จารใจรัก - ตอนที่ 83 ประณีตละเอียดอ่อน
ชุยอี้จือตวัดตามองขึ้นไปด้านบน ผาสูงชันดั่งสวรรค์ชั้นเก้า ท่ามกลางความมืดเมื่อคืนต้องใช้เวลาถึงสี่ชั่วยาม แต่ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ด้วยวิทยายุทธ์ของพวกเขา สุภาษิตกล่าวว่าขึ้นเขาง่ายกว่าลงเขานัก มากสุดคงใช้เวลาสามชั่วยามถึงจะปีนขึ้นไปถึงยอดผา ด้วยการวิเคราะห์ของฉินเจิง หากเซี่ยฟางหวาอยู่ระหว่าง
ผาไน่เหอแห่งนี้จริง บางทีพวกเขาอาจหาเจอได้อย่างรวดเร็ว
“ได้ วันนี้ข้าจะสละชีพกับวีรชน” เขาพยักหน้ารับ
“เมื่อวานเราไต่ลงมาจากข้างซ้าย วันนี้ปีนขึ้นไปจากข้างขวาแล้วกัน” ฉินเจิงหยิบโซ่ตะขอจากบริเวณเอวออกมา
“แล้วแต่ท่าน ท่านว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น” ชุยอี้จือผงกศีรษะ
ฉินเจิงยึดโซ่ตะขอเข้ากับผนังผา ดีดร่างกายกระโดดขึ้นไปหลายจั้งในคราเดียว ห้อยตัวอยู่ข้างผนังผา
ชุยอี้จือเลียนแบบเขา หยิบโซ่ตะขอออกมา ห้อยตัวอยู่ข้างผนังผาเช่นเดียวกับเขา
ทั้งสองปีนเลียบหน้าผาขึ้นไป ประคองเกื้อกูลกัน ปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงชัน
หนึ่งชั่วยามถัดมา ทั้งสองก็พบขอบมุมที่นูนออกมาจากหินยักษ์ แม้จุคนได้แค่คนเดียว แต่ก็พอให้พักผ่อนได้ชั่วคราว
“ปีนขึ้นมาได้หนึ่งในสามแล้ว แต่ยังไม่พบจุดใดพิเศษเลย” ชุยอี้จือมองไอหมอกรอบกายแล้วกล่าวกับฉินเจิง
“ใต้หล้าไม่มีเชือกที่แก้ปมมิได้และปริศนาที่ไขไม่ออก” ฉินเจิงกล่าว “ต้องมีแน่”
ชุยอี้จือพยักหน้า
หลังทั้งสองแวะพักผ่อนได้พักใหญ่ก็ปีนขึ้นไปข้างบนต่อ
เวลาผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม ฉินเจิงก็พลันหยุดลง สายตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง
“ท่านพี่ ท่านเห็นสิ่งใดแล้วหรือ” ชุยอี้จือมองตามสายตาเขา ทว่าไม่พบสิ่งใดจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“ตรงนั้น เราไปดูกัน” ฉินเจิงขมวดคิ้วพลางยกมือชี้ออกไป
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ชุยอี้จือมองอีกครั้งก็สงสัย
“ไม่ใช่ มีรูปภาพ” ฉินเจิงพูดพลางก็ปีนข้ามสิ่งกีดขวางไป
ชุยอี้จือได้แต่ตามเขาไปด้วย
จุดที่ทั้งสองพักอยู่ห่างจากตำแหน่งรูปภาพที่ฉินเจิงบอกประมาณสองจั้ง
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงจุดที่ว่า ฉินเจิงหยุดลง ขยับหน้าเข้าใกล้ผนังเพื่อมองรูปภาพที่สลักไว้บนนั้น
เวลานี้ชุยอี้จือเห็นชัดเจนแล้ว บนผนังผามีรูปภาพอยู่จริง แต่ภาพนั้นคล้ายกับถูกลมฝนกัดเซาะเป็นเวลานานจนทิ้งร่องรอยเอาไว้บนแผ่นหิน เขาเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ภาพนี้ดูไร้ระเบียบ ไม่คล้ายเป็นกลไกใด”
ฉินเจิงไม่พูดจา เอาแต่จ้องภาพนั้น
ชุยอี้จือก็มองมันเช่นกัน พิจารณาเป็นนานก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
“นี่เป็นยันต์แปดเหลี่ยมที่วาดด้วยอักษรสันสฤตผีของเผ่าภูตผี” เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ฉินเจิงก็โพล่งออกมา
“อะไรนะ” ชุยอี้จือตกใจใหญ่
“หนึ่งขีดแทนหยาง สองขีดแทนหยิน รวมกันกลายเป็นยันต์แปดเหลี่ยม ประกอบด้วยเฉียนแทนฟ้า คุนแทนดิน เจิ้นแทนฟ้าผ่า ซวิ่นแทนลม ข่านแทนน้ำ เกิ้นแทนภูเขา หลีแทนไฟ ตุ้ยแทนบึงน้ำ และใช้สัญลักษณ์บอกสภาพการณ์ของสรรพสิ่ง สามเส้นเต็มคือเฉียน (☰) ขาดหกท่อนคือคุน (☷) ภาชนะหงายรับน้ำคือเจิ้น (☳) ถ้วยคว่ำลงคือเกิ้น (☶) ขีดตรงกลางแหว่งคือหลี (☲) ขีดตรงกลางเต็มคือข่าน (☵) ขาดเส้นบนคือตุ้ย (☱) หักเส้นล่างคือซวิ่น (☴) ถ้านี่มิใช่ยันต์แปดเหลี่ยมแล้วเป็นสิ่งใด” ฉินเจิงอธิบายเชื่องช้า
“นี่คือยันต์แปดเหลี่ยมจริงหรือ ข้าเองก็รู้จักมัน ถึงวาดด้วยอักษรสันสฤตผีข้าก็ควรมองออกสิ แต่ไฉนถึงดูไม่คล้ายเลย” ชุยอี้จือคล้ายยังข้องใจอยู่บ้าง
“ยันต์แปดเหลี่ยมที่เรารู้จักเป็นแบบมาตรฐานสมบูรณ์ มีทั้ง ‘เฉียนและคุน’ แต่อันนี้ไม่มี ‘ตำแหน่งเฉียนและตำแหน่งคุน’ ดังนั้นเจ้าจึงมองไม่ออก หากข้าวาดเพิ่มตรงนี้ และตรงนี้เล่า” ฉินเจิงยื่นมือขีดเพิ่ม
“พอท่านขีดแบบนี้แล้วเป็นยันต์แปดเหลี่ยมจริงๆ ด้วย” ชุยอี้จือกระจ่างแจ้งทันที
“ยันต์แปดเหลี่ยมขาดเฉียนกับคุน มิใช่กำลังบอกเราว่าข้างในมีอีกพื้นที่หนึ่งหรือ” ฉินเจิงกระตุกริมฝีปากยกยิ้ม
“จริงด้วย!” ชุยอี้จือลิงโลด “หมายความว่า ตำแหน่งเฉียนกับตำแหน่งคุนคือกลไก”
“เฉียนคุนแทนฟ้าดินและหยินหยาง เฉียนแทนฟ้า คุนแทนดิน หยางคือการเกิด หยินคือการตาย ดังนั้นตำแหน่งเฉียนจึงเป็นประตูแห่งการเกิด ตำแหน่งคุนคือประตูแห่งความตาย” ฉินเจิงส่ายศีรษะ
“ท่านพี่ ตลอดมาข้าแค่คิดว่าท่านเกิดมาในจวนอิงชินอ๋องจึงมีแต่วาสนาดีเข้ามาในชีวิต แต่ตอนนี้ข้าต้องนับถือจากใจ จริงดังที่ผู้อาวุโสในตระกูลบอก หากท่านไร้ความสามารถ มีหรือจะเดินกร่างในเมืองหลวงได้” ชุยอี้จือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วกล่าวกับฉินเจิง
“เจ้ารู้ก็ดี” ฉินเจิงแค่นเสียงแผ่วเบา
ชุยอี้จือเงียบลงทันที
ฉินเจิงเอามือปิดตำแหน่งเฉียนแล้วกดลงไปแผ่วเบา ทันใดนั้นผนังหินก็เกิดการขยับ เขาบอกกับ
ชุยอี้จือทันที “ถอยไปก้าวหนึ่ง”
ชุยอี้จือรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง ยึดโซ่ตะขอให้มั่น
เมื่อผนังหินคลายออก ฉินเจิงก็รีบถอยออกมาก้าวหนึ่งเช่นกัน
ไม่นาน ผนังหินบริเวณตำแหน่งยันต์แปดเหลี่ยมก็ยุบเข้าไปข้างในเชื่องช้า ชั่วพริบตาประตูบานหนึ่งก็เปิดออกในตำแหน่งยันต์แปดเหลี่ยม
“ท่านพี่ เป็นกลไกลจริงด้วย! กลไกนี้สร้างได้กลมกลืนกับธรรมชาติมาก ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง” ชุยอี้จือ
ดีใจยกใหญ่
ฉินเจิงพยักหน้า “ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นกลไกบริเวณกึ่งกลางหน้าผาที่สร้างได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ครั้งแรกเหมือนกัน” พูดจบก็กล่าวต่อ “ไป เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ชุยอี้จือรับคำ ก่อนตามเขาเข้าไป
ทั้งสองเดินเข้าไปหลังบานประตู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเป็นพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งห้อง ผนังหินโดยรอบว่างเปล่า สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับประตูถ้ำเป็นภาพสามภาพ
“เอ๋ ไม่มีใครอยู่” ชุยอี้จือมองรอบห้อง ก่อนหยุดลงบนภาพสามภาพนั้น เอ่ยถามฉินเจิงด้วยความสงสัย “ท่านพี่ หรือว่านี่ก็เป็นกลไกด้วย”
ฉินเจิงก้าวขึ้นมามองมันพักหนึ่งก่อนผงกศีรษะ “ข้างซ้ายเป็นค่ายกลเบญจธาตุ ข้างขวาเป็นค่ายกลเก้าช่อง ตรงกลางเป็นค่ายกลไตรภูมิ ค่ายกลเบญจธาตุประกอบด้วยทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ทองอยู่ทิศตะวันตก ไม้อยู่ทิศตะวันออก น้ำอยู่ทิศเหนือ ไฟอยู่ทิศใต้ ดินอยู่ตรงกลาง ส่วนค่ายกลเก้าช่อง ช่องแรกคือข่าน (ทิศเหนือ) ช่องที่สองคือคุน (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) ช่องที่สามคือเจิ้น (ทิศตะวันออก) ช่องที่สี่คือซวิ่น (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) ช่องที่ห้าคือตรงกลาง (นับเป็นคุน) ช่องที่หกคือเฉียน (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) ช่องที่เจ็ดคือตุ้ย (ทิศตะวันตก) ช่องที่แปดคือเกิ้น (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) และช่องที่เก้าคือหลี (ทิศใต้) แม้จะใช้ยันต์แปดเหลี่ยมเป็นตัวกำหนดช่องทั้งแปดรวมถึงช่องตรงกลาง แต่ช่องตรงกลางก็คือช่องที่ห้า ส่วนค่ายกลไตรภูมิประกอบด้วยสวรรค์ บาดาล และมนุษย์”
“สามภาพนี้ก็มิคล้ายว่าเป็นสามค่ายกลนั้น หรือว่าเหมือนกับยันต์แปดเหลี่ยมข้างนอกนั่น ขาดตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไป” ชุยอี้จือสงสัย
“เบญจธาตุขาดดิน เก้าช่องขาดตรงกลาง ไตรภูมิขาดมนุษย์ ดินคือตรงกลาง ตรงกลางคือคุน สามภาพนี้รวมกันเป็นค่ายกลทั้งสาม และบอกเราว่าหากอยากเข้าไปต้องเดินตรงกลาง หากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียวก็จะตาย” ฉินเจิงผงกศีรษะ
ชุยอี้จือกระจ่างแจ้ง ยิ่งนับถือฉินเจิงมากขึ้น
ฉินเจิงเอื้อมมือไปกดตำแหน่งดินกับตำแหน่งตรงกลาง ก่อนหันมาบอกชุยอี้จือ “ยืมมือเจ้ามาใช้หน่อย”
ชุยอี้จือรีบยื่นมือข้างหนึ่งไปกดตำแหน่งมนุษย์ เสียง ‘กึก’ ดังขึ้น ตามมาด้วยผนังหินเกิดการสั่นสะเทือน ประตูบานหนึ่งค่อยๆ เปิดออกตรงหน้าพวกเขา
หลังประตูเปิดออกจนสุดก็ปรากฏทางเดินทอดตัวยาว บนผนังหินทุกระยะห่างหนึ่งหมี่*จะมีไข่มุกขนาดนิ้วโป้งฝังประดับเอาไว้ เพื่อเพิ่มแสงสว่างให้ทางเดินเส้นนี้
บนผนังนอกจากไข่มุกส่องประกายก็เกลี้ยงเกลาดุจเนื้อกระจก
ชุยอี้จือมองไปยังฉินเจิง ฉินเจิงเดินไปข้างหน้า เขาจึงรีบยกเท้าเดินตามไป
เดินไปเป็นเวลาราวสองถ้วยชาก็มาถึงสุดทางเดินอันแสนยาวนี้ เป็นประตูใหญ่บานหนึ่งเหมือนกับตอนเข้ามา บนประตูมีภาพหนึ่งถูกวาดเอาไว้เช่นกัน สลักด้วยอักษรสันสกฤตผี
ชุยอี้จือทอดถอนใจ “ตรงหน้าผาปิดตายโดยธรรมชาติแห่งนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าหลังเข้ามาแล้วยังมีกลไกรออยู่ทุกย่างก้าว ผู้สร้างกลไกช่างประณีตละเอียดอ่อนยิ่งนัก” พูดจบ เขาเห็นฉินเจิงขมวดคิ้วไตร่ตรองไม่เอ่ยคำใด อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ท่านพี่ นี่เป็นภาพค่ายกลด้วยหรือไม่”
“ไม่ใช่” ฉินเจิงส่ายหน้า
“แล้วคือสิ่งใด มองออกหรือไม่” ชุยอี้จือมองเขา
“เป็นคำนำกล่าวของบรรพบุรุษที่ประกาศต่อบ้านเมืองโดยใช้อักษรสันสกฤตผี จำต้องรู้จักอักษรสันสกฤตผีที่สลักไว้ ตัวอักษรที่เขียนไว้ขาดอักษรถู่ (土) ในคำว่าเฉียนคุน (乾坤) ขาดอักษรชวน (川) ในคำว่าจิ่วโจว (九州) และขาดตัวซาน (三) ในตัวอักษรเหยียน (闫) หมายถึงยามเซิน*[1]สามเค่อ**[2]ค่อยผ่านประตูบานนี้เข้าไป” ฉินเจิงถามเสียงเบา “ตอนนี้กี่ยามกี่เค่อแล้ว”
“ตอนนี้ยามอู่***[3]สองเค่อ” ชุยอี้จือตอบ
“เช่นนั้นเราก็รอตรงนี้ก่อน” ฉินเจิงหันหลังกลับมานั่งพิงประตูหิน
“ถึงยามเซินสามเค่อประตูจะเปิดออกเองหรือ” ชุยอี้จือมองเขา
ฉินเจิงตอบ “อืม”
ชุยอี้จือนั่งลงด้วยเช่นกัน กล่าวด้วยความไม่เข้าใจยิ่ง “ท่านพี่ ท่านรู้จักอักษรสันสกฤตผีได้อย่างไร มิเคยได้ยินว่าท่านเคยเรียนมาก่อน”
“ตอนเรียนศิลปะแขนงต่างๆ อยู่ข้างกายอาจารย์ย่อมเห็นชินตาจนซึมซับโดยไม่รู้ตัวจึงเผลอจำได้เข้า” ฉินเจิงหลับตาลงพลางตอบเสียงเรียบ
“ทุกพื้นที่ตรงนี้สร้างด้วยอักษรสันสกฤตผีทั้งหมด หรือว่านี่จะเป็นที่พำนักของชาวภูตผี” ชุยอี้จือแปลกใจ “ดินแดนภูตผีอยู่ห่างจากที่นี่หมื่นลี้มิใช่หรือ ฟังว่าล่มสลายไปแล้วด้วย แต่ตรงนี้กลับคล้ายกระจกสะท้อนก็มิปาน เห็นได้ชัดว่ามีคนมาทำความสะอาดเป็นประจำ ไม่เห็นฝุ่นเกาะแม้แต่น้อย”
“เผ่าภูตผีล่มสลายไปแล้ว ดินแดนมีขีดจำกัด แต่มนุษย์ไร้ขีดจำกัด ชาวภูตผีหลงเหลืออยู่ที่ใดในใต้หล้าบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” ฉินเจิงบอก
“ก็จริง” ชุยอี้จือคิดว่าเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคนและสรรพสิ่งของเผ่าภูตผีล้วนมีแต่ความน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง จึงพยักหน้าคล้อยตาม “ท่านพี่ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่า คำนำกล่าวด้วยอักษรสันสกฤตผีนั้นเขียนว่าอย่างไร ข้าอ่านไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจก็ดีแล้ว” ฉินเจิงปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าดูเวลาไว้ ถึงยามเซินสามเค่อแล้วปลุกข้าด้วย”
ชุยอี้จือเห็นว่าเขาหลับไปทั้งแบบนี้โดยที่ตั้งใจว่าจะไม่บอกก็ค่อนข้างไม่พอใจ แต่นึกได้ว่าเขาไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ตลอดมา ทั้งต้องลงน้ำแล้วปีนขึ้นหน้าผา วันนี้ยังต้องใช้สมองไขกลไก จึงได้แต่ระงับความไม่พอใจเอาไว้แล้วพยักหน้า “ได้ ไว้ข้าปลุกท่าน”
ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใดอีก ปิดตาผล็อยหลับไป
ชุยอี้จือมองฉินเจิง ระหว่างที่ตนเงียบไม่เอ่ยคำใดพักใหญ่ก็ผล็อยหลับไปดังคาด เขาเบ้ปากแล้วหันไปพินิจอักษรสันสกฤตผีอย่างถี่ถ้วน
พินิจมองพักหนึ่งก็พลันรู้สึกปวดตาขึ้นมา คล้ายกับมีเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มดวงตาเขา
เขาพลันตกใจยกใหญ่ รีบเอามือกุมดวงตาทันที
ผ่านไปพักหนึ่งความเจ็บปวดก็ทุเลาลงจนหายไปเอง บนกายเขามีเหงื่อพุดพรายขึ้นชั้นหนึ่ง ค่อยๆ ปล่อยมือออกเชื่องช้าแล้วหันไปมองฉินเจิง ฉินเจิงยังคงหลับอยู่ เขาซับเหงื่อบริเวณขมับ ไม่กล้ามองอักษรสันสกฤตผีพวกนั้นอีกแล้ว
เมื่อถึงยามเซินสองเค่อ ชุยอี้จือก็เอื้อมมือไปผลักฉินเจิง “ท่านพี่ ตื่นได้แล้ว”
“ถึงเวลาแล้วหรือ” ฉินเจิงตื่นขึ้นมา ผินหน้าถาม
“ตอนนี้ยามเซินสองเค่อ เหลือเวลาอีกนิดหน่อย” ชุยอี้จือทำหน้าเครียด “ท่านว่าพอเราเข้าไปแล้วจะเจอเซี่ยฟางหวาหรือไม่”
ฉินเจิงไม่ตอบ
ชุยอี้จือพินิจสีหน้าเขา เขาหลังตื่นนอนดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงถ้อยคำที่คนหมู่มากวิจารณ์ฉินเจิง ท่านอ๋องน้อยเจิงอายุน้อยแต่ไม่เอาจริงเอาจัง มิคำนึงถึงประเพณี โอ้อวดกระทำตามอำเภอใจ ใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไร้ความกริ่งเกรง มีนิสัยไร้เหตุผล มักแสดงอารมณ์สุดโต่งชัดเจน ทว่ายามนี้เมื่อได้คบหาสมาคมด้วยมากขึ้นถึงได้รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแต่เปลือกนอกเท่านั้น
แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ยากจะเข้าใจคนหนึ่ง
ผ่านไปพักหนึ่งก็ถึงยามเซินสามเค่อพอดี ประตูค่อยๆ เปิดออกอย่างตรงเวลาดังที่ฉินเจิงคาดการณ์ไว้
[1] *ยามเซิน คือ ช่วงเวลา 15:00 น. – 17:00 น.
[2] **เค่อ คือ หน่วยเวลา (1 เค่อ = 15 นาที)
[3] ***ยามอู่ คือ ช่วงเวลาประมาณ 11:00 น. – 13:00 น.