จารใจรัก - ตอนที่ 95-2 ความปรองดองของฉินเซี่ย
การต้มยาและนำไปแจกจ่ายมีขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ บทสนทนาส่วนตัวของฉินอวี้กับเซี่ยอวิ๋นจี้จึงมิได้ถูกแพร่งพรายออกไปถึงหูคนที่สาม
เซี่ยม่อหานมาถึงหน้าห้องเซี่ยฟงหวา พวกซื่อฮว่าออกมาต้อนรับแล้วทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน “ท่านโหว”
“น้องยังไม่ฟื้นหรือ” เซี่ยม่อหานถาม
“คุณหนูยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลยเจ้าค่ะ เมื่อคืนเราป้อนยาให้สองครั้ง น้ำอีกสองสามครั้ง ล้วนดื่มเข้าไปทั้งหมด” ซื่อฮว่าตอบ
“ข้าจะเข้าไปดูหน่อย” เซี่ยม่อหานกล่าว
พวกซื่อฮว่าหลีกทางให้
เซี่ยม่อหานเข้ามาข้างใน กลิ่นยาลอยคลุ้งทั่วทั้งห้อง เซี่ยฟางหวานอนอยู่บนเตียงโดยปิดม่านเอาไว้ เขาเดินมาที่หน้าเตียงแล้วเลิกม่านออก พบเพียงใบหน้าขาวซีดของเซี่ยฟางหวา ลมปราณอ่อนแออย่างยิ่ง หมดสติหลับลึก เขามองพักหนึ่งก็ปล่อยม่านลง กล่าวบอกซื่อฮว่า “ดูแลให้ดี อย่าเอาแต่ป้อนยากับน้ำ ตอนนี้ยามเฉินแล้ว ต้มพวกข้าวต้มเหลวหรือน้ำข้าวต้มมาป้อนนางด้วย”
“เจ้าค่ะ” พวกซื่อฮว่ารับคำ
“ข้ากลับไปพักผ่อนที่ห้อง ถ้าน้องฟื้นแล้วเรียกข้าด้วย” เซี่ยม่อหานกล่าวอีก
“ท่านโหวพักผ่อนอย่างวางใจเถิด หากคุณหนูตื่นแล้ว บ่าวจะรีบไปเรียกท่าน” ผิ่นจู๋รีบกล่าว
เซี่ยม่อหานพยักหน้า หันหลังเดินออกจากห้อง กลับไปพักผ่อนที่ห้องตนเอง
ตกบ่าย ประชาชน ทหาร และขุนนางในเมืองหลินอัน กระทั่งสัตว์เลี้ยงจำพวกไก่ สุนัข และแกะล้วนได้ดื่มยารักษาโรคห่าที่ถูกนำไปแจกจ่ายหมดแล้ว กลิ่นอายความตายที่ปกคลุมเหนือเมืองหลินอันคลายลง ร้านรวงในเมืองกลับมาเปิดกิจการ บรรดาพ่อค้าหาบเร่บนถนนก็ออกมาตั้งแผงขายของแล้วเช่นกัน เสียงผู้คนจอแจคึกคัก เปี่ยมไปด้วยความลิงโลด มีชีวิตชีวายิ่ง
ฉินอวี้เหนื่อยมากแล้ว เมื่อเห็นโรคห่าระบาดคลี่คลายลงอย่างราบรื่นจึงออกคำสั่งคุมตัวขุนนางทั้งหมดในเมืองหลินอันมารอการไต่สวน ทั้งแวะไปเยี่ยมเซี่ยฟางหวาครู่หนึ่ง เห็นว่านางยังไม่ฟื้นจึงแวะไปเยี่ยม
ฉินเหลียนที่ถูกทำร้ายด้วยเช่นกัน ฉินเหลียนก็ยังไม่ฟื้นเช่นกัน เขาจึงกลับไปพักผ่อน
เซี่ยอวิ๋นจี้แม้นอนหลับไปหลายชั่วยาม แต่ก็ยังรู้สึกไม่พออยู่ดี จึงกลับไปนอนชดเชยอีกครั้ง
ตลอดทั้งวันนี้ ความคึกคักในเมืองหลินอันยืดเยื้อไปจนถึงกลางดึก
กลางดึก เซี่ยอวิ๋นจี้ถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งจิกให้ตื่นขึ้นมา เขาลืมตาลุกขึ้นนั่ง จับเหยี่ยวเอาไว้พร้อมทั้งแกะกระดาษจดหมายจากขามันออกมา อ่านดูครู่หนึ่งก็ย่นหัวคิ้ว จากนั้นก็ลุกไปแต่งตัว เดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ
เซี่ยม่อหานเหนื่อยยิ่ง นอนหลับตั้งแต่เช้ากระทั่งกลางดึก บังเอิญว่าเพิ่งตื่นมาดื่มน้ำ ได้ยินเสียงคนเคาะประตูพอดีจึงเอ่ยถาม “ผู้ใด”
“ข้าเอง” เซี่ยอวิ๋นจี้ตอบ
“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว มีเรื่องใดรึ” เซี่ยม่อหานรีบเปิดประตู
“พรมแดนม่อเป่ยมีการเคลื่อนไหว ทัพเป่ยฉีคล้ายมีการโยกย้ายทหาร” เซี่ยอวิ๋นจี้ยื่นกระดาษให้อีกฝ่าย
เซี่ยม่อหานอ่านครู่หนึ่งแล้วเผยสีหน้านิ่งขรึม “เป็นดังที่คาดการณ์ เรื่องนี้สำคัญมาก ไปปรึกษา
รัชทายาทก่อนดีกว่า”
เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้ารับโดยไม่โต้แย้ง
เซี่ยม่อหานแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนไปยังเรือนพำนักของฉินอวี้พร้อมเซี่ยอวิ๋นจี้
ในห้องของฉินอวี้จุดตะเกียงสว่าง เซี่ยม่อหานก้าวขึ้นมาเคาะประตู
“ประตูมิได้ลงกลอน เข้ามา” ฉินอวี้เอ่ยขึ้นจากในห้อง
เซี่ยม่อหานผลักประตูเดินเข้าไป พบว่าฉินอวี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ถือกระดาษจดหมายในมือฉบับหนึ่ง เขาชะงักไป “เหตุใดดึกดื่นป่านนี้รัชทายาทถึงยังไม่เข้านอน หรือท่านเองก็…”
“พวกเจ้ามาด้วยเรื่องพรมแดนม่อเป่ย” ฉินอวี้มองเซี่ยอวิ๋นจี้แล้วเอ่ยถาม
เซี่ยม่อหานผงศีรษะ “อวิ๋นจี้เพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่ บอกว่าที่พรมแดนม่อเป่ย ทัพเป่ยฉีมีการโยกย้ายทหาร ข่าวเมืองหลินอันคลี่คลายโรคห่าระบาดได้แล้วไม่น่าแพร่ไปถึงม่อเป่ยเร็วถึงเพียงนั้น ถึงแม้ข่าวไปถึงแล้ว แต่เมืองหลินอันนับว่าเพิ่งพ้นเคราะห์ ครั้งนี้ได้รับผลกระทบหนัก ยังมีหลายสิ่งต้องฟื้นฟู ในระหว่างนี้ประจวบเหมาะที่พวกเรากำลังเหนื่อยล้า หากเป่ยฉีมีเจตนาก่อสงคราม เวลานี้นับว่าเป็นโอกาสดีในการระดมกำลัง อีกอย่างตอนนี้ที่ม่อเป่ยยังไม่มีผู้บัญชาการ หากเกิดการระดมกำลัง น่ากลัวว่าเป็นศัตรูที่เป่ยฉีเตรียมการไว้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “วันก่อนตอนที่อวิ๋นจี้มาถึง เขาบอกข้าว่าท่านป้ามอบสายลับกองหนึ่งให้เขา เขาวางกำลังไว้ที่พรมแดนม่อเป่ยเพื่อจับตามองการเคลื่อนไหวของทัพเป่ยฉี ยามนี้ส่งข่าวกลับมา เป็นไปได้ว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลังจริง”
“องค์รัชทายาทร้ายกาจดังคาด หัวใจอยู่ในกระท่อมหากแต่รอบรู้สถานการณ์ใต้หล้า ข่าวในเป่ยฉีเพิ่งมาถึงข้าเมื่อครู่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าเองก็ทราบข่าวแล้วเช่นกัน” หาได้ยากที่เซี่ยอวิ๋นจี้จะเลื่อมใสในตัวฉินอวี้
“ข้าอยู่ม่อเป่ยมาครึ่งปี ย่อมมิได้ไปเฉยๆ ม่อเป่ยมีสายสอดแนมของข้าอยู่ พรมแดนเป็นการป้องกันของดินแดนตลอดมา ต้องจับตามองการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ” ใบหน้าฉินอวี้แฝงไปด้วยความเคร่งขรึมบ้างเช่นกัน
“รัชทายาทคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร” เซี่ยม่อหานถาม
“พี่อวิ๋นจึ้กลับมาจากวังหลวงเป่ยฉี ฮ่องเต้กับฮองเฮามีความคิดจะระดมกำลังก่อสงครามหรือไม่”
ฉินอวี้มองไปยังเซี่ยอวิ๋นจี้
“บ้านเกิดท่านแม่คือหนานฉิน ย่อมไม่อยากเห็นสงครามระหว่างสองดินแดน ท่านพ่อแก่แล้วและรักท่านแม่มาก หลังช่วยนางจากด่านประตูผีมาได้ เพราะเกือบสูญเสียแต่ได้กลับคืนมาก็ยิ่งรับฟังมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีความคิดระดมกำลังอันใดแล้วเช่นกัน แต่ว่า…” เซี่ยอวิ๋นจี้เปลี่ยนน้ำเสียง “ข้าไม่ยอมกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้นที่เป่ยฉี ตำแห่งจักรพรรดิคนต่อไปย่อมเป็นของฉีเหยียนชิง ด้วยความทะเยอทะยานของเขาจะยอมพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร”
“กล่าวเช่นนี้ ที่เป่ยฉีมีการโยกย้ายทหาร เป็นคำสั่งของฉีเหยียนชิง” ฉินอวี้ถาม
“ใครจะรู้เล่า” เซี่ยอวิ๋นจี้แสดงท่าทีไม่อยากคลุกคลีด้วย “ตระกูลอวี้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในเป่ยฉี สนับสนุนฉีเหยียนชิงตลอดมา ในสายตาของราชสำนักและประชาชนเห็นองค์ชายฉีเหยียนชิงคนนี้เป็น
รัชทายาท อีกอย่างที่ผ่านมาเขาก็วางตัวเป็น ไม่อวดดี นิ่งสุขุม ดำเนินการอย่างเป็นระเบียบ มีแต่ชื่อเสียงในด้านดี เทียบกับอวี้กุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาที่รู้จักเพียงความขัดแย้งนั้นต่างกันมากนัก” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นหัวเราะ “แต่เพราะเขาได้รับการสั่งสอนจากแม่ข้าในหลายสิ่งมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน ตอนนี้เขาปีกกล้าขาแข็งแล้ว อยากฉวยโอกาสนี้ระดมกำลัง จะตัดสินใจเอาเองก็มิใช่เรื่อแปลกอันใด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนดูแลการบริหารราชสำนักเป็นส่วนใหญ่”
“หมายความว่าทัพเป่ยฉี เขามีอำนาจควบคุมด้วย” ฉินอวี้ถาม
“กับอำนาจการทหารที่ม่อเป่ย องค์รัชทายาทเองก็มิใช่ว่ามีอำนาจควบคุมด้วยเช่นกันหรือ หากเจ้าสั่งโยกย้ายทหารก็ไม่จำเป็นต้องรายงานฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกระมัง ฉีเหยียนชิงมีพรสวรรค์โดดเด่นหลายด้านมาตั้งแต่เด็ก ทั้งอยากได้ตำแหน่งนั้น มีหรือจะไม่มีอำนาจควบคุม” เซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ตอบแต่ย้อนถาม
“เป็นเหตุผลนี้” ฉินอวี้ผงกศีรษะ
“ข้าเดินทางไปม่อเป่ยเสียตอนนี้ดีกว่า หากมีการระดมกำลังจริง รัชทายาทมีแผนการรับมือหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม
“จื่อกุยเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง เช่นนี้แล้วกัน เจ้าอยู่จัดการงานต่อเนื่องในเมืองหลินอัน ส่วนข้าจะไปม่อเป่ยด้วยตัวเอง” ฉินอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น
“ม่อเป่ยอยู่ห่างจากตรงนี้ค่อนข้างไกล เป็นระยะทางพันลี้ ตอนนี้รัชทายาทต้องรับผิดชอบดูแลราชสำนัก ไหนเลยจะไปม่อเป่ยได้ง่ายๆ หากมีคนฉวยโอกาสก่อเหตุในหนานฉิน ไม่มีผู้ใดควบคุมสถานการณ์ได้จะทำเช่นไร ข้าได้พักร่างกายหนึ่งวันก็ดีขึ้นแล้ว ข้าไปม่อเป่ยเองดีกว่า เดิมราชสำนักมีคำสั่งให้ข้าไปรับช่วงต่อกองทัพที่ม่อเป่ย ข้าไม่รับปากว่าจะขับไล่กำลังคนของฉีเหยียนชิงได้ แต่ต้องควบคุมสถานการณ์ในกองทัพม่อเป่ยได้แน่นอน” เซี่ยม่อหานรีบส่ายหน้า
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “ดูท่าทำได้เพียงต้องรบกวนพี่จื่อกุยแล้ว” พูดจบ เขาก็เอ่ยขึ้นอีก
“เหยียนเฉินเป็นพระมาตุลาน้อยแห่งเป่ยฉี เท่าที่ข้าทราบ อำนาจในตระกูลอวี้ส่วนใหญ่ถูกเขาช่วงชิงมาอย่างลับๆ ไม่รู้ว่าหากเขาทราบเรื่องนี้จะคิดเช่นไร”
“ข้าจะไปตามเหยียนเฉิน” เซี่ยม่อหานลุกขึ้น
เวลานี้หน้าประตูพลันเกิดการเคลื่อนไหว มีคนเดินมา
“จื่อกุยไม่ต้องไปแล้ว เหยียนเฉินมาแล้ว” ฉินอวี้กล่าว “น่าจะทราบข่าวแล้วเช่นกัน”
เซี่ยม่อหานรีบเดินไปเปิดประตูให้เอง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกคือเหยียนเฉินดังคาด
เหยียนเฉินประสานมือคำนับเซี่ยม่อหาน เซี่ยม่อหานรีบหลีกทางให้ “ข้ากับรัชทายาทและอวิ๋นจี้กำลังคุยกันเรื่องกองทัพม่อเป่ยกับเป่ยฉี ทั้งการเคลื่อนไหวโยกย้ายทหารและการระดมกำลัง กำลังคิดจะไปตามเจ้าอยู่พอดี มาได้ตรงจังหวะนัก”
“ข้าก็มาด้วยเรื่องนี้เช่นกัน” เหยียนเฉินพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง