็นคนสำคัญในตระกูล แต่กลับถูกคนในตระกูลถ่วงความก้าวหน้า ดังนั้นจึงอยากยืมความสามารถของท่าน แย่งชิงอำนาจในตระกูลมา เพื่อหลุดพ้นจากผู้อาวุโสในตระกูลที่คอยบีบบังคับข้าแล้วควบคุมตระกูลชุยแห่งชิงเหอ เรื่องพวกนี้ท่านคงทราบอยู่แล้ว ถึงได้ใช้ตำแหน่งราชเลขากรมกลาโหมมาหลอกล่อข้า ทำให้ข้าทนการหว่านล้อมของท่านไม่ได้” ชุยอี้จือเล่าด้วยหน้าขาวซีด
ฉินเจิงพยักหน้า
“แต่หากครั้งนี้ข้าช่วยท่านแล้วต้องสูญเสียเฟิงหลิงไป แม้ข้าได้ตำแหน่งราชเลขากรมกลาโหม รากฐานก็ยังไม่มั่นคงอยู่ดี ยิ่งถ้าผู้อาวุโสในตระกูลรู้เข้าต้องทำโทษข้าแน่ หากยอมรับกฎประจำตระกูลก็จะส่งผลกระทบต่ออนาคตการเป็นขุนนาง ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว” ชุยอี้จือเปลี่ยนน้ำเสียง
“ถ้าเฟิงหลิงยังไม่ตาย คนแบบใดถึงจะผนึกประสาทการรับรู้ของมันได้ ทำให้เจ้าหาร่องรอยมันไม่เจอ” ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถาม
“มันเกิดจากเผ่าภูตผีก็ย่อมต้องเป็นชาวภูตผี แต่ฟังว่าจำต้องเป็นชาวภูตผีที่เรียนวิชาต้านวิญญาณมา” ชุยอี้จือตอบ “วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีฟังว่าต้านสรรพวิญญาณในใต้หล้าได้ เป็นวิชาลับของราชวงศ์ แต่ถึงแม้เป็นคนในราชนิกุลเผ่าภูตผี ฝึกฝนจนเป็นผู้บรรลุ ต้านสรรพวิญญาณในใต้หล้าได้ แต่ละรุ่นก็มีเพียงแค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้น”
ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไตร่ตรอง
“เผ่าภูตผีล่มสลายลงตั้งนานแล้ว เพราะฐานะเป็นเหตุ คนที่ยังทัศนาจรบนโลกก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนเพื่อมิให้ถูกชาวโลกจับตัวได้ มิฉะนั้นถ้าไม่ใช่ทำทุกวิถีทางเพื่อชิงวิชาภูตผีมาศึกษา ก็นำมาเป็นวัตถุดิบทำยาอายุวัฒนะรักษาโรค” ชุยอี้จือกล่าว “ดังนั้นข้าจึงบอกว่า เกรงว่าเฟิงหลิงจะตายเพราะอุบัติเหตุไปแล้ว”
“มันยังไม่ตายแน่นอน” ฉินเจิงพลันกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ท่านรู้ได้อย่างไร” ชุยอี้จือผุดลุกขึ้นนั่ง
“ข้ารู้ก็แล้วกัน” ฉินเจิงผินหน้ามองเขา “ให้เวลาเจ้าพักอีกครึ่งชั่วยาม ประเดี๋ยวค่อยเดินทางต่อ”
“ไปไหน” ชุยอี้จือถาม
“ย้อนกลับขึ้นไป”
“ย้อน…กลับขึ้นไป” ชุยอี้จือเงยหน้ามองข้างบน ใบหน้าฉายแววสิ้นหวัง “ตอนลงมาเมื่อคืนต้องใช้เวลาสี่ชั่วยาม ตอนนี้จะย้อนกลับขึ้นไปอีกครั้งหรือ”
“ไม่กลับขึ้นไป หรือเจ้าจะอดตายอยู่ตรงนี้” ฉินเจิงย้อนถาม
ชุยอี้จือแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา ขยับเข้าใกล้เขา “แน่นอนว่าไม่ แต่ท่านบอกข้ามาก่อน เหตุใดถึงมั่นใจนักว่าเฟิงหลิงยังไม่ตาย” หยุดชั่วครู่แล้วถามด้วยความสงสัย “หรือว่า…มีคนรู้วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีผนึกประสาทการรับรู้ของมันจริงๆ”
ฉินเจิงไม่ตอบ
ชุยอี้จือมองเขา เห็นว่าใบหน้าเขานิ่งขรึม มองอันใดไม่ออกทั้งนั้น เดิมทีตนเป็นคนฉลาด ไตร่ตรองพักหนึ่งก็โพล่งขึ้น “ข้าคิดออกแล้ว ท่านลากข้าออกจากเมืองก็เพื่อตามหาร่องรอยเซี่ยฟางหวา ข้าใช้งานเฟิงหลิงเพื่อให้มันหาร่องรอยของนาง ตอนนี้เฟิงหลิงหายไป กล่าวเช่นนี้แสดงว่าต้องหานางพบแล้ว แต่หากอิงตามความมั่นใจที่ท่านบอกว่าเฟิงหลิงยังไม่ตาย เช่นนั้นข้างกายนางจะต้องมีผู้วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีจับเฟิงหลิงไปแน่นอน”
“เหตุใดถึงไม่ใช่นางจับเฟิงหลิงไปเอง” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
ชุยอี้จือชะงัก นิ่งมองฉินเจิงด้วยความโง่เขลา ผ่านไปครู่หนึ่งก็เรียกสติกลับมาได้ “ท่านบอกว่า…เซี่ยฟางหวารู้วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีหรือ นาง…นางไม่ใช่คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวของตระกูลเซี่ยรึ ไฉนถึงใช้วิชาต้านวิญญาณของราชนิกุลเผ่าภูตผีได้”
“นางเป็นคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว แล้วใช้วิชาต้านวิญญาณของราชนิกุลเผ่าภูตผีไม่ได้รึ” ฉินเจิงย้อนถาม
ชุยอี้จือพูดไม่ออก
ครึ่งชั่วยามถัดมา ฉินเจิงก็ลุกขึ้นยืน “ไปกันได้แล้ว”
“เมื่อกลับขึ้นไปได้แล้ว ไม่มีเฟิงหลิงก็เหมือนกับข้าสูญเสียประสาทรับกลิ่นไป เราจะตามหาจากตรงไหน” ชุยอี้จือถามอีก
“เฟิงหลิงบินจากยอดผาดิ่งลงมา ตรงนี้เป็นผาปิดตายโดยธรรมชาติ นกบินยังยาก ในเมื่อมันบินลงมา เช่นนั้นคนที่ต้องการตามหาต้องอยู่ที่นี่แน่ แต่ไม่พบร่องรอยที่ก้นผา แสดงว่าคงอยู่ไม่ไกลจากผาไน่เหอแห่งนี้ ดังนั้นเราย้อนกลับขึ้นไปก่อน ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว บางทีระหว่างทางอาจได้เบาะแสบ้าง” ฉินเจิงวิเคราะห์
“หากย้อนขึ้นไปแล้วก็ไม่เจอเล่า” ชุยอี้จือกุมหน้าผาก
“เช่นนั้นข้าจะทุบผาไน่เหอทิ้งแล้วค้นหาให้ทั่ว” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ไม่เชื่อว่าข้าจะหานางไม่พบ”