จารใจรัก - ตอนที่ 98 ถอนหมั้นแสดงความจริงใจ
อาณาเขตลับเผ่าภูตผี
“อาณาเขตลับเผ่าภูตผีอันใด” อิงชินอ๋องมองพระชายาด้วยความไม่เข้าใจ
“ในจดหมายเขียนไว้เช่นนี้ แต่มิได้อธิบายชัดเจน เจ้าลองอ่านดูสิ” พระชายายื่นจดหมายให้อิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องรับจดหมายมาอ่าน พบว่าเนื้อความข้างในสั้นมาก อธิบายคร่าวๆ แค่หลี่มู่ชิงไล่ตามเซี่ยฟางหวาไปจนทัน แต่ก็ถูกนางทิ้งไว้แล้วเดินทางไปเพียงลำพังอีก ภายใต้การค้นหาก็พบร่องรอยของฉินเจิงอยู่ที่อาณาเขตลับของเผ่าภูตผี เพียงแต่เขาไม่มีความรู้เรื่องเผ่าภูตผีอย่างลึกซึ้ง มิอาจไขปริศนาอาณาเขตลับเพื่อเข้าไปข้างในได้ เท่าที่เขาคาดการณ์ ฉินเจิงถูกขังเอาไว้ในอาณาเขตลับ ตอนนี้เขากำลังคิดหาวิธีเข้าไปข้างใน
“บนจดหมายมิได้บอกว่าอาณาเขตเผ่าภูตผีอยู่ที่ใด” หลังอิงชินอ๋องอ่านจดหมายจบก็ย่นหัวคิ้ว
“เจ้าหลี่คงกลัวว่าจดหมายนี้จะตกอยู่ในมือผู้อื่น เพื่อมิให้เรื่องนี้หลุดแพร่งพรายออกไป นำมาซึ่งถ้อยคำหยาบคายจากผู้ไม่ประสงค์ดี” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ความสามารถของลูกชายข้าดีกว่าใคร ยิ่งไปกว่านั้นคนดีฟ้าคุ้มครอง”
อิงชินอ๋องวางจดหมายลง ถอนหายใจแล้วเอ่ยถามข้างนอก “สี่ซุ่น คนส่งจดหมายไปแล้วหรือ”
“คนส่งจดหมายไปแล้วขอรับ บ่าวบอกว่ารอพระชายาตอบจดหมายก่อน แต่คนผู้นั้นบอกว่าคุณชายของเขากำชับไว้ว่าขอแค่พระชายาได้รับจดหมายก็พอ มิจำเป็นต้องตอบกลับขอรับ” สี่ซุ่นตอบจากนอกประตู
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว” อิงชินอ๋องพยักหน้า
สี่ซุ่นกลับออกไป
“ฟังว่าหวาเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัสเพื่อสมุนไพรดำม่วง ตอนนี้ยังมิฟื้นเลย” พระชายาหันมามองอิงชินอ๋อง
“ข่าวบอกเช่นนี้ ตอนนี้อยู่ที่เมืองหลินอัน” อิงชินอ๋องพยักหน้า
“เหลียนเอ๋อร์โชคดีได้เซี่ยอวิ๋นจี้ช่วยไว้ มีวาสนาดีชะตาแข็ง ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” พระชายากัดริมฝีปาก ก่อนกล่าวกับอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง ข้าอยากไปเมืองหลินอัน”
“หืม” อิงชินอ๋องมองนาง
“ข้าเป็นห่วงเด็กสองคนนี้ อยากไปเยี่ยมหวาเอ๋อร์กับเหลียนเอ๋อร์” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ
“มิได้” อิงชินอ๋องส่ายหน้า “เมืองหลินอันห่างจากเมืองหลวงมิใช่น้อยๆ ระยะทางแปดร้อยลี้ ระหว่างทางหากเกิดอันใดขึ้นมา เจ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร”
“อายุเท่าใดแล้ว ท่านอ๋องยังพูดจาเช่นนี้อีก ข้านำผู้คุ้มกันไปด้วย แปดร้อยลี้จะนับประสาอันใด เดินทางทั้งวันทั้งคืน แค่สองคืนก็ไปถึงแล้ว” พระชายามองค้อนอิงชินอ๋อง
“เช่นนั้นก็มิได้ ข้าไม่สบายใจ” อิงชินอ๋องส่ายหน้า
“น้องสะใภ้อวี้เชียนอ๋องเดินทางจากหลิ่งหนานมาเมืองหลวง มิใช่เดินทางเช่นนี้หรือ” พระชายาอิงชินอ๋องไม่พอใจ “นางยังมาได้ แล้วไฉนข้าถึงไปมิได้ เมืองหลินอันเทียบกับหลิ่งหนานแล้ว ไกลไม่ถึงสามส่วน”
“มาถึงแล้วก็แล้วไป แต่มิใช่ว่าทำเด็กหายหรือ” อิงชินอ๋องถลึงตา
“เด็กหายไปจริงรึ” พระชายามองอิงชินอ๋อง “ท่านใช่ว่ามิทราบ วันก่อนข้าไปจวนอวี้เชียนอ๋อง น้องสะใภ้กำลังทำสิ่งใดอยู่ หากเด็กหายไปจริงๆ นางจะยังมีกะจิตกะใจทำสิ่งอื่นอีกหรือ มีหรือจะไม่เอาแต่ร้องไห้ทุกวี่ทุกวัน น้องอ๋องมีหรือจะอภัยนาง ตอนนี้ท่านดูจวนอวี้เชียนอ๋องสิ ยังหาตัวเด็กไม่เจอเลยมิใช่หรือ มิใช่ว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นตั้งแต่แรกหรือ”
อิงชินอ๋องชะงักไป “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้”
“ท่านออกไปหาเด็กๆ ไม่ได้ ข้ายังออกไปไม่ได้ด้วยหรือ ถูกขังอยู่ในเมืองหลวงทุกวัน กังวลจนกินมิได้นอนไม่หลับ ทุกข์ใจจะแย่อยู่แล้ว” พระชายาเริ่มจะโมโหขึ้นมา
“ตอนนี้ในหนานฉินทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังมีแต่ความวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้น พรมแดนม่อเป่ยยังมีการระดมกำลัง ฉินเจิงอยู่ในอาณาเขตลับเผ่าภูตผีซึ่งมิทราบว่าอยู่ที่ใด เหลียนเอ๋อร์บาดเจ็บไม่เบา เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ระหว่างที่บ้านเมืองปั่นป่วนข้าก็หัวหมุนพอแล้ว ข้าก้าวก่ายเด็กสองคนนี้มิได้ เจ้าอย่าทำให้ข้าเป็นห่วงไปอีกคนเลย” อิงชินอ๋องลูบหลังมือพระชายา
พระชายาเดิมทียังอยากดึงดันต่อ ทว่าเห็นผมขาวบริเวณจอนของอิงชินอ๋องจึงได้แต่ยอมเลิกรา “ก็ได้ ข้าเชื่อท่าน ไม่ไปก็ได้”
“เจ้าฟังข้าย่อมดีที่สุด” อิงชินอ๋องแย้มยิ้มด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง
พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจด้วยความกังวล “ตอนนี้รัชทายาทอยู่ที่เมืองหลินอัน ฟางหวาก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่เจิงเอ๋อร์ไม่อยู่ เซี่ยม่อหานก็ไปม่อเป่ยแล้ว ข้ากลัวว่า…”
“เจ้ากลัวรัชทายาทกับหวาเอ๋อร์” อิงชินอ๋องหุบรอยยิ้มลง
“ใช่แล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “รัชทายาทเดิมทีเลื่อมใสหวาเอ๋อร์ หากมิใช่ว่าเจิงเอ๋อร์พยายามอย่างเต็มที่ ตอนนั้นคงมิได้แต่งอย่างแน่นอน ตอนนี้ยิ่งมิใช่สามีภรรยากันแล้ว ยากรับรองได้ว่ารัชทายาทจะไม่…”
“เป็นไปได้อย่างไร ถึงอย่างไรหวาเอ๋อร์ก็เคยออกเรือนแล้ว รัชทายาทจะแต่งกับสตรีที่ถูกหย่าร้างมาเป็นชายารัชทายาทได้อย่างไร ภรรยาของมกุฎราชกุมาร อนาคตคือพระมารดาของแผ่นดิน” อิงชินอ๋องส่ายหน้า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“เราเห็นรัชทายาทเติบโตมา นิสัยของเขาดูภายนอกประพฤติตามกฎเกณฑ์ แต่เนื้อแท้แล้วเหมือน
เจิงเอ๋อร์ไม่ผิด ไม่สนใจประเพณี ทุกสิ่งล้วนอาศัยแค่ความพึงพอใจ หากเขามีเจตนาอยากแต่ง ผู้ใดจะห้ามเขาได้” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว
“ในเมื่อเป็นมกุฎราชกุมารก็ควรรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับดี ไหนเลยจะทำตามอำเภอใจได้” อิงชินอ๋องเริ่มโมโหขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้น ภรรยาของลูกพี่ลูกน้อง ไหนเลยจะแต่งซ้ำได้”
“นับแต่อดีตก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี บุตรชายสืบทอดตำแหน่งของบิดา บิดารับภรรยาของบุตรมาเป็นสนม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับการแต่งภรรยาของลูกพี่ลูกน้องซ้ำ” พระชายาอิงชินอ๋องเริ่มหมดคำจะกล่าว
“เจ้า…” ครั้งนี้ถึงคราวอิงชินอ๋องพูดไม่ออก มองพระชายาด้วยความขุ่นเคือง
“ข้ามิได้พูดผิด” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา
อิงชินอ๋องจนใจ “เจ้ามิได้พูดผิด เพียงแต่…” เขาหันกลับมา กล่าวอย่างทำอันใดมิได้ “หากเป็นจริงดังที่เจ้าว่า ถึงแม้เจ้าไปเมืองหลินอันแล้วจะหยุดยั้งอันใดได้”
“ข้าจะก่อกวนให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “ไม่เชื่อว่าจะหยุดมิได้”
“เมืองหลินอันเพิ่งผ่านเคราะห์มา เจ้าอย่าไปก่อความวุ่นวายอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า ยังเอาแน่เอานอนมิได้” อิงชินอ๋องคิด “ถึงแม้รัชทายาทมีเจตนาเช่นนี้ ยังต้องดูว่าหวาเอ๋อร์ตกลงหรือไม่ ถึงแม้หวาเอ๋อร์…ตกลง ก็ยังต้องมีหนังสือจากพ่อสื่อแม่สื่อ สามหนังสือหกพิธีการ รัชทายาทจำต้องถอนหมั้นกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาก่อน ถึงแม้ไม่ถอนหมั้น ก็แต่งในฐานะสนม…”
“หวาเอ๋อร์มีหรือจะยอมเป็นสนม” พระชายาขัดอิงชินอ๋อง
“ก็จริง” อิงชินอ๋องเงียบไป
“ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว และอย่าคิดมากอีกเลย ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งร้อนใจ อย่าไปคิดจะดีกว่า”
พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม
“ใช่แล้ว เรื่องของเด็กๆ ให้จัดการกันเองเถิด ถึงเจ้ากับข้าร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์” อิงชินอ๋องนวดคลึงหว่างคิ้ว
พระชายาอิงชินอ๋องไม่เอ่ยคำใดอีก
ระหว่างที่จวนอิงชินอ๋องกลุ้มใจในเรื่องนี้ ตำหนักเฟิ่งหลวนของฮองเฮาก็กำลังเอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน
“ฟังว่าตอนที่ประชาชนในเมืองหลินอันคำนับขอบคุณรัชทายาทที่ช่วยเหลือเมือง นึกไม่ถึงว่ารัชทายาทจะไม่ถือว่าเป็นความดีความชอบของตนเอง แต่ยกความดีความชอบให้เซี่ยฟางหวา อวี้เอ๋อร์คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” ฮองเฮามีพระพักตร์กลุ้มใจ ตรัสถามหรูอี้
“เหนียงเหนียง ฟังว่าสมุนไพรดำม่วงเดิมทีคุณหนูฟางหวาเป็นคนหาพบ เพราะการตามหาสมุนไพรดำม่วงทำให้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส คนที่ทราบความจริงมีมาก รัชทายาทจึงมิอาจรับคำสรรเสริญไว้เองเพคะ” หรูอี้ตอบ
“ข้าว่ามิใช่เพียงเท่านั้น” ฮองเฮาส่ายพระพักตร์ “เกรงว่ารัชทายาทมีเจตนาอื่นกับเซี่ยฟางหวา”
“เหนียงเหนียงจะบอกว่ารัชทายาทเขาคิดจะ…” หรูอี้ตกใจ
ฮองเฮาพยักพระพักตร์
“แต่ถึงอย่างไรคุณหนูฟางหวาเคยออกเรือนกับท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋องมาแล้ว ไฉนเลย
รัชทายาทของเราจะ…” หรูอี้กล่าวอย่างระวัง
“การช่วยแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ หากรัชทายาทมีเจตนาอย่างแต่งด้วย ถึงแม้นางเคยออกเรือนกับจวนอิงชินอ๋องมาแล้ว เป็นคนที่ถูกหย่าร้าง ผู้อื่นก็มิอาจค้านอันใดได้ เทียบกับลาภยศส่วนบุคคลแล้ว บ้านเมืองต่างหากที่สำคัญ” ฮองเฮาถอนหายใจ
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี ท่านมิชอบคุณหนูฟางหวามิใช่หรือเพคะ” หรูอี้พยักหน้า
“เมื่อก่อนข้าไม่ชอบ แต่ในเมื่อลูกชายข้าชอบ ข้ายังต้องสนเรื่องชอบไม่ชอบอีกหรือ” ฮองเฮาส่าย
พระพักตร์ “ตอนนี้มีเรื่องน่ากังวลมากมาย หนานฉินสั่นคลอนทั้งในและนอก ขอเพียงเขายังครองตำแหน่งจักรพรรดิองค์ต่อไปอย่างมั่นคง ข้าก็ไม่ขอสิ่งใดแล้ว”
หรูอี้ก้มหน้าลง ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง จวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็กำลังเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาชอบสวดมนต์ไหว้พระ เพียบพร้อมสง่างาม วางตัวสุขุม ดูแลจวนเสนาบดีฝ่ายขวาได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รักษากฎเกณฑ์อย่างยิ่ง ไม่เคยนำเรื่องสกปรกออกมาเปิดเผย และไม่เคยนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในจวนไปรบกวนเสนาบดีฝ่ายขวา ดังนั้นหลายปีมานี้ สามีภรรยาปรองดองกัน เคารพซึ่งกันและกันเหมือนแขกที่มาเยือน
ยามนี้รัชทายาทไปขุดลอกคูคลองและช่วยแก้ไขโรคห่าระบาดที่เมืองหลินอัน ระหว่างที่ประชาชนในเมืองตกทุกข์ได้ยาก เซี่ยฟางหวาก็หาสมุนไพรดำม่วงจนพบ กลายเป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาโปรดช่วยเหลือราษฎรในเมืองหลินอัน ได้รับคำสรรเสริญจากประชาชนในเมืองหลินอันและราษฎรใต้หล้า ใต้หล้ารู้จักเพียง
รัชทายาทกับคุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหว ต่างพากันวิจารณ์รัชทายาทกับคุณหนูฟางหวาเข้าด้วยกัน ราวกับไม่เคยทราบมาก่อนว่าคุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นคู่หมั้นของรัชทายาท และราวกับลืมประกาศที่เซี่ยฟางหวาถูกหย่าร้างอันถูกเผยแพร่ทั่วหนานฉินไปแล้ว
การกระทำเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาที่สวดมนต์ด้วยความสงบมาตลอดนั่งไม่ติดในที่สุด
รอจนเสนาบดีฝ่ายขวาเลิกว่าราชการยามเช้ากลับมายังห้องหนังสือที่จวน นางก็รีบไปยังห้องหนังสือ
เสนาบดีฝ่ายขวากำลังหารือราชการกับกุนซือในจวน ได้ยินว่าฮูหยินมาหาก็โบกมือไล่กุนซือออกไปก่อน กุนซือหลบไปรอข้างหลังเรือน พลางเชิญฮูหยินเข้าไปในห้อง
“รบกวนนายท่านหารือราชการหรือไม่” หลังฮูหยินเข้ามาก็กล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา
“ไม่เป็นไร” เสนาบดีฝ่ายขวายกมือปัด “เจ้ารีบร้อนมาหา มีเรื่องใดหรือ”
“เรื่องรัชทายาทกับเซี่ยฟางหวาที่เมืองหลินอันท่านน่าจะทราบแล้ว ข้ากลัวว่า…” ฮูหยินลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากกล่าว
“ที่แท้เป็นเรื่องนี้” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ปี้เอ๋อร์ไร้เยื่อใยต่อรัชทายาท
รัชทายาทเองก็ไร้เยื่อใยต่อปี้เอ๋อร์เช่นกัน หลังฝ่าบาททรงมีสมรสพระราชทาน รัชทายาทก็ได้คุยกับข้าเป็นการส่วนตัวแล้วว่าจะไม่แต่งกับนาง ดังนั้นเรื่องงานสมรสระหว่างปี้เอ๋อร์กับรัชทายาท เจ้าอย่าคิดถึงอีกเลย”
“ถึงรัชทายาทไม่แต่งกับปี้เอ๋อร์ แต่ตอนนี้ข่าวที่เมืองหลินอันแพร่ออกมาแล้ว ข้างนอกคงฮือฮากันเป็นแน่ คนอื่นจะมองปี้เอ๋อร์ของข้าอย่างไร ถึงรัชทายาทมิสนใจธรรมเนียมประเพณี ก็มิควรถ่วงบุตรสาวของเรา” ฮูหยินโกรธเคือง “ในเมื่อไร้เยื่อใย เหตุใดตอนนั้นรัชทายาทถึงยอมรับการสมรส เหตุใดถึงไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดกับฝ่าบาท”
“ตอนนั้นฝ่าบาทตัดสินพระทัยเองโดยมิฟังคำทักท้วง รัชทายาทถูกบังคับ ทำได้เพียงยอมรับการสมรส แต่ตอนนี้…” เสนาบดีฝ่ายขวาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา “ข้ามิใช่ได้รับจดหมายถอนหมั้นของ
รัชทายาทแล้วหรือ”
“จดหมายถอนหมั้น?” ฮูหยินมึนงง
“เป็นจดหมายถอนหมั้น รัชทายาทส่งมาพร้อมกับจดหมายราชการด่วน ฉบับหนึ่งส่งให้ฝ่าบาท อีกฉบับหนึ่งส่งมาที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวา” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “เจ้าอ่านดูเองเถอะ ไม่ต้องรอให้เจ้ากับข้าโมโห
รัชทายาทย่อมถอนหมั้นเอง”
ฮูหยินรับจดหมายไปเปิดอ่าน
หลังอ่านจบ ความโกรธบนใบหน้านางก็อันตรธานหายไป แทนที่ด้วยความปลื้มปีติ “รัชทายาทรับปากในจดหมายว่า เรื่องนี้สร้างไม่เป็นธรรมกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวา จึงแสดงความขอโทษต่อจวนเสนาบดีฝ่ายขวาด้วยตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็รับปากนายท่านด้วย จวนเสนาบดีฝ่ายขวาในอีกสามรุ่นข้างหน้า วงศ์ตระกูลจะมิล่มสลาย ใช่หรือไม่ หมายความว่าอนาคตชิงเอ๋อร์จะแทนที่ท่าน เป็นเสนาบดีในราชสำนัก ลูกหลานของชิงเอ๋อร์ทั้งสามรุ่นก็ยังได้เป็นขุนนางเสนาบดี”
“หมายความเช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ
“หากหมายความเช่นนี้ เช่นนั้นจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรานับแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นวงศ์ตระกูลบริสุทธิ์สูงส่งอย่างแท้จริง ไร้ความกังวลไปอีกอย่างน้อยร้อยปี” ฮูหยินดีใจใหญ่
“มิผิด” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า
“นายท่านเสนาบดี นี่ใช้การสมรสของปี้เอ๋อร์แลกกับอนาคตจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเราให้หมดความกังวล นับว่ารัชทายาทแสดงความจริงใจแล้ว” ฮูหยินกล่าว
“ใช่แล้ว การชดเชยยิ่งใหญ่เช่นนี้ รัชทายาทย่อมแสดงความจริงใจอย่างยิ่ง จวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรายังไม่พอใจอันใดอีก อีกอย่างเดิมทีปี้เอ๋อร์ก็ไม่อยากเข้าวัง” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ
“เพราะเหตุนี้ เดิมทีข้าไม่พอใจในตัวรัชทายาทนัก แต่จดหมายในวันนี้กล่าวเช่นนี้ ข้าก็มิได้ไม่พอใจแล้ว” ฮูหยินกล่าว “เพียงแต่การถอนหมั้นครั้งนี้ รัชทายาทบอกว่ายังรบกวนท่านไปขอถอนหมั้นกับฝ่าบาทที่วังหลวง หนึ่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเป็นฝ่ายถอนหมั้นเอง เป็นการรักษาหน้าตาของจวนเรา สองตัวเขาอยู่ไกลถึงเมืองหลินอัน หากจะจัดการเองคงต้องรอสะสางโรคห่าระบาดจบลงก่อน สามกองทัพในพรมแดนม่อเป่ยยังต้องมีเขาคอยสังเกตการณ์ที่เมืองหลินอันช่วงหนึ่ง หากไม่มีทางเลือกก็ต้องไปม่อเป่ยด้วยตัวเอง เรื่องพวกนี้มีเหตุผล แต่นี่คือสมรสพระราชทาน หากท่านไปถอนหมั้นเอง ฝ่าบาทจะทรงยินยอมหรือ”
“รัชทายาทยังมีจดหมายให้ฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวอีกฉบับหนึ่ง บอกว่าตอนข้าไปถอนหมั้น ให้ถวายจดหมายต่อฝ่าบาทพร้อมกัน ฝ่าบาทจะทรงทราบเอง” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว
“จดหมายเล่า” ฮูหยินรีบถาม
“อยู่นี่” เสนาบดีฝ่ายขวาหยิบจดหมายลับอีกฉบับหนึ่งที่สอดอยู่ใต้กองเอกสารบนโต๊ะ
“ข้างในเขียนว่าอย่างไร” ฮูหยินถามต่อ
“ในเมื่อเป็นจดหมายลับที่รัชทายาทให้ฝ่าบาท ไหนเลยจะเปิดอ่านเองได้” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า
“ก็จริง” ฮูหยินพยักหน้า “เช่นนั้นท่านจะเข้าวังเมื่อไรเล่า”
“อีกประเดี๋ยวก็เข้าวังแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรล่าช้า ยิ่งจัดการเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีต่อปี้เอ๋อร์ของเราไวเท่านั้น เด็กคนนี้นับวันยิ่งคิดมากจนผอมซูบไปหมดแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว
“ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนนายท่านแล้ว” ฮูหยินพยักหน้าแล้วขอตัวลา
เสนาบดีฝ่ายขวาโบกมือ ฮูหยินออกจากห้องหนังสือเดินไปยังเรือนด้านหลัง ฝีเท้าค่อนข้างผ่อนคลายกว่าตอนมามาก
กุนซือเดินออกมาจากข้างหลัง ประสานมือกล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา “นายท่านเสนาบดี แม้อาการประชวรของฝ่าบาทกำเริบบ่อยครั้ง ความคิดไหวพริบไม่เหมือนก่อน แต่ท่านเข้าวังไปแล้วยังต้องระมัดระวัง ตราบใดที่รัชทายาทยังมิได้สืบทอดราชบัลลังก์ ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ยังเป็นฝ่าบาท จดหมายที่รัชทายาทรับปากท่านว่าจะคงตำแหน่งเสนาบดีในสามรุ่น ท่านนำไปถวายให้ฝ่าบาททรงอ่านพร้อมกันด้วยเถิด”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายขวาผงศีรษะ
ทั้งสองพูดจบ เสนาบดีฝ่ายขวาก็แต่งตัวใหม่ ก่อนรีบออกจากจวนไปยังวังหลวง