จารใจรัก - ตอนที่ 84 ความรักกลายเป็นขี้เถ้า
ประตูบานนี้หนาและแข็งแรงยิ่ง ทว่ายามเปิดออกกลับไร้สุ้มเสียง พอที่จะให้สามสี่คนเดินเรียงหน้ากระดานเข้าไปได้
“ท่านพี่ จริงดังที่ท่านคาด ประตูเปิดแล้ว” ชุยอี้จือดีอกดีใจ หันไปมองฉินเจิง
ฉินเจิงผงกศีรษะ มองไปยังอีกฝั่งของบานประตู เบื้องหน้ามีหมอกควันจางๆ เห็นเพียงระยะห่างไกลออกไปหลายจั้ง เขาส่งสัญญาณให้ชุยอี้จือเดินตามมา
ชุยอี้จือรีบเดินตามหลังเขา ทั้งสองผ่านประตูเข้าไปด้วยกัน
ประตูค่อยๆ ปิดลงอย่างเงียบเชียบคล้อยหลังทั้งสองเดินเข้าไป
หลังชุยอี้จือผ่านประตูเข้ามาก็เดินขึ้นนำฉินเจิงด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ข้างหน้าเป็นหน้าผา ไม่อยากตกลงไปก็หยุดเดินเสีย” ฉินเจิงคว้าแขนเขาไว้
“นะ…หน้าผา?” ชุยอี้จือสะดุ้งโหยง หันกลับมามองเขา
“เมฆหมอกควันปกคลุม ต่างกับตอนที่เรามองลงมาจากยอดผาไน่เหอตรงไหน” ฉินเจิงเลิกคิ้วก่อนปล่อยแขนเขา “ถ้าไม่เชื่อก็ลองกระโดดลงไปดูได้”
ชุยอี้จือส่ายศีรษะพัลวัน “ในเมื่อเป็นหน้าผา จะทำเช่นไรต่อ”
ฉินเจิงโน้มกายลงหยุดมองที่ริมหน้าผาพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ขอบผามีเชือก เราโรยตัวลงไปแล้วกัน”
“ข้าไม่อยากปีนหน้าผาอีกแล้ว มีเชือกก็ดีนัก” ชุยอี้จือโล่งอก
ฉินเจิงคว้าเชือก ตัวเชือกมีขนาดเท่ากำปั้นเนื้อหยาบ เขาจับเชือกให้มั่นแล้วกระโดดลงไป
ชุยอี้จือรีบคว้าเชือกไว้เช่นกัน ไถลตามเชือกลงไปพร้อมเขา
เมฆหมอกลอยละล่องรอบทิศ นอกจากผนังหินด้านนี้กับเชือกที่จับอยู่ก็แยกแยะทัศนียภาพรอบกายมิได้เลยแม้แต่น้อย
ไถลลงมาราวครึ่งชั่วยาม ขณะที่ยังเหลือระยะห่างจากพื้นครึ่งจั้ง พลันมองเห็นผืนน้ำกระเพื่อมบนทะเลสาบได้อย่างชัดเจน
“ไม่จริงน่า เป็นทะเลสาบปิดตายอีกแล้วหรือ” ใบหน้าของชุยอี้จือฉายแววสิ้นหวังทันที
“ไม่ใช่” ฉินเจิงส่ายหน้า
“ข้าว่ายน้ำไม่เป็น” ชุยอี้จือกำเชือกแน่นไม่เคลื่อนไหวต่อ ยกเท้าถีบขอบผาเกลี้ยงเกลาจนหมุนไปรอบๆ
“ข้างล่างมีแพไม้ไผ่” ฉินเจิงพูดพลางก็หยิบโซ่ตะขอบริเวณเอวออกมา สะบัดโยนออกไป ได้ยินเพียงเสียง ‘กึก’ ดังขึ้น โซ่ตะขอเกี่ยวโดนบางสิ่ง ตามมาด้วยเขาออกแรงกระชากเข้ามา แพไม้ไผ่ลำหนึ่งถูกเขาลากออกมาจากดงพืชน้ำไม่ไกลดังที่บอกจริง
“มีแพไม้ไผ่ก็ดี” ชุยอี้จือโล่งใจ
ฉินเจิงปล่อยเชือกแล้วกระโดดขึ้นแพไม่ไผ่ ชุยอี้จือกระโดดตามขึ้นมาเช่นกัน
ฉินเจิงหยิบกระบอกไม้ไผ่มาพาย แพไม้ไผ่นำทั้งสองล่องทะเลสาบไปเบื้องหน้า
ผืนทะเลสายปกคลุมด้วยไอหมอก ทัศนียภาพรอบกายนอกจากทะเลสาบก็มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น
ชุยอี้จือกางมือออก นิ่งค้างกลางอากาศเป็นนาน หลังจากนั้นก็เอ่ยด้วยความแปลกใจ “ท่านพี่ หมอกนี้น่าประหลาดนัก ไม่คล้ายกับเป็นหมอกทั่วไป ข้ากางมือกลางอากาศนานแล้ว สิ่งที่สัมผัสได้มิใช่ความเย็นเปียกชื้นอย่างที่ควรเป็น หากแต่อบอุ่นชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มสบายกายมาก ในทะเลสาบก็ปราศจากไอน้ำ ไม่มีความหนาวเย็นเช่นกัน”
“นี่ไม่ใช่หมอก” ฉินเจิงบอก
“ไม่ใช่หมอก แล้วคือสิ่งใด” ชุยอี้จือแปลกใจ
“น่าจะเป็นวิชาหมอกของเผ่าภูตผี ดึงจิตวิญญาณขุนเขา แผ่นหิน ต้นไม้ใบหญ้าออกมาแล้วสร้างวิชาหมอก เป็นหมอกที่ไม่ใช่หมอก” ฉินเจิงมองไปเบื้องหน้า “มิฉะนั้นตอนนี้ยามใดแล้ว ยามนี้จะมีหมอกลงได้อย่างไร”
“จริงด้วย เราเปิดประตูยามเซินสามเค่อ ใช้เวลาลงมาอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ตอนนี้ยามโหย่ว*[1]หนึ่งเค่อแล้ว” ชุยอี้จือกระจ่างแจ้ง
ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด
“สายน้ำก็คล้ายกับมีทิศทางของมันเองเช่นกัน” ชุยอี้จือมองผืนน้ำแล้วกล่าวขึ้นอีก
ฉินเจิงก้มศีรษะมองแวบหนึ่งแล้ววางกระบอกไม้ไผ่ลง แม้วางระบอกไม้ไผ่ลงแล้ว แต่แพไม้ไผ่ยังคงบรรทุกทั้งสองเคลื่อนตามสายน้ำไปเบื้องหน้า
“ไม่รู้ว่าข้างหน้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชุยอี้จือทอดถอนใจ “มากับท่านพี่ครั้งนี้ช่างได้เปิดประสบการณ์นัก กะแล้วว่าใต้หล้ามีเรื่องประหลาดอยู่เต็มไปหมด ทั้งชีวิตข้าเพิ่งจะได้เห็นพื้นที่แนวป้องกันโดยธรรมชาติเช่นนี้ ไหนจะการสร้างกลไกและเส้นทางลับอันประณีตยอดเยี่ยมนี้อีก ช่างคาดไม่ถึงเหลือเกิน”
ฉินเจิงไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เหม่อมองไปเบื้องหน้า ไม่ตอบอันใดกลับมา
ชุยอี้จือผินหน้ามองฉินเจิงแวบหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าเฟิงหลิงนำพวกเขามาหาเซี่ยฟางหวา ไล่ตามมาตลอดทางจนถึงมาตรงนี้ ยิ่งเป็นสถานที่น่าดึงดูดใจอันเป็นแนวป้องกันโดยธรรมชาติเพียงใด ก็ยิ่งอธิบายได้ว่าคนที่กำลังตามหานั้นไม่ธรรมดา เขารู้สึกได้ว่าถึงแม้ท่านพี่จะหาตัวพบแล้ว แต่เกรงว่าไม่น่าจะมีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน
ทะเลสาบผืนนี้ใหญ่มาก น่านน้ำกว้างขวาง แพไม้ไผ่เคลื่อนตามสายน้ำเชื่องช้า ครึ่งชั่วยามถัดมาก็คลับคล้ายคลับคลาว่ามองเห็นศาลาเรือนไม้บนฝั่ง
“ท่านพี่ รีบดูเร็ว” ชุยอี้จือกระทุ้งศอกใส่ฉินเจิง
ฉินเจิงย่อมมองเห็นก่อนแล้ว พยักหน้ารับเล็กน้อย
ผ่านไปพักใหญ่ แพไม้ไผ่ก็หยุดลงที่ริมท่าน้ำ หมอกหนาคลายลง ถึงเพิ่งมองเห็นภาพบนฝั่งชัดเจน
นี่พอจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่ง เพียงแต่มิได้ชำรุดทรุดโทรมแบบหมู่บ้านทั่วไป ตรงนี้เป็นหอตำหนักอันสง่างามหลายชั้น ทั้งหมดประมาณหลายสิบหลัง หนึ่งในนั้นมีตำหนักหลังหนึ่งที่ใหญ่และสูงที่สุด บนบันไดปรากฏร่างคนผู้หนึ่งยืนอยู่เลือนราง
คนผู้นั้นเป็นสตรี สวมชุดกระโปรงหรูหราสวยงาม เกล้ามวยผมปักปิ่นมุก ยืนอยู่บนหอตำหนักดุจเทพธิดาเป็นสรวงสวรรค์ชั้นเก้า
“เป็นเซี่ยฟางหวาหรือ” ชุยอี้จือกล่าวเสียงต่ำ
“สายตาไม่ดีรึ นางไม่ใช่เซี่ยฟางหวา” ฉินเจิงแค่นเสียงขึ้น
ชุยอี้จือชะงัก พินิจมองให้ละเอียด พบว่านางไม่ใช่เซี่ยฟางหวาจริงๆ แต่เป็นสตรีที่อายุมากกว่าเซี่ยฟางหวา เพียงแต่เมื่อสวมชุดกระโปรงหรูหราสวยงาม ยามมองคราแรกมีบางส่วนคล้ายกับเซี่ยฟางหวาซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงจริงๆ เขาสะกิดฉินเจิง “ท่านพี่ ท่านสายตาดียิ่งนัก สตรีผู้นี้คือใคร ท่านรู้จักหรือไม่”
“เยว่เหนียง แม่เล้าหอเยียนจือที่เมืองผิงหยาง” ฉินเจิงตอบ
“นางเป็นแม่เล้าหอเยียนจือที่เมืองผิงหยางนั่นเอง” ชุยอี้จือพินิจมองอีกครั้ง ก่อนโพล่งขึ้น “ไฉนนางถึงดูคล้ายคนผู้หนึ่ง คล้ายกับ…”
“เยว่ลั่วเป็นน้องชายของนาง” ฉินเจิงบอก
ชุยอี้จือกระจ่างทันที “ข้ากำลังจะพูดว่าไฉนนางถึงหน้าตาคล้ายเยว่ลั่วซึ่งเป็นสายลับประจำกายรัชทายาท ที่แท้เยว่ลั่วเป็นน้องชายนาง” พูดจบ เขาก็แปลกใจ “ไฉนนางถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่า…นางเป็นชาวภูตผี”
“ไม่ใช่” ฉินเจิงส่ายหน้า “นางเป็นคนตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉี มีนามว่าอวี้เยว่เหนียง บิดามารดาของพวกเขาตายไปตั้งนานแล้ว นางกับเยว่ลั่วพลัดพรากจากกันตั้งแต่เด็ก คนหนึ่งได้เซี่ยฟางหวารับไปเลี้ยงข้างกาย อีกคนได้ฉินอวี้รับไปเลี้ยงดู”
“หมายความว่าเซี่ยฟางหวาอยู่ที่นี่จริงๆ” ชุยอี้จือถึงบางอ้อ
ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใดอีก ใบหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใดทั้งนั้น
ชุยอี้จือก็ไม่เอ่ยคำใดอีกเช่นกัน
ทั้งสองขึ้นท่าเรือ เลียบบันไดหินข้างท่าเรือเดินไปยังตำหนักหลังใหญ่ที่สุดตรงนั้น
บรรยากาศในหมู่บ้านเงียบสงัดอย่างยิ่ง หากมิใช่ว่าเยว่เหนียงยืนอยู่บนนั้น ยังคิดว่าไม่มีใครอยู่สักคน
แต่ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึง เยว่เหนียงพลันเหินตัวลงมาจากตัวตำหนัก ยืนขวางทางทั้งสอง ก่อนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ตอนเจ้านายกลับไป บอกว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะมาที่นี่ ให้ข้ารออยู่ตรงนี้ก่อน และท่านก็มาจริงดังคาด บ่าวนับถือแล้ว” พูดจบ นางก็มองไปยังชุยอี้จือ “ท่านนี้คงจะเป็นคุณชายรองจากตระกูลชุยแห่งชิงเหอสินะ รูปงามดังที่ร่ำลือกัน”
ชุยอี้จือพบว่าแม้นางดั่งคุณหนูตระกูลใหญ่ในคราแรก ทว่าเมื่อเห็นใกล้ๆ และได้อ้าปากพูดก็มีแผ่กลิ่นอายนางโลมอย่างที่แม่เล้าควรมี อดไม่ได้ที่จะเหยียดมุมปาก คิดในใจว่าจวนจงหย่งโหวยึดถือในหกคัมภีร์ขงจื๊อที่ตกทอดมา ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่เลี่ยงสถานที่มีราคีเป็นที่สุด ทว่าคุณหนูฟางหวากลับรับนางโลมมาเป็นผู้ช่วย ช่าง…
“นางกลับไปแล้วรึ” ใบหน้าฉินเจิงพลันเคร่งขรึมลง เลิกคิ้วกล่าวเสียงเข้ม
“เจ้านายกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สั่งข้าว่าให้รออยู่ที่นี่ คิดว่านางคงทราบว่าท่านอ๋องน้อยมาตามหานาง เดิมตั้งใจว่าจะออกเดินทางวันนี้ แต่ก็เปลี่ยนแผนเดินทางไปก่อน” เยว่เหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
“นางไปไหน” ฉินเจิงเม้มปาก
“เจ้านายมิได้บอก” เยว่เหนียงส่ายหน้า
ฉินเจิงพลันลงมือ ตวัดกระบี่จ่อลำคอเยว่เหนียงทันที ใบหน้าฉายความเยือกเย็น “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสังหารเจ้าเสียตอนนี้เลยก็ได้”
“ไอ้หยา ท่านอ๋องน้อย ถึงแม้ท่านสังหารข้าตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้ามิกล้าพูดปดต่อหน้าท่านอยู่แล้ว เจ้านายกลับไปเมื่อคืนจริงๆ และสั่งให้ข้ารอท่านอยู่ที่นี่ด้วย เจ้านายทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในท่าน หากท่านไม่เชื่อ บ่าวนำจดหมายให้ท่านอ่านตอนนี้ พอท่านอ่านจบก็เข้าใจเอง” เยว่เหนียงรีบกล่าว
“นำจดหมายมา” ฉินเจิงแค่นหัวเราะแล้วยื่นมือขอ
เยว่เหนียงยื่นจดหมายในมือให้ฉินเจิง
พบว่าจดหมายเป็นกระดาษดอกท้อชั้นดี ด้านบนเขียนอักษรสองตัวว่า ‘ฉินเจิง’ เส้นลายมืองดงาม เป็นลายมือของเซี่ยฟางหวาจริง
ฉินเจิงชักกระบี่กลับมา ยื่นมือเปิดจดหมายออก ทว่าทันทีที่เขาเปิดออกกระดาษจดหมายก็พลันแปรสภาพเป็นสีดำ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นขี้เถ้า
ยามนี้สายลมพัดมา เศษขี้เถ้าลอยกระจัดกระจายไปตามสายลมทันที
ฉินเจิงเอื้อมมือคว้าทว่าไม่เป็นผล กลางฝ่ามือเหลือเศษขี้เถ้าติดอยู่เพียงเล็กน้อย เขาเงยหน้ามอง
เยว่เหนียงทันที
“ท่านอ๋องน้อยเจิง ท่านยังมิได้อ่านจดหมาย เหตุใดถึงต้องทำลายมันด้วย” เยว่เหนียงเองก็ตกใจเช่นกัน ถามด้วยความแปลกใจ
“ข้าทำลายมันรึ” ฉินเจิงหรี่ตาลง
“หรือว่ามิใช่” เยว่เหนียงมองเขาด้วยความสงสัย “แล้วจดหมาย…สลายไปได้อย่างไร”
ฉินเจิงมองนางด้วยแววตาเยือกเย็น
เยว่เหนียงถูกสายตาเขาจับจ้อง อดไม่ได้ที่จะถอยหลังสองก้าว
“ตอนนางออกไปได้พูดอะไรหรือไม่” ฉินเจิงจ้องนางแล้วถามเสียงเย็น
“เจ้านายสั่งให้ข้ารออยู่ที่นี่เพื่อมอบจดหมายฉบับนี้ให้ท่านอ๋องน้อยเจิง มิได้บอกอันใดอีกแล้ว”
เยว่เหนียงครุ่นคิดก่อนตอบ
“ไม่มีเลยสักคำรึ” ฉินเจิงถามย้ำ
“ไม่มี” เยว่เหนียงส่ายหน้า
ฉินเจิงเผยสีหน้าเยือกเย็น ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยโทสะ “นางเห็นข้าเป็นอะไร ทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้เพื่ออยากบอกอะไรกับข้า ความรักกลายเป็นขี้เถ้ารึ ฝันไปเถอะ”
เยว่เหนียงมองเขา ทั้งมองขี้เถ้าในมือเขา แย้งไม่ออกชั่วขณะ
“นางคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าจริงหรือ” ฉินเจิงพลันลงมืออีกครั้ง ครั้งนี้เปี่ยมด้วยจิตสังหารแรงกล้า หมายเอาชีวิตเยว่เหนียงโดยตรง
เยว่เหนียงตกใจจนหน้าถอดสี ทว่ากระบวนท่าดุดันเช่นนี้ของฉินเจิง นางเดิมทีก็หลบไม่พ้น
“ท่านพี่” ชุยอี้จือเองก็ตกใจเช่นกัน รีบตะโกนขึ้น
ภายใต้โทสะที่ปะทุขึ้น ฉินเจิงตัดสินใจแล้วว่าจะสังหารเยว่เหนียง เพราะหมายเอาชีวิตนาง ดังนั้นจึงไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้แม้แต่นิดเดียว ชั่วพริบตากระบี่ก็พุ่งตรงไปเฉือนลำคอของเยว่เหนียง
ท่ามกลางสถานการณ์ล่อแหลม ทันใดนั้นก็มีควันสีอ่อนลอยมาจากด้านข้าง แม้อ่อนนุ่มทว่าขัดขวางกระบี่ของฉินเจิงได้อย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงแผ่วเบาดัง ‘ติ้ง’ ตัวกระบี่ราวกับกระแทกกับโลหะและหิน ฉินเจิงเองก็ถูกความอ่อนนุ่มนั้นทว่าเหมือนแรงดีดของโลหะกระแทกใส่จนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เยว่เหนียงที่รอดชีวิตมาได้ทรุดตัวนั่งกับพื้นก่อนยกมือลูบต้นคอ กระบี่ของฉินเจิงเร็วอย่างยิ่ง เฉือนชั้นผิวหนังบนลำคอนางจนฉีกขาด ทว่ากลับมิได้มีเลือดไหลออกมาทันที กระทั่งนางใช้มือสัมผัส เลือดสดถึงเพิ่งไหลออกมา
เยว่เหนียงเห็นเลือดเปรอะเต็มฝ่ามือก็กรีดร้องเสียงดัง ก่อนเป็นลมหมดสติไป
ชุยอี้จือมองควันสีอ่อนเบาบางทว่าดีดกระบี่ของฉินเจิงออกได้ก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาเห็นกระบี่ของฉินเจิงเปี่ยมด้วยจิตสังหารที่หมายจะฆ่าคนอย่างแรงกล้าได้ชัดเจน เมื่อเห็นเยว่เหนียงหมดสติไป ควันสีอ่อนถูกดึงกลับ เขารีบหันไปมองตามทิศที่ควันถูกดึงกลับทันที
ฉินเจิงเองก็หันกายกลับมาเชื่องช้า มองไปยังทิศทางที่ควันสีอ่อนถูกดึงกลับไปเช่นกัน
*ยามโหย่ว ช่วงเวลา 17:00 น. – 19:00 น.