จารใจรัก - ตอนที่ 86 อันตรายกันทุกคน
รัชทายาทฉินอวี้ติดโรคห่าจนมิอาจจัดการงานบริหารบ้านเมืองได้อีก ท่านหญิงฉินเหลียนช่วย
เซี่ยม่อหานดูแลควบคุมเมืองหลินอันอย่างเข้มงวด
วันแรกผ่านไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
วันที่สอง ขณะเซี่ยม่อหานกำลังหารือกับขุนนางทุกคนในเมืองหลินอันที่โถงประชุมก็พลันล้มหมดสติไปกับพื้น ขุนนางทุกคนพากันตกใจยกใหญ่ ทิงเหยียนรีบตะโกนเรียกเหยียนเฉิน หลังเหยียนเฉินตรวจดูอาการก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที กล่าวว่า ‘เซี่ยม่อหานก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน’
สิ้นเสียง ขุนนางทุกคนก็พากันหวาดกลัว
ในระหว่างที่รัชทายาทติดโรคห่า เมืองหลินอันยังมีท่านโหวเซี่ยที่ทำให้จิตใจของประชาชนสงบมั่นคง ทว่ายามนี้ท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรท่านหญิงเหลียนก็เป็นสตรี เมืองหลินอันเรียกได้ว่าตกอยู่ในวิกฤตอย่างเต็มรูปแบบ
ทุกคนสลับกันมองหน้ากัน ทำอันใดไม่ถูกชั่วขณะ
“ข้าสังเกตเห็นว่าบนหน้าผากของทุกท่านส่วนใหญ่เริ่มขึ้นสีดำแล้ว มีแนวโน้มว่าจะติดโรคห่าแล้วเช่นกัน” ขณะที่ทุกคนกำลังแสดงสีหน้าวิตกกังวล เหยียนเฉินกวาดตามองแล้วเอ่ยขึ้น
เขากล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก ล้วนเผชิญอันตรายกันทุกคน
โถงประชุมตกอยู่ในความโกลาหลทันที
“เซี่ยม่อหานติดโรคห่าด้วยจริงหรือ” ฉินเหลียนทราบข่าวก็รีบวิ่งมา คว้าแขนเหยียนเฉินแล้วรีบถาม
เหยียนเฉินยกมือขึ้นแผ่วเบา ปัดมือนางที่เพิ่งจับชายแขนเสื้อตน ก่อนพยักหน้ายืนยัน
“จนถึงป่านนี้แล้วก็ยังหาสมุนไพรดำม่วงไม่เจอ ประชาชนมากกว่าครึ่งในเมืองล้วนติดโรคห่ากันหมด นี่จะทำเช่นไรดี” ฉินเหลียนเดิมทีไม่รู้สึกหวาดกลัว ทว่าเมื่อได้เห็นคนในเมืองตายไปตลอดสองวันติด เหล่าทหารยกศพไปเผาทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า แม้นางโตมาจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก เห็นอุบายแผนการทั้งในที่เปิดเผยและที่ลับ สังหารคนเพียงแค่ดีดนิ้วมาจนชินชา ทว่าก็ไม่เคยเห็นคนตายเป็นผักปลากับตาแบบนี้มาก่อน จุดไฟเผาศพกองแล้วกองเล่า ภายในระยะเวลาแค่สองวัน แต่มีคนตายไปแล้วหลายพันคน
หากมีแนวโน้มว่ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ทุกคนในเมืองจะติดโรคห่าและตายกันหมด เช่นนั้นก็หมายถึงแสนกว่าชีวิตที่เสียไป หลายครั้งที่นางเกือบทนไม่ไหวอยากเปิดประตูเมืองให้คนที่มิได้ติดโรคห่าออกไป แต่ก็กลัวว่าหนึ่งในนั้นจะมีคนติดโรคห่าแฝงตัวออกไปด้วย หากหลุดออกไปจะก่อหายนะไปทั่วทั้งหนานฉิน
แม้นางโตมาจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก แต่ก้นบึ้งหัวใจและเนื้อแท้ก็ได้รับการถ่ายทอดความอ่อนโยนมีเมตตากรุณาจากพระชายาอิงชินอ๋องผู้เป็นมารดาแท้ๆ มาด้วยเช่นกัน ทำได้เพียงยับยั้งตัวเองสุดชีวิตมิให้บุ่มบ่ามเปิดประตูวังปล่อยคนพวกนั้นออกไป
สองวันมานี้ ขีดความอดทนใกล้จะพังทลายลงทุกที
ยามนี้เห็นเซี่ยม่อหานติดโรคห่าไปด้วยอีกคน ขุนนางในเมืองหลินอันเองก็ติดโรคห่ากันไปแล้วมากกว่าครึ่ง นางสุดจะทนไหวแล้ว
“ยิ่งเป็นเวลาแบบนี้ ท่านหญิงยิ่งควรสุขุมไว้ อย่าได้ทำให้สถานการณ์แย่ลง” เหยียนเฉินบอก “ท่านหญิงคงทราบดีว่าตนเองควรทำสิ่งใดในเวลานี้”
“ข้าควรทำสิ่งใด ตอนนี้ผ่านไปสองวันแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันที่สาม หากยังไม่มีสมุนไพรดำม่วงอีก พี่ฉินอวี้กับเซี่ยม่อหานก็จะตายกันหมด” ฉินเหลียนหน้าซีด พึมพำขึ้น “ทำเช่นไรดี ข้าจะออกไปหาสมุนไพรดำม่วง”
“รัศมีห้าร้อยลี้ล้วนไม่มีสมุนไพรดำม่วง รัชทายาทส่งคนไปมากน้อยเท่าไร จนป่านนี้ยังไม่มีข่าวคราวกลับมา ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ท่านออกไปแล้วจะไปได้ไกลแค่ไหน” เหยียนเฉินกล่าวเสียงเย็น “ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านหญิงออกจากเมืองในยามนี้ ผู้ใดจะดูแลเมืองหลินอัน หากในเมืองเกิดการจลาจล นึกออกหรือไม่ว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไร ท่านหญิงมิใช่คนไม่รู้ความ น่าจะเข้าใจดี”
ฉินเหลียนถอยหลังสองก้าว เอ่ยคำใดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง
เหยียนเฉินมองนางแวบหนึ่ง ตวัดมือเรียกคนมาสองคน ยกเซี่ยม่อหานออกจากโถงประชุม
หลังเหยียนเฉินนำเซี่ยม่อหานออกไป ทุกคนในโถงประชุมมองหน้ากัน เมื่อเห็นคนที่บริเวณหน้าผากขึ้นสีดำก็ต่างตกใจจนตีตัวออกห่าง มีคนถลันออกจากโถงประชุม เมื่อมีคนหนึ่งวิ่งออกไป คนอื่นๆ ก็พากันวิ่งตามออกไปด้วย
“หยุดประเดี๋ยวนี้!” ฉินเหลียนตะโกนเสียงดัง เหยียดแผ่นหลังตรงสง่า ขวางทางเข้าออกโถงประชุมเอาไว้ มองทุกคนภายในห้องโถงแวบหนึ่งแล้วตะโกนขึ้น “ใครก็ได้ เฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว!”
ขุนนางทุกคนตกใจ
“ท่านหญิงเหลียน ท่านจะทำสิ่งใด” มีคนรีบเอ่ยถามขึ้น
“ในเมื่อเหยียนเฉินบอกว่าพวกท่านที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนติดโรคห่าเหมือนกับเซี่ยม่อหาน เช่นนั้นก็จำต้องกักตัวไว้ ห้ามออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด” ฉินเหลียนโบกมือด้วยความร้อนใจ เอ่ยทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินออกไปจากโถงประชุม
ขุนนางทุกคนมองหน้ากัน ล้วนแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย หมายจะฝ่าออกไปข้างนอก
มีผู้คุ้มกันชักกระบี่บริเวณเอวออกมา ขวางหน้าประตูแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งขรึม “ท่านหญิงมีคำสั่ง ผู้ใดก็ตามที่ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียวต้องตาย”
ทุกคนพากันถอยหลังก้าวหนึ่ง
“เราเป็นขุนนางซื่อสัตย์ในเมืองหลินอัน ในเวลาแบบนี้ ท่านหญิงมีสิทธิ์ใดขังพวกเราทุกคนไว้ที่นี่ ในบรรดาพวกเรายังมีคนไม่ได้ติดโรคห่าด้วย” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห
“สิทธิ์ที่พี่ฉินอวี้มอบป้ายคำสั่งให้ข้า” ฉินเหลียนออกไปแล้วย้อนกลับมา หยิบป้ายคำสั่งออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน “ผู้ที่ได้ติดต่อสัมผัสกับคนติดโรคห่า ถึงตอนนี้ยังไม่แสดงอาการ ไม่แน่ว่าจะแสดงอาการในอีกไม่ช้า ดังนั้นพวกท่านจึงออกไปไหนไม่ได้”
ทุกคนเห็นป้ายคำสั่งของรัชทายาทจึงเงียบเสียงโดยพลัน
“หากไม่ใช่ว่าพวกท่านเป็นขุนนางในเมืองหลินอันหากแต่ไร้ความสามารถ กอบกู้อุทกภัยไม่ได้ ป้องกันโรคห่าระบาดก็ไม่ได้ มีหรือทำให้เมืองหลินอันเผชิญกับโรคห่าระบาดจนเข้าขั้นวิกฤตเช่นนี้ ยังส่งผลกระทบไปถึงพี่ฉินอวี้กับท่านโหวเซี่ยด้วย ทางที่ดีพวกท่านควรภาวนาให้มีคนนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาช่วยเมืองหลินอันก่อนตะวันตกดินวันพรุ่งนี้เถอะ มิฉะนั้นไม่ต้องรอจนกว่าพวกท่านแสดงอาการ ขอเพียงพี่ฉินอวี้กับท่านโหวเซี่ยเป็นอะไรไป ข้าจะสังหารพวกท่านที่ไร้ประโยชน์เสียก่อน” ฉินเหลียนแค่นเสียงในลำคอ
ทุกคนตกใจจนพากันถอยหลังไปหลายก้าว มีคนขาแข้งอ่อน ล้มตึงลงไปกองบนพื้น
ฉินเหลียนลั่นวาจาโหดเ**้ยมทิ้งท้าย เมื่อเห็นทุกคนสงบลงแล้วถึงหันหลังออกมา เดินไปยังเรือนพำนักของฉินอวี้
เรือนพำนักของฉินอวี้สงบมาก ไม่มีผู้ใดก่อความวุ่นวายเลยสักคน
“พี่ฉินอวี้เล่า เป็นเช่นไรบ้าง” ฉินเหลียนสาวเท้ามาถึงหน้าประตู รีบถามคนเฝ้าประตูคนหนึ่ง
“รัชทายาทอยู่ในห้อง ไอตลอดเวลา เพิ่งหยุดไปเมื่อครู่นี้ขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบ
ฉินเหลียนพยักหน้า ก้าวเท้าเข้าไปข้างในด้วยความรีบร้อน
“ท่านหญิง รัชทายาทติดโรคห่า สั่งไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้าไปเด็ดขาด” คนผู้นั้นรีบยกมือห้ามนาง
“เซี่ยม่อหานก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ขุนนางเกินครึ่งในเมืองหลินอันก็ติดโรคห่าด้วย และประชาชนเกินครึ่งในเมืองหลินอันก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ยามใดแล้ว ยังห้ามข้าไปทำไมอีก หลังทุกคนติดโรคห่ากันหมด ข้าเองก็หนีไม่พ้น” ฉินเหลียนปัดมือเขาออก “ให้ข้าเข้าไป”
“ไม่มีคำสั่งของรัชทายาท ข้าน้อยมิกล้าให้ท่านเข้าไป” คนผู้นั้นส่ายหน้า ขวางทางอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉินเหลียนโมโห ยกมือผลักอีกครั้ง ทว่าคนผู้นั้นมีวิทยายุทธ์จึงหลบได้อย่างคล่องแคล่ว
“พี่ฉินอวี้ พี่ฉินอวี้ ให้ข้าเข้าไป” ฉินเหลียนทำอันใดเขาไม่ได้ ทำได้เพียงตะโกนขึ้น
นางตะโกนหลายครั้ง ทว่ายังไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน
“เจ้าบอกข้ามา พี่ฉินอวี้ไม่อยู่ใช่หรือไม่” ฉินเหลียนสงสัย คว้าตัวคนผู้นั้นมาถาม
“ข้าอยู่” นางเพิ่งพูดจบ น้ำเสียงแหบแห้งของฉินอวี้ก็ดังขึ้นจากข้างใน
“พี่ฉินอวี้ ให้ข้าเข้าไป” ฉินเหลียนได้ยินเสียงเขาก็รีบกล่าว
ฉินอวี้ไอขึ้นสองครั้ง ก่อนเอ่ยปากถาม “เจ้าจะเข้ามาทำไม มีเรื่องด่วนรึ”
“เซี่ยม่อหานก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ตอนนี้ผ่านไปสองวันแล้ว หากยังไม่มีสมุนไพรดำม่วงจะทำเช่นไรต่อ พี่ฉินอวี้ คนที่ท่านส่งไปตามหาสมุนไพรดำม่วงส่งข่าวกลับมาบ้างหรือไม่” ฉินเหลียนรีบถาม
“ตอนนี้ยัง รอต่อไปอีกหน่อย” ฉินอวี้ตอบ
“รอมาสองวันแล้ว ถ้าต้องรอไปอีกหนึ่งวันคงรักษาชีวิตท่านไว้ไม่ได้แล้ว” ฉินเหลียนลนลานจนใกล้ร้องไห้อยู่รอมร่อ “เซี่ยม่อหานล้มลง ตอนนี้ข้ากักตัวขุนนางทุกคนในเมืองหลินอันไว้ที่โถงประชุม ลำดับต่อไปควรทำเช่นไร ถ้าท่านไม่ให้ข้าไปข้างใน อย่างน้อยก็บอกข้าหน่อยว่าควรทำเช่นไรต่อ”
“รักษาเมืองให้มั่นเหมือนเมื่อสองวันก่อน ห้ามให้ผู้ใดออกไปทั้งนั้น” ฉินอวี้บอก
ฉินเหลียนกำลังจะพูดต่อ หากแต่มีคนวิ่งเข้ามาหาด้วยความรีบร้อน “ท่านหญิง ท่านรีบไปที่ประตูเมืองเถิด มีคนจะออกจากเมือง ตอนนี้กำลังก่อความวุ่นวายที่หน้าประตู ประชาชนหลายคนได้ยินว่าท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน จึงวิ่งไปออกันอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว”
“เซี่ยม่อหานเพิ่งติดโรคห่าแล้วหมดสติไปเมื่อครู่ ไฉนข่าวถึงแพร่ออกไปเร็วนัก” ฉินเหลียนตกใจจนหน้าถอดสี
“มิทราบขอรับ” คนผู้นั้นส่ายหน้า
“ต้องมีคนคอยก่อกวนลับๆ แน่” ฉินเหลียนไม่ดึงดันที่จะเข้าไปหาฉินอวี้อีกแล้ว นางรีบร้อนออกจากเรือน นำคนไปยังประตูเมืองทันที
หลังฉินเหลียนกลับไป ซื่อฮว่ากับผิ่นจู๋ก็เดินออกมาจากห้องของฉินอวี้
คนเฝ้าประตูห้องเห็นทั้งสองก็รีบกล่าวกับผิ่นจู๋ “เจ้าเลียนเสียงขององค์รัชทายาทได้คล้ายยิ่งนัก แม้แต่ข้ายังนึกว่ารัชทายาทอยู่ข้างในจริงๆ”
“หากไม่ใช่คำสั่งของท่านโหวเซี่ย ข้าคงไม่ยอมเลียนเสียงรัชทายาทของเจ้าโดยเด็ดขาด เขาติดโรคห่าอยู่แท้ๆ กลับออกไปข้างนอกได้ ส่วนคนอื่นที่ติดโรคห่ากลับไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมือง ช่างไม่ยุติธรรมเลย” ผิ่นจู๋ถลึงตาใส่คนผู้นั้น
คนผู้นั้นชะงักงัน รีบสวนกลับทันที “รัชทายาทเองก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน ทุกคนข้างกายเขาล้วนถูกส่งไปหาสมุไพรดำม่วง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเขาจะไม่ออกไปด้วยตัวเองได้อย่างไร ข้าเองก็อยากออกไปด้วย แต่รัชทายาทบอกว่าข้าทำไม่ได้หรอก เขาจำต้องไปเอง” พูดพลางก็กลุ้มใจขึ้นมา “เดิมรัชทายาทติดโรคห่า ยังออกจากเมืองไปเพียงลำพัง หายไปตั้งครึ่งวันแล้ว อย่าได้เกิดเรื่องใดขึ้นเลย”
ผิ่นจู๋ได้ยินแล้วก็ตระหนักได้ว่าเป็นฉินอวี้ไม่ง่าย แต่ยังคงแค่นเสียงเย็น “รัชทายาทของเจ้าไร้ความสามารถ มาถึงเมืองหลินอันตั้งนานแล้ว กลับทำให้เมืองตกอยู่ในวิกฤตเช่นนี้ได้ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหลายปีมานี้ที่เขากับท่านอ๋องน้อยเจิงต่อสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังนั้นเสมอกันได้อย่างไร ข้าว่าความสามารถเขาเทียบท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ได้”
คนผู้นั้นฟังแล้วก็เกิดโทสะทันที “รัชทายาทเดินทางขุดลอกคูคลอง ช่วยชีวิตราษฎรไปมากน้อยเท่าไรแล้ว เมืองหลินอันถูกคนมีอำนาจเบื้องหลังวางแผนลับมิใช่หรือ เดิมทีรัชทายาทนำคนมาด้วยน้อยอยู่แล้ว เรียกได้ว่าหนึ่งคนยากจะรับศัตรูจำนวนมากไหนเลยจะบอกว่าเขาไร้ความสามารถ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นอีก “อย่าลืมว่าคุณหนูของเจ้ากับท่านอ๋องน้อยเจิงแยกทางกันแล้วด้วยพระราชโองการหย่าร้าง เจ้ายังเอาแต่เอ่ยถึงความดีงามของท่านอ๋องน้อยอีกทำไม แม้เจ้าพูดถึงแต่ข้อดีเขาก็ไม่ได้ยินหรอก ตอนนี้ไม่แน่ว่าเสพสุขอยู่ที่ใดแล้ว”
ผิ่นจู๋ได้ยินแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้า “มิน่ารัชทายาทถึงออกไปทั้งยังติดโรคห่า ทิ้งเจ้าซึ่งเป็นผู้คุ้มกันตัวเล็กๆ กับเด็กรับใช้เอาไว้เพียงลำพัง ที่แท้เจ้าก็ไร้ประโยชน์นั่นเอง ดีแต่พูด สมควรแล้วที่ทำได้แค่เฝ้าประตู”
“เจ้า…” คนผู้นั้นโมโหจนตาถลน
“พอแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว ยามใดแล้วยังเถียงกันขนาดนี้อีก” ซื่อฮว่ารีบห้ามทั้งสอง ก่อนเอ่ยถามองครักษ์คนนั้น “ข้าถามเจ้าหน่อย ท่านโหวเซี่ยติดโรคห่าจริงหรือ ตอนเที่ยงมิใช่ว่ายังดีอยู่เลยหรือ”
คนผู้นั้นหยุดทะเลาะก่อนส่ายหน้าตอบ “ท่านหญิงเหลียนบอกว่าติดโรคห่า ข้าเฝ้าตรงนี้ตลอดเวลาไหนเลยจะรู้ได้ พวกเจ้ารีบไปถามคุณชายเหยียนเฉินเถอะ ท่านโหวเซี่ยติดโรคห่าหรือไม่ เขาเป็นหมอเทวดา ทราบดีที่สุด”
ซื่อฮว่าพยักหน้า ยื่นมือดึงผิ่นจู๋ไปด้วย ทั้งสองรีบเดินไปยังเรือนของเซี่ยม่อหานด้วยกัน