จารใจรัก - ตอนที่ 92-2 การดักซุ่มของฟางหวา
ครึ่งชั่วยามถัดมา นอกช่องแคบก็มีการเคลื่อนไหว
ฉินอวี้หันไปมองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาก็หันไปมองเช่นกัน พลางพยักหน้าให้เขา
ทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหว หยิบธนูและลูกธนูขึ้นมา ตั้งท่วงท่าง้างคันธนูอย่างสุดแรง
ไม่นานก็มีคนถลันเข้ามาในช่องแคบ
เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตาโต เห็นเพียงเงาดำเลือนรางร่างหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำตลอดร่าง เขารอเซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ปล่อยลูกธนูออกไป ทว่าทั้งสองกลับไม่ขยับมือจึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ แต่ชั่วพริบตาก็ฉุกคิดได้ว่า ผู้ที่เข้ามาก่อนย่อมเป็นเหยียนเฉินแน่นอน ดังนั้นทั้งสองจึงมั่นใจไม่ปล่อยลูกธนูออกไป แต่เมื่อทบทวนอีกครั้งก็คิดว่าไม่ถูกต้อง เขากับเหยียนเฉินล้วนเข้ามาคนเดียวเหมือนกัน จากตำแหน่งสูงเช่นนี้มองลงไปน่าจะเห็นเพียงเงาคน มองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด แล้วเหตุใดเขาจึงถูกธนูยิงใส่จนเกือบเสียแขนข้างหนึ่งไป แต่เหยียนเฉินกลับไม่ถูกยิง เดิมอยากถามเหตุผล แต่เมื่อหันไปเห็นว่าทั้งสองกำลังมีสมาธิจดจ่อจึงไม่อยากรบกวน ทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไปก่อน
หลังเงาร่างนั้นเข้ามาในช่องแคบและเดินมาได้ราวสิบกว่าก้าวก็ผิวปากขึ้นเสียงเบา
เสียงผิวปากนี้มีทักษะเฉพาะตัว นึกไม่ถึงว่าจะแกะเสียงฟังออกว่าเรียกชื่อฟางหวา
เมื่อเสียงผิวปากจบลง ก็มีเสียงผิวปากตอบกลับมาในระยะหลายสิบหมี่ ใช้ทักษะเฉพาะแบบเดียวกันตอบกลับว่าเหยียนเฉิน
เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง มองไปยังบริเวณหลายสิบหมี่จากในช่องแคบ
เหยียนเฉินได้ยินเสียงผิวปากตอบก็คล้ายดีใจ เดินไปยังบริเวณหลายสิบหมี่ข้างใน
เขาเพิ่งก้าวขาเดินเข้าไปข้างในได้ไม่นาน ปากทางเข้าช่องแคบพลันมีกลุ่มบุรุษชุดดำบุกเข้ามา ทันทีที่บุรุษชุดดำกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้นที่ปากทางเข้าช่องแคบก็แผ่กลิ่นอายเยือกเย็น ท่ามกลางความมืดมิดตอนกลางคืน ทำเอาภายในช่องแคบที่เดิมทีมืดอยู่แล้วก็ยิ่งมืดมิดกว่าเดิมหลายส่วน ราวกับมาจากขุมนรกก็มิปาน
บุรุษชุดดำกลุ่มแรกมีจำนวนราวสิบกว่าคน แต่ละคนมีลมปราณสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหมด
ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวามองหน้ากัน ต่างไม่ลงมือเคลื่อนไหว
เซี่ยอวิ๋นจี้เดิมเป็นคนฉลาดจึงเดาออกได้เช่นกัน สิบกว่าคนที่เข้ามาก่อนเกรงว่าจะเป็นสายลับเดนตายธรรมดาที่เป็นแนวหน้า เพราะมีลมปราณในระดับสม่ำเสมอ ในกลุ่มคนพวกนี้ไม่น่าจะมีปรมาจารย์แฝงตัวอยู่ ลมปราณของปรมาจารย์นั้นน่าจะไม่เหมือนคนทั่วไป
หลังคนกลุ่มแรกเข้ามาก็มองรอบกาย จากนั้นก็มีผู้นำยกมือให้สัญญาณ มุ่งตรงเข้าไปในช่องแคบ
สิบกว่าคนที่เข้ามาในช่องแคบ นึกไม่ถึงว่าจะก้าวเดินได้เงียบเชียบ มีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
หลังกลุ่มแรกเข้าไปได้พักหนึ่งก็มีกลุ่มที่สองปรากฏตัวขึ้นหน้าปากทางเข้าช่องแคบ กลุ่มนี้ทั้งหมดคล้ายไม่มีตัวตน ในนั้นมีลมปราณนิ่งเงียบแต่ทรงพลังอยู่คนหนึ่ง เหนือกว่าคนอื่นๆ ที่มาด้วยกัน
ตัดสินจากลมปราณ คนผู้นี้เป็นปรมาจารย์คนหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
เซี่ยอวิ๋นจี้ลอบสูดหายใจเข้า กักลมหายใจครึ่งหนึ่งไม่กล้าปล่อยออกมา คิดในใจว่าปรมาจารย์สายลับที่ร่ำลือกันนั้นร้ายกาจจริงดังคาด แค่ลมปราณก็กดดันคนอื่นได้ถึงขนาดนี้ ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา เกรงว่าถึงมีสองคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์สายลับคนนี้
ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวามองหน้ากันอีกครั้ง เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ฉินอวี้พยักหน้ารับ
ทั้งสองยังไม่มีใครลงมือเช่นเดิม
เซี่ยอวิ๋นจี้เดาว่าในเมื่อไม่มีใครลงมือ แสดงว่ายังรอคนอื่นอยู่
ไม่ผิดจากที่เดาไว้ หลังกลุ่มที่สองเข้าไปข้างในก็มีกลุ่มที่สามปรากฏตัวขึ้นหน้าปากถ้ำ กลุ่มนี้มีกันเพียงสามคน ทว่าลมปราณของสามคนนี้ล้วนทรงพลังอย่างยิ่ง สามปรากฏตัวขึ้นพร้อมด้วยลมปราณทมิฬดุจเมฆครึ้มปกคลุม ราวกับจะปิดตายช่องแคบแห่งนี้ทั้งหมด ลมปราณทมิฬแผ่ขยายออกมา
เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจจนเบิกตาค้าง ไม่ต้องกลั้นหายใจก็เหมือนลืมวิธีการหายใจไปแล้ว
หลังสามคนนั้นมาถึงก็ยืนเรียงหน้าปากทางเข้าช่องแคบ มิได้รีบเข้ามาเหมือนอย่างสองกลุ่มแรก ทว่ากวาดตามองโดยรอบ ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยลมปราณทั่วสารทิศ ปกคลุมไปทั่วหน้าผาทั้งสองแห่ง
“แย่แล้ว พวกเข้าใช้ปราณแท้ค้นหา หากปราณแท้ปกคลุมถึงตัวเรา จะต้องถูกจับได้แน่นอน” ฉินอวี้พลันใช้วิธีการสื่อสารทางลับบอกเซี่ยฟางหวากับเซี่ยอวิ๋นจี้
“วางใจเถอะ ไม่ปล่อยให้พวกเขาหาตัวเจอแน่” เซี่ยฟางหวาตอบกลับผ่านวิธีลับ ยกมือขึ้นแผ่วเบา ควันสีอ่อนผุดออกมาจากข้อมือนาง ชั่วพริบตาก็แปรสภาพเป็นตาข่ายถี่ยิบ ล้อมศิลาก้อนใหญ่กับตัวนาง รวมถึงฉินอวี้และเซี่ยอวิ๋นจี้ไว้ภายในตาข่ายไร้รูปร่าง
นางเพิ่งกางม่านป้องกันเสร็จ พลังภายในของสามปรมาจารย์ก็ดั่งมรสุมจากขุมนรก พัดนำความมืดมิดไร้ขอบเขต ชั่วพริบตาก็ปกคลุมจนทั่ว
ลมปราณทมิฬกดทับตาข่ายถี่ เพียงพริบตาก็ขยายไปถึงยอดหน้าผาทั้งสองข้าง
เซี่ยอวิ๋นจี้มองเบื้องหน้าด้วยความใคร่รู้ ระหว่างที่ถูกตาข่ายล้อมเขารู้สึกถึงความอบอุ่นดั่งวสันต์ สบายกายเป็นอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะกะพริบตามอง อ้าปากอยากเอ่ยถามเซี่ยฟางหวาว่าใช้พลังภายในรูปแบบใด ทว่าทราบดีว่าไม่ใช่เวลา จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ก่อน
ฉินอวี้มองตาข่ายถี่รอบกายที่บางและละเอียดอย่างยิ่ง ระหว่างที่ปราณแท้ทมิฬกดทับครอบคลุม ตาข่ายถี่หาได้ขยับเขยื้อนไม่ เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นดั่งวสันต์ที่ชวนสบายกายเช่นกัน แรกเริ่มก็ประหลาดใจ แต่สักพักต่อมาก็เข้าใจ
วิชาพลังภายในที่แตกต่างเช่นนี้ มีเพียงเคล็ดวิชาลับของเผ่าภูตผีเท่านั้นถึงจะทำการคุ้มกันและแผ่คลุมโดยไม่ส่งเสียงได้ ถึงแม้เป็นปรมาจารย์สายลับที่ฝึกฝนวิชานอกรีตด้านมืดมาตั้งแต่เด็ก ทั้งใช้ปราณแท้อันแข็งแกร่ง แต่ก็ยากจะค้นพบลมปราณผู้อื่นด้วยเช่นกัน
เซี่ยฟางหวามองทั้งสามหน้าทางเข้าช่องแคบเงียบๆ ใบหน้าเย็นชาท่ามกลางความมืดมิดที่กดทับอยู่
ผ่านไปพักใหญ่ ปราณแท้ของสามปรมาจารย์ก็ทำการค้นหาหน้าผาทั้งสองข้างและอาณาเขตหนึ่งลี้ นอกจากการเคลื่อนไหวและลมปราณของสองกลุ่มก่อนหน้านี้ในบริเวณครึ่งลี้เบื้องหน้า ก็ไม่พบสิ่งอื่นอีกเลย
ทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนเดินเข้ามาในช่องแคบพร้อมกัน
เซี่ยฟางหวานับในใจ หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…
สามปรมาจารย์มีพลังภายในอันทรงพลัง เพียงหนึ่งก้าวเสมือนสี่ห้าก้าวของคนทั่วไป
หลังรอให้พวกเขาเดินเข้ามาข้างในสามก้าว เซี่ยฟางหวาพลันคลายเกราะวิชาลับ หันไปมองฉินอวี้
ในเวลานี้ฉินอวี้ก็พยักหน้าให้นางเช่นกัน
ทั้งสองง้างคันธนูเต็มเหนี่ยว ลูกธนูสามดอกบนหนึ่งคันธนูถูกปล่อยออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน
ทั้งสองล้วนเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยม ดังนั้นระหว่างที่ยิงธนูออกไปจึงเงียบไร้ซุ่มเสียง ดุดันรุนแรงกว่าตอนที่ฉินอวี้ยิงธนูใส่เซี่ยอวิ๋นจี้ก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว
เซี่ยอวิ๋นจี้มองธนูสามดอกที่ทั้งสองยิงออกไปพร้อมกัน จึงทราบว่าก่อนหน้านี้ที่ฉินอวี้บอกว่าใช้พลังภายในครบสิบส่วนแล้ว แท้จริงใช้แค่เพียงเจ็ดแปดส่วนเท่านั้น มิฉะนั้นด้วยความที่เขาไม่มีวิทยายุทธ์มากเหมือนสามปรมาจารย์ อย่าว่าแต่จะเบี่ยงหน้าอกหลบแล้วถูกยิงเข้าตรงข้อมือเลย เดิมทีกระทำไม่ได้ ต้องตายในธนูดอกเดียวแน่นอน