จารใจรัก - ตอนที่ 93 การสังหารที่ช่องแคบ
เซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ยิงธนูสามดอกต่อเนื่อง หลังยิงออกไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นจี้ก็ไม่มัวพะวงคอยจะชื่นชมทักษะการยิงธนูของทั้งสอง หากแต่รีบส่งลูกธนูให้
ทั้งสองง้างคันธนูยิงออกไปด้วยความคล่องแคล่วอีกครั้ง
“แย่แล้ว มีการดักซุ่ม!” ปรมาจารย์ท่านหนึ่งตะโกนขึ้น
ปรมาจารย์อีกสองท่านที่เหลือก็สังเกตเห็นลูกธนูที่ถูกยิงมาแล้วเช่นกัน
ลูกธนูไร้เสียงขณะอยู่ห่างไกล พอเข้าใกล้ถึงทำให้พวกเขารู้สึกตัว อีกอย่างลูกธนูทั้งหกดอกก็ดุดันรุนแรงอย่างมาก
ทั้งสามรีบใช้พลังภายในสร้างเกราะป้องกันปกคลุมรอบกาย ทว่าเจ้าของลูกธนูอัดพลังภายในใส่ลูกธนูอย่างเห็นได้ชัด ธนูหกดอกทะลวงฝ่าเกราะป้องกัน มุ่งโจมตีทำร้ายพวกเขาโดยตรง
ทั้งสามตกใจจนหน้าถอดสีก่อนถอยหลังหนีหลายจั้ง สมกับเป็นปรมาจารย์ ย่อมหลบธนูหกดอกได้อย่างปลอดภัย
ทว่าถึงแม้หลบลูกธนูหกดอกได้ แต่ก็มิทันระวังกลไกอื่น หนึ่งในลูกธนูที่เซี่ยฟางหวายิงออกไปยิงโดนกลไกที่ติดตั้งไว้บนพื้น เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ดินปืนที่ถูกฝังใต้ดินถูกลูกธนูยิงจนระเบิดขึ้นมา
ทั้งสามติดอยู่ใจกลางดินปืนพอดี
เวลานี้ ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาก็ยิงธนูระลอกที่สองใส่ทั้งสามคนอย่างเต็มแรง
ได้ยินเพียงเสียง ‘สวบสวบ’ ของลูกธนูที่ยิงโดนเนื้อผ้าและผิวหนังดังออกมา ครั้งนี้ยิงโดนตัวคนแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจี้ดีใจ รีบส่งลูกธนูให้ทั้งสองเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ทั้งสองไม่เว้นจังหวะให้ปรมาจารย์ด้านล่างหอบหายใจ โจมตียิงธนูระลอกสามซ้ำอีกครั้ง
“ผู้ใดกัน!” ปรมาจารย์ตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาลดั่งปีศาจร้าย
เซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ต่างไม่พูดจา เซี่ยอวิ๋นจี้เองก็ไม่พูดจาเช่นกัน หลังเห็นทั้งสองยิงธนูโจมตีระลอกสามเสร็จแล้วก็ส่งลูกธนูให้เพิ่มอีก
“บนหน้าผาด้านซ้าย!” ปรมาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างโมโห
“ขึ้นไปข้างบนกัน!” ปรมาจารย์อีกท่านบอก
พูดจบ เงาคนสองร่างก็ดีดตัวแหวกอากาศฝ่าม่านควันโขมงของดินปืนระเบิดขึ้นมา ตรงมายังที่ซ่อนตัวของทั้งสามบนหน้าผาด้านซ้าย พร้อมด้วยกระบี่สองเล่มที่เต็มไปด้วยจิตสังหารมหาศาล
ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวายิงธนูในมือออกไปอีกครั้ง
เนื่องด้วยลูกธนูหกดอกรวมเข้าด้วยกัน เงาร่างของสองผู้นั้นที่เหินกายขึ้นมายากจะหลบพ้น ดังนั้นจึงตวัดกระบี่โดยพร้อมเพรียงกัน ใช้พลังภายในกระแทกลูกธนูพวกนั้นออกไป
เห็นเพียงสะเก็ดไฟจากลูกธนูปะทะกับกระบี่ เกิดเสียงแสบแก้วหูดังขึ้น
อย่างไรปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์ สมกับคำร่ำลือ หากเป็นคนธรรมดาอย่าว่าแต่ลูกธนูหกดอกเลย ต่อให้ลูกธนูแค่ดอกเดียวก็ยากจะต้านทานได้ ทว่าสองท่านนี้หาได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ภายใต้การตวัดกระบี่ที่รวมพลังกัน สามารถต้านทานลูกธนูหกดอกที่พุ่งมาด้วยความรุนแรงได้ ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
เซี่ยฟางหวากับฉินอวี้เผยสีหน้าเคร่งขรึมทันที
เซี่ยอวิ๋นจี้ตื่นตระหนกขึ้นมา ด้วยพลังแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าแรงระเบิดจากดินปืนเมื่อครู่มิได้สร้างความบาดเจ็บให้สองท่านนี้เลย น่าจะโดนเพียงปรมาจารย์ท่านหนึ่งข้างล่าง หากสองท่านนี้ขึ้นมาได้ ด้วยวิชานอกรีตอันทรงพลังแกร่งกล้าเช่นนี้ ถึงพวกเขาสามคนร่วมกันต่อสู้ก็ไม่แน่ว่าเป็นคู่ต่อสู้ได้
ขณะที่เขากำลังไตร่ตรอง เซี่ยฟางหวาพลันส่งคันธนูมาให้เขา “ท่านมาแทน”
“ข้า เจ้าไม่ใช่ว่า…” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงัก ก่อนหน้านี้นางมิได้ยังบอกว่าห้ามเขาสอดมือ มีหน้าที่ส่งลูกธนูให้อย่างเดียวหรือ ไฉนตอนนี้ถึงส่งคันธนูมาให้ตนได้
“ข้าจะปิดล้อมพวกเขาไว้ เจ้าสองคนฉวยโอกาสนั้นยิงธนูใส่ มิฉะนั้นหากพวกเขาขึ้นมาได้ เราคงไม่ใช่คู่ต่อสู้” เซี่ยฟางหวาตัดสินใจเร่งด่วน พลิกฝ่ามือทั้งสองข้าง ควันสีดำอ่อนแล่นออกมาจากกลางฝ่ามือ ชั่วพริบตาก็มุ่งไปหาปรมาจารย์สองท่านนั้น
“ได้” ฉินอวี้เข้าใจทันที ผงกศีรษะรับ
เซี่ยอวิ๋นจี้แม้มิทราบว่าเซี่ยฟางหวาจะล้อมสองท่านนั้นอย่างไร แต่ก็คิดว่านางคงใช้วิธีเดียวกับตอนที่หลบปราณแท้ของสามปรมาจารย์เมื่อครู่ เขารีบรับลูกธนูมา ง้างคันธนูรอจังหวะ
ควันสีดำของเซี่ยฟางหวารวมเข้าด้วยกันกลายเป็นตาข่ายไร้รูปร่าง ล้อมสองปรมาจารย์ไว้ในนั้น
ร่างกายของสองปรมาจารย์หยุดชะงักทันที ขยับเขยื้อนมิได้ แสดงท่าทีตื่นตระหนกโดยพร้อมกัน
“ยิงธนู!” เซี่ยฟางหวาตะโกนเสียงต่ำ
เซี่ยอวิ๋นจี้ดีใจ ยิงลูกธนูสามดอกออกไปดัง ‘สวบ’
ลูกธนูของฉินอวี้พุ่งออกไปทีหลัง โจมตีโดนสองปรมาจารย์อย่างแม่นยำเช่นกัน
ขณะที่ลูกธนูใกล้จะปะทะกับตาข่ายถี่ที่เซี่ยฟางหวาถักทอขึ้น นางพลันคลายตาข่ายลงอย่างรวดเร็ว เสียง ‘สวบสวบ’ ของลูกธนูที่แทงทะลุเนื้อผ้าดังขึ้น สองปรมาจารย์ต้านไม่ทัน ถูกธนูยิงเข้า ร่วงตกลงไปข้างล่างโดยพร้อมเพรียง
“ดีมาก” เซี่ยอวิ๋นจี้อุทานขึ้น “เยี่ยม”
เสียงกระแทก ‘ตุบตุบ’ ดังขึ้น สองคนนั้นตกลงบนพื้นในช่องแคบพร้อมกัน
ภายในช่องแคบ นอกจากกลิ่นดินปืนและเลือดคาวคลุ้ง ยังมีควันดินตลบนับไม่ถ้วน
“น่าจะตายแล้วกระมัง” เซี่ยอวิ๋นจี้ขยับตัว หันไปถามเซี่ยฟางหวา “เราลงไปดูไหม”
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า กล่าวบอกฉินอวี้ “ปลอดภัยไว้ก่อน เปิดกลไกที่ยังปิดอยู่ให้หมด”
ฉินอวี้ผงกศีรษะ “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นถึงปรมาจารย์ ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป” พูดจบ เขาก็ยิงธนูที่เหลืออีกดอกไปยังตำแหน่งหนึ่ง
ทันทีที่ลูกธนูถูกยิงออกไป เสียงแกรกดังติดต่อกัน ตามมาด้วยเสียงระเบิด ‘ปังปังปัง’ ดังขึ้นต่อเนื่อง
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นจากตำแหน่งไม่ไกลกันนัก
หลังเสียงระเบิดต่อเนื่องจบลง เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น “ลงไปกันเถอะ”
ฉินอวี้กับเซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้าพร้อมกัน
เซี่ยฟางหวานำมุกราตรีออกมา ทั้งสามลงจากหน้าผาหลายสิบหมี่มาถึงช่องแคบเบื้องล่าง
พบศพบุรุษชุดดำแยกชิ้นส่วนสองศพกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทั้งหมดถูกธนูยิงเข้าใส่สองดอก ทั้งถูกดินปืนอัดกระแทก ศพแรกเสียแขนไปข้างหนึ่ง อีกศพเสียขาไปหนึ่งข้าง
เซี่ยอวิ๋นจี้อุทาน “เอ๋” ก่อนกล่าวต่อ “ไฉนถึงตายไปแค่สองคน อีกคนหนึ่งเล่า”
เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
ฉินอวี้นำมุกราตรีออกมาสอดส่องให้ทั่วรอบหนึ่ง เม้มปากเอ่ยขึ้น “เกรงว่าอีกคนจะอาศัยจังหวะหนีออกไปจากช่องแคบแล้ว หลุดรอดไปได้”
“หนีออกไปแล้ว?” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย “เราจับตามองตลอดเวลา ไฉนถึงหนีไปได้”
“ตอนยิงเปิดกลไกก่อนหน้านี้ ดินปืนระเบิดแตกเป็นเสี่ยง หนึ่งในนั้นน่าจะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นสองปรมาจารย์ที่เหลือจึงพบที่ซ่อนตัวของเรา หมายจะลงมือโต้ตอบ ต่อมาถูกฟางหวาปิดล้อมไว้ เรายิงธนูใส่จนพวกเขาเสียหลักตกลงมา และถูกกลไกโจมตีซ้ำอีกหน” ฉินอวี้มองสองศพไม่สมบูรณ์บนพื้น “สองคนนี้น่าจะเป็นคนที่เรายิงธนูใส่ตอนหลัง ส่วนอีกคนแม้ได้รับบาดเจ็บ แต่น่าจะฉวยโอกาสหนีออกไปจากช่องแคบแล้ว”
“เจ็บหนักอยู่แท้ๆ ถึงหนีออกไปก็ไปได้ไม่ไกล” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ตามไปเถอะ”
“ไม่ต้องตามหรอก คนที่หนีออกไปถึงไม่ตายก็เกือบตาย แต่สองกลุ่มแรกที่เราปล่อยให้เข้าไปข้างใน แม้เตรียมการไว้แล้ว แต่เหยียนเฉินคนเดียวเกรงว่าจะรับมือไม่ไหว อย่างไรเหยียนเฉินก็สำคัญกว่า” เซี่ยฟางหวาพูดพลางก็เดินเข้าไปข้างใน
เซี่ยอวิ๋นจี้ทราบดีว่าเหยียนเฉินมีความสำคัญต่อเซี่ยฟางหวาจึงพยักหน้ารับ ย่อกายลงกระชากผ้าคลุมหน้าสองศพนั้น มองแวบหนึ่งแล้วพึมพำขึ้น “นึกว่าจะเป็นปีศาจลิ้นยาว ไม่นึกเลยว่าจะมีหน้าตาเหมือนคนทั่วไปเช่นนี้ ไม่รู้ว่าไปฝึกฝนจนมีวิชานอกรีตอันร้ายกาจได้อย่างไร รุนแรงเสียจนเหมือนวิญญาณร้ายปรากฏกายอย่างไรอย่างนั้น”
ฉินอวี้ไม่มีความเห็นกับการไม่ไล่ตามคนที่หนีไปหรือไปช่วยเหยียนเฉิน แต่เมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นจี้กระชากผ้าคลุมหน้าออก เขาก็มองแวบหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ปรมาจารย์สายลับย่อมมีพลังภายในร้ายกาจ แต่ฟังว่าผู้ฝึกวิชานี้สวนทางกับความถูกต้องของโลก ถูกเรียกว่าศาสตร์มืด ใช้ลมปราณกดดันผู้อื่น ใช้พลังทำร้ายผู้คน ผู้ที่ฝึกสำเร็จสามารถทำลายต้นไม้ใบหญ้ามิให้เจริญเติบโตได้ในระยะสิบลี้”
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้” เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง
“วันนี้ข้าก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน เพียงแต่สายลับที่มาจากราชสำนักหนานฉิน ข้าก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น” ฉินอวี้ผงกศีรษะ
“หายนะระดับนี้ ราชสำนักยังเก็บไว้ทำไมกัน ควรกำจัดพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ยิ่งตายเร็วก็ยิ่งได้ไปผุดไปเกิดเร็ว จะได้ไม่ต้องออกมาทำร้ายผู้อื่น” เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก
“สายลับเลี้ยงมาไม่ง่าย ทำลายทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา
เซี่ยอวิ๋นจี้เติบโตมาในหนานฉิน ย่อมทราบสถานการณ์ที่ผ่านมาของหนานฉินเช่นกันจึงไม่กล่าวต่อ หากแต่รีบย่ำเท้าไปหาเซี่ยฟางหวา ขยับเข้าใกล้นาง “ฟางหวา เมื่อครู่เจ้าใช้พลังภายในอะไร นึกไม่ถึงว่าแค่ครู่เดียวก็ล้อมปีศาจร้ายสองคนนั้นได้แล้ว”
“เคล็ดวิชาเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวาตอบ
“เคล็ดวิชา…เผ่าภูตผี” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงักงัน
“ท่านฟังไม่ผิด อย่ามัวไร้สาระเลย รีบไปกันเถอะ ข้าได้ยินเสียงต่อสู้มาจากทางนั้น เหยียนเฉินจะเป็นอะไรไปไม่ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ายืนยัน
เซี่ยอวิ๋นจี้ยังอยากถามอีกว่านางเรียนเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีมาตั้งแต่เมื่อไร ทำได้เพียงเงียบลง แล้วเร่งฝีเท้าตามนางไปข้างหน้า
ทั้งสามเดินไปราวสี่สิบถึงห้าสิบก้าว พลันได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากข้างหน้า
เซี่ยฟางหวาหยิบมุกราตรีขึ้นมาส่อง พบว่าเบื้องหน้าไร้ความเป็นระเบียบ พื้นดินถูกดินปืนระเบิดจนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ ศพจำนวนมากนอนระเกะระกะ มีทั้งแขนหักและขาหัก ลูกธนูและกระบี่หล่นเกลื่อนกลาด แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือดมากเพียงใด ผู้ที่บาดเจ็บล้มตายล้วนเป็นบุรุษชุดดำสองกลุ่มนั้นที่พวกเซี่ยฟางหวาปล่อยเข้ามา
ในเหตุการณ์ชุลมุนนั้น เหยียนเฉินกำลังต่อสู้กับบุรุษชุดดำคนหนึ่ง คนผู้นั้นมีลมปราณทมิฬแข็งแกร่งมาก เหยียนเฉินได้รับบาดเจ็บไปบ้างแล้ว และแผ่นหลังของบุรุษชุดดำคนนั้นก็คล้ายกับได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เหยียนเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าชัดเจน
พอทั้งสามเข้ามาใกล้ บุรุษชุดดำผู้นั้นก็สังเกตเห็นได้ทันที เขามีสีหน้าเปลี่ยนไป พลันแสร้งออกกระบวนท่าเพื่อคิดหลบหนี
เซี่ยฟางหวาไหนเลยจะปล่อยให้เขาหนีไปได้ ควันสีดำแล่นออกจากฝ่ามือในชั่วพริบตา ตรงไปล้อมและกักขังเขาเอาไว้ในตาข่ายถี่ เหยียนเฉินเห็นเซี่ยฟางหวามาแล้วก็ดีดกายพุ่งไปข้างหน้า ประชิดตัวผู้นั้น ใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจจากข้างหลังทันที
เซี่ยฟางหวาเรียกควันสีดำกลับมา เหยียนเฉินแทงหัวใจคนผู้นั้นจากข้างหลังในกระบี่เดียว คนผู้นั้นล้มลงกับพื้นเสียงดังสะเทือน
เหยียนเฉินดึงกระบี่ออกมาแล้วแทงซ้ำอีกครั้งบนตำแหน่งกดจุด คนผู้นั้นถีบเท้ากลางอากาศทุรนทุรายครู่หนึ่ง ก่อนหมดลมหายใจไป
เซี่ยอวิ๋นจี้ก้าวขึ้นมากระชากผ้าคลุมหน้าคนผู้นั้น ก่อนโยนทิ้งทันทีด้วยความขยะแขยง “วิชานอกรีตร้ายกาจเพียงนี้ เจ้าของร่างกลับไม่น่าชมแม้แต่นิดเดียว ท่าทางแข็งทื่อเหมือนปลาตาย แปดเปื้อนลูกตาข้านัก”
พูดจบเขาก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “น้องฟางหวา เจ้ามีวิชาร้ายกาจถึงเพียงนี้ สังหารคนพวกนี้ไหนเลยต้องใช้พวกเราอีก เจ้าทำเองคนเดียวก็ได้กระมัง หากรู้ไวกว่านี้ข้ารอชมคงดีกว่า ทำข้าตื่นตระหนกเสียเปล่า”
เขาเพิ่งพูดจบ เซี่ยฟางหวาก็พลันตัวอ่อน ทรุดลงไปกับพื้น
ฉินอวี้ที่อยู่ใกล้นางที่สุดรีบประคองรับตัวนางไว้ เห็นว่านางหมดสติก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
เซี่ยอวิ๋นจี้นิ่งค้าง ก่อนรีบเดินเข้ามาหา “ฟางหวาเป็นอะไร”
เหยียนเฉินเก็บกระบี่แล้วเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือตรวจชีพจรให้เซี่ยฟางหวา
ฉินอวี้กับเซี่ยอวิ๋นจี้มองเขา
ผ่านไปพักหนึ่งเหยียนเฉินก็เอ่ยขึ้น “ท้องของนางถูกสูบจนกลวง ลมปราณชี่กับเลือดบางเหมือนเส้นไหม บาดเจ็บหนักมาก”
“ร้ายแรงหรือไม่” ฉินอวี้รีบถาม
“นางน่าจะใช้เคล็ดวิชาเผ่าภูตผีต่อเนื่องกัน เพราะใช้มากจนเกินไปทำให้หัวใจเสียหายอย่างหนัก ข้าจะให้นางกินยาลูกกลอนประคองชีพจรหัวใจไปก่อน เพื่อมิให้หัวใจเสียเลือดไปมากกว่านี้ พอกลับไปแล้วต้องค่อยๆ บำรุงร่างกาย อย่างน้อยภายในครึ่งปีก็ห้ามใช้วิชาภูตผีใดๆ ภายในหนึ่งเดือนห้ามใช้กระบี่หรือพลังภายใน” เหยียนเฉินพยักหน้า
“ร้ายแรงถึงเพียงนี้” เซี่ยอวิ๋นจี้มองเหยียนเฉิน เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าเห็นว่าก่อนหน้านี้นางปิดล้อมสองคนนั้นได้เพียงชั่วพริบตา ตอนนี้ก็ล้อมคนผู้นี้ได้อีกในชั่วพริบตาเช่นกัน ดูร้ายกาจอย่างยิ่ง ไฉนถึงได้ฝืนตัวเองจนอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“เจ้าอาจยังมิทราบ วิชาภูตผีใช้หัวใจเป็นหลักจึงสามารถควบคุมสรรพสิ่งในใต้หล้าได้ ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่สวนทางกับธรรมชาติ ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้วิชาภูตผีจะสร้างความเสียหายแก่หัวใจ อีกอย่างวิชาภูตผีก็ขึ้นอยู่กับว่าพลังนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เดิมทีนางอ่อนแอนัก กลับนำมาใช้ต่อกรกับปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ปรมาจารย์ฝึกฝนคือศาสตร์มืด เป็นวิชานอกรีต ทำให้เกิดลมปราณทมิฬได้ ดังนั้นแม้เจ้าเห็นว่านางกักขังเหล่าปรมาจารย์ได้อย่างสบายๆ แต่ความจริงแล้วนางต้องใช้จิตวิญญาณและเลือดถึงสิบเท่าเพื่อควบคุมพวกเขา พอจะนึกภาพได้หรือไม่ว่าสร้างความเสียหายร้ายแรงเพียงใด”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เซียอวิ๋นจี้ย่นหัวคิ้ว ก้าวขึ้นมากล่าวกับฉินอวี้ “ส่งนางมาให้ข้า ข้าอุ้มนางเอง”
ฉินอวี้ส่ายหน้า “ข้าอุ้มเอง” พูดจบก็อุ้มเซี่ยฟางหวาแนบอก
เซี่ยอวิ๋นจี้เลิกคิ้ว ยื่นมือบังคับเพื่อจะแย่งเซี่ยฟางหวามาอุ้มไว้เอง พร้อมทั้งเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาท ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเกินงาม แต่ฐานะของข้านั้น ไตร่ตรองดูแล้วนับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของนาง ไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องขอบเขตของชายหญิง ข้าเป็นคนอุ้มนางเองจะดีกว่า”
ฉินอวี้เม้มปาก ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดี “เช่นนั้นลำบากพี่อวิ๋นจี้แล้ว”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เด็กคนนี้เบาจะตาย ไม่ลำบากหรอก” เซี่ยอวิ๋นจี้อุ้มเซี่ยฟางหวา ก่อนหันกลับไปมองเหยียนเฉิน “สามปรมาจารย์ที่สกัดไว้ข้างหลังฉวยโอกาสหนีไปได้คนหนึ่ง ที่เจ้าเล่า”
“หนีไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว” เหยียนเฉินตอบ
“เจ้าร้ายกาจดังคาด แล้วจะทำเช่นไรต่อ เราจะไปไหนกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้ถาม
“กลับเมืองหลินอันเถอะ” ฉินอวี้บอก “ฟางหวากับข้าร่วมมือกันส่งคนคุ้มกันสมุนไพรดำม่วงทั้งหมดไปทางธาราคดเคี้ยว ไม่รู้ว่าตอนนี้สมุนไพรดำม่วงไปยังอย่างราบรื่นหรือไม่ เรากลับไปดูที่เมืองกันดีกว่า”
“ถูกต้อง ท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน จำต้องกินสมุนไพรดำม่วงโดยเร็วที่สุด หากสมุนไพรดำม่วงไปถึงเมืองหลินอันอย่างราบรื่นแล้ว เราก็ต้องรีบกลับไปตั้งหม้อปรุงยาในคืนนี้ ให้ประชาชนได้ดื่มโดยเร็วที่สุด หากช้าไปกว่านี้ ประชาชนต้องล้มตายอีกไม่น้อยเป็นแน่” เหยียนเฉินพยักหน้า
“เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ” เซี่ยอวิ๋นจี้อุ้มเซี่ยฟางหวาที่หมดสติย้อนกลับไปทางเดิม
ฉินอวี้เอ่ยขึ้น “พวกเจ้ากลับไปกันก่อน ข้าจะลองค้นตัวศพเหล่านี้แล้วค่อยตามไปทีหลัง” พูดจบก็บอกเซี่ยอวิ๋นจี้ “เจ้าอุ้มนางอยู่ด้วย ระมัดระวังหน่อย”
“คนพวกนี้มีอันใดให้ค้นหา” เซี่ยอวิ๋นจี้หยาม
“บางทีบนตัวพวกเขาอาจมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่นคนพวกนี้มาจากภูเขาลับลูกไหน รวมถึงรายนามผู้อาวุโส ทั้งยังต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ทุกสิ่งล้วนไม่กระจ่าง ยังต้องรอการตรวจสอบ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่หนีรอดไปได้อีก ข้าคิดว่าการที่ปรมาจารย์ภูเขาลับก่อเหตุพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ไม่คล้ายกับเป็นฝีมือของภูเขาลับแค่ลูกเดียว น่าจะยังมีปีศาจอื่นอยู่เบื้องหลังอีกด้วยเป็นแน่” ฉินอวี้ตอบ
“ก็จริง เช่นนั้นเจ้าก็ระวังระหว่างค้นตัวด้วยแล้วกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พูดจบก็เดินต่อ
“เจ้าระวังตัวด้วย เพราะปรมาจารย์สายลับฝึกฝนวิชามาตั้งแต่เด็กจึงป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี ที่คนธรรมดาเข้าใกล้มิได้ หนึ่งเพราะพลังภายในของเขากดดัน สองเพราะมีพิษซ่อนอยู่ทั่วกาย” เหยียนเฉินเตือน
“ได้” ฉินอวี้ผงกศีรษะ
เหยียนเฉินตามเซี่ยอวิ๋นจี้ออกไป ไม่นานก็เดินจากไปไกล