ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 1496 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (8) / ตอนที่ 1497 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (9)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 1496 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (8) / ตอนที่ 1497 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (9)
ตอนที่ 1496 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (8)
“เสี่ยวโม่” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดเบาๆ “เหลืออีกหนึ่งนาที”
เขารู้ว่านางหมายถึงอะไร เกราะอยู่ได้แค่สามนาที แล้วนี่ก็ผ่านไปแล้วสองนาที ดังนั้นนางจึงเหลือเวลาอีกเพียงนาทีเดียว ไม่ว่าเขาจะโมโหขนาดไหน เสี่ยวโม่ก็ทำได้แค่ถอยออกมา
หวืด!
ตอนที่ซูจวิ้นและบิดากำลังพยายามทำความเข้าใจความหมายของอวิ๋นลั่วเฟิง นางก็พุ่งมาที่ชายวัยกลางคนแล้วใช้หมัดที่ปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรโจมตีเข้าไปที่อกเขา
อั่ก!
ทันใดนั้นร่างของชายวัยกลางคนก็กระเด็นออกไปแล้วกระอักเลือดอีกครั้ง ศีรษะของเขาบิดงอแล้วเขาก็หยุดหายใจ
ซูจวิ้นชะงัก ทุกคนในสำนักเสวียนชิงก็ตะลึงจนพูดไม่ออกเหมือนกัน แล้วจากนั้นความกลัวก็พุ่งเข้าสู่จิตใจเมื่อเห็นหลุมที่หน้าอกของชายวัยกลางคนและเลือดที่ไหลออกจากปากเขา สายตาของซูจวิ้นมองไปข้างหน้าเหมือนปลาตาย เขาดูสิ้นหวังมาก
“ท่านพ่อ!” ซูจวิ้นตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งแล้วรีบวิ่งไปหาชายวัยกลางคน เขาอุ้มร่างนั้นขึ้นมาแล้วคร่ำครวญอย่างเสียใจ “ท่านพ่อ ตื่นขอรับ! สำนักเสวียนชิงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีท่าน อย่าทำให้บุตรท่านกลัวสิขอรับ!”
โชคร้ายที่ชายวัยกลางคนเสียชวิตไปแล้ว
อวิ๋นลั่งเฟิงเองก็ตะลึงไปเหมือนกัน นางมองหมัดของตัวเองและร่างของชายวัยกลางคนที่ตายอย่างเจ็บปวด นางไม่คิดว่านางจะสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นจักรพรรดิปราชญ์ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
“นายหญิง” อาาจะเป็นเพราะเสี่ยวโม่สัมผัสได้ถึงความสับสนในใจของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาจึงอธิบายอย่างใจเย็น “เขาไม่ใช่ผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์จริงๆ”
“ไม่ใช่ผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราช์งั้นหรือ” อวิ๋นลั่วเฟิงรู้สึกงุนงง
“ใช่แล้ว” เสี่ยวโม่พยักหน้า “มีสมบัติล้ำค่ามากมายที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของคนได้ อย่างเช่นหญ้าอสรพิษวิญญาณและโลหิตมังกรฌาน แล้วยังมีของอีกมากมายที่สามารถทำให้ผู้ฝึกฌานเลื่อนระดับ แต่ว่าจะเจอของเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อเจอโดยบังเอิญเท่านั้น ไม่สามารถตามหาจนเจอได้…” เสี่ยวโม่หยุดไปพักนึงก่อนจะพูดต่อ “ดังนั้นหลายคนจึงหาอะไรที่ด้อยกว่าแล้วใช้ของมีตำหนิเพื่อเลื่อนระดับ”
“หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าสำนักเสวียนชิง ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะกินบางอย่างที่เรียกว่าผลสีชาดซึ่งทำให้เขาเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิปราชญ์ ช่วงชีวิตและพลังของเขาจะไม่ต่างจากผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์จริงๆ แต่ความแข็งแกร่งทางกายของเขาก็จะคล้ายกับผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์ระดับสูง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านถึงสังหารเขาได้ด้วยหมัดเดียว ถ้าท่านเจอผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์จริงๆ ก็เป็นเรื่องยากที่จะชนะได้ง่ายๆ ด้วยเกราะเกล็ดมังกร”
เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงได้ยินคำอธิบายของเสี่ยวโม่ นางก็เข้าใจในทันที ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์และจักรพรรดิปราชญ์ต่างกันมหาศาล ถึงแม้จะใช้เกราะเกล็ดมังกร นางก็ยังไม่สามารถสังหารศัตรูได้ทันที…
“เจ้าสังหารน้องชายและบิดาข้า” ซูจวิ้นหันมามองอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยดวงตาโกรธแค้นเกลียดชัง “สักวันหนึ่ง เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือข้า!”
เสี่ยวซู่กะพริบตาขณะหันใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง “ข้าสังหารเขาได้ไหม”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาไม่ต่างจากทักทายคนในวันปกติ เหมือนกับเขากำลังถามว่า ‘ข้ากินข้าวได้หรือยัง’
“แค่ให้อวิ๋นอี้จัดการเขาก็พอ” อวิ๋นลั่วเฟิงจับมือเสี่ยวซู่ ตราบใดที่เจ้าสำนักเสวียนชิงไม่อยู่แล้ว คนอื่นก็ไม่ได้มีค่าอะไร
ทันใดนั้นซูจวิ้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แล้วร่างกายของเขาก็ชะงักก่อนเงยหน้ามองขอบฟ้าที่ว่างเปล่าอย่างตื่นเต้น
กลีบดอกไม้สีขาวจำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วร่วงลงมาจากฟ้า จากนั้นสาวใช้ในชุดสีขาวก็เดินตามหลังสตรีสวมชุดขาวอีกคนหนึ่งออกมา
ตอนที่ 1497 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (9)
นางงดงามสูงส่งต่างจากสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง นางยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศแล้ววางตัวเองอยู่เหนือกว่าคนธรรมดา
“ท่านฉินเย่ว์!” ซูจวิ้นตะโกนอย่างตื่นเต้น เขาเกือบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เขาเหลือบมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างชั่วร้ายแล้วยิ้มพึงพอใจ “เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว ตอนนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะยังทำตัวป่าเถื่อนได้อยู่ไหม!”
ฉินเย่ว์ร่อนลงมาจากฟ้าด้วยสีหน้าเฉยชา อาภรณ์สีขาวของนางยาวจนถึงพื้น เส้นผมสีดำขลับยาวจนถึงเอวของนางสยายเหมือนน้ำตก
“ดูเหมือนว่าข้าจะมาผิดเวลา” ภาพศพและเลือดจำนวนมากเข้าสู่สายตา นางเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสายตาหยิ่งยโสของนางไม่ได้มีความอดทนสูงนัก “ซูจวิ้น ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่าเพื่อฟังคำอธิบายจากเจ้าและตามหาว่าใครเป็นคนลักพาตัวผู้สืบทอดของเผ่าข้าไป”
สีหน้าของซูจวิ้นเต็มไปด้วยอารมณ์ เขามองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างมาดร้าย “เป็นสตรีผู้นี้ขอรับ นางลักพาตัวเสี่ยวไป๋แล้วใช้ฐานะอาจารย์ของตัวเองบังคับให้เสี่ยวไป๋แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ท่านฉินเย่ว์ ท่านต้องช่วยเสี่ยวไป๋นะขอรับ”
เมื่อได้ยินว่าซูจวิ้นเรียกหลินรั่วไป๋อย่างสนิทสนม นางก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น สายตาแสดงความเหลืออด “เจ้าบอกว่านางเป็นคนลักพาตัวผู้สืบทอดของเผ่าข้าไปงั้นหรือ” ดวงตางามของนางเหลือบมองอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เกิดเป็นภาพลักษณ์หยิ่งยโสที่คนในเผ่าทุกคนมี
“ซูจวิ้น เล่ารายละเอียดมาสิ ข้าจะได้ตัดสินใจ”
“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นขอรับ” ซูจวิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วอธิบาย “วันนั้นข้าเจอเสี่ยวไป๋กำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วช่วยนางไว้ ตอนนั้นข้าสงสัยว่าทำไมนางถึงมาปรากฏตัวในที่อันตรายแบบนั้น นางอธิบายว่าอาจารย์ของนางทิ้งนางไว้ในป่าเพื่อให้เป็นอาหารของหมาป่าและพยัคฆ์!”
ซูจวิ้นพูดอย่างชั่วร้าย “ลองคิดดูว่ายังมีอาจารย์ที่ชั่วร้ายขนาดนั้นบนโลกใบนี้! เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋ปรับตัวได้ ข้าก็พานางเข้ามาแต่ว่าเรื่องดีๆ ก็ไม่อยู่นานเมื่ออาจารย์คนนี้ก็ออกตามหานาง ข้าไม่รู้ว่านางรู้ความสัมพันธ์ของเสี่ยวไป๋กับเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แต่นนางก็ไม่ลังเลที่จะบังคับให้เสี่ยวไป๋แต่งงานกับคนที่นางไม่รัก!”
“ท่านฉินเย่ว์ หนึ่งปีมานี้ข้าและเสี่ยวไป๋ตกหลุมรักกัน อีกทั้งนางยังเคยพูดว่านางยอมตายดีกว่าแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่ข้า นอกจากนี้ข้าสงสัยว่าเสี่ยวไป๋อาจจะเจอเหตุการณ์บางอย่าง” ซูจวิ้นปาดน้ำตา “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางจริงๆ ข้าไม่มีทางปล่อยคนที่อะไรนางไปแน่ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม!”
คำอธิบายของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจนแม้แต่ตัวซูจวิ้นเองยังหวั่นไหว เขาเชื่อว่าไม่มีเหตุผลที่ฉินเย่ว์จะไม่หวั่นไหว ดังนั้นเขาจึงแอบใช้หางตามองฉินเย่ว์แล้วเขาก็เห็นว่านางยังเย็นชาอยู่เหมือนเดิม
“ท่านฉินเย่ว์…” เขาเรียกอย่างหวาดหวั่น
ฉินเย่ว์ไม่ได้พูดอะไรแต่ดวงตางดงามหยิ่งยโสของนางหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่กำลังยืนกอดอกอยู่ข้างหน้านาง เสียงของนางเย็นชาไม่มีความอบอุ่นอยู่ในน้ำเสียงแม้แต่น้อย “ผู้สืบทอดของเผ่าข้าอยู่ที่ไหน ที่ซูจวิ้นพูดมาจริงหรือไม่”
ตั้งแต่เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งมาจนถึงวันนี้ พวกเขาไม่เคยฟังความข้างเดียว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาที่อยู่ของหลินรั่วไป๋แล้วฟังความจริงจากปากนาง
ถ้าซูจวิ้นพูดความจริง สตรีผู้นี้ทำกับผู้สืบทอดของพวกนางอย่างนั้นจริงๆ นางไม่มีทางปล่อยนางไปแน่!
“นางออกมาไม่ได้” อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดช้าๆ