ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 1698 อดีตของอวิ๋นลั่วเฟิง (1) / ตอนที่ 1699 อดีตของอวิ๋นลั่วเฟิง (2)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 1698 อดีตของอวิ๋นลั่วเฟิง (1) / ตอนที่ 1699 อดีตของอวิ๋นลั่วเฟิง (2)
ตอนที่ 1698 อดีตของอวิ๋นลั่วเฟิง (1)
สีหน้าของอวิ๋นเซียวยังดูไร้ความรู้สึกขณะที่ดวงตาย้ายจากชายชราไปมองรอบๆ
“อย่าเสียเวลาตรวจสอบเลย พวกเราอยู่ในบ่อน้ำแต่ว่าหลังจากที่ตกลงมาในนี้ ข้าก็ไม่คิดเลยว่าที่แห่งนี้จะกลายเป็นอีกโลกหนึ่งไปเลย” ชายชรายิ้มกว้างแล้วยื่นขาเหยี่ยวที่ย่างแล้วให้อวิ๋นเซียว “แต่ว่า ที่นี่ไม่มีทางออกแม้เจ้าจะอยากออกไปก็ตาม ข้ามาอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว”
อวิ๋นเซียวเหลือบมองขาเหยี่ยวที่ย่างแล้วและยังคงไม่ขยับตัว ดวงตาของเขายังคงความเย็นชาที่ปฏิเสธผู้คนขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังไร้ความรู้สึก
อาจจะเป็นเพราะชายชราไม่ได้เจอใครมานาน ตอนที่เขาเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของอวิ๋นเซียวเขาก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาแค่ดึงขาเหยี่ยวย่างกลับไปกัดขณะที่เผลอขมวดคิ้วเท่านั้น ถึงแม้ว่าในมิตินี้เขาจะสามารถใช้พลังฌานแทนการกินอาหารได้และไม่จำเป็นต้องกินแต่เขาก็รู้สึกไม่ดีถ้าเขาไม่ได้กินอาหารทุกวัน
ในที่สุดอวิ๋นเซียวก็มองขาเหยี่ยวในมือของชายชราและพูดอย่างเย็นชาว่า “เหยี่ยวนี้มาจากที่ไหน”
“คิก แน่นอนว่ามาจากท้องฟ้า” ชายชรายิ้ม “เจ้าไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”
อวิ๋นเซียวเงียบละเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอก
ตอนนี้ท้องฟ้าที่แต่เดิมเป็นฟ้าโปร่งก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกที่ดูเป็นลางไม่ดีเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างคอยคุ้มครองข้างล่างบ่อน้ำที่แห้งขอดนี้
“นายท่าน…” ศีรษะเล็กๆ ยื่นออกมาจากข้างหลังของอวิ๋นเซียวและสะบัดตัวอวบอ้วนไปมาคล้ายไม่รีบปีนขึ้นมา
ชายชราเห็นเสี่ยวฉงที่งดงามยิ่งกว่าผลึกอัญมณี ดวงตาของเขาก็ปรากฏความประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าเขาเข้าใจอะไรผิดหรือไม่แต่เขารู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของเสี่ยวฉงไม่ธรรมดาเลย
อวิ๋นเซียวก้มหน้ามองเสี่ยวฉงขณะที่พูดด้วยเสียงทุ้มน่าหลงใหลว่า “วิธีออกไปจากที่นี่คือ”
โชคดีที่เสี่ยวฉงไม่ได้เป็นตัวเมียไม่อย่างนั้นหูของเขาคงตั้งครรภ์ไปแล้ว…
“นายท่าน บ่อน้ำนี้เข้ามาได้แต่ออกไม่ได้ สัตวอสูรวิญญาณที่ปกป้องบ่อน้ำนี้ทรงพลังมากและมนุษย์คนใดก็ตามที่ลงมาก็จะกลายเป็นอาหารของมัน…” ถึงอย่างไรเสี่ยวฉงก็อาศัยอยู่ในภูผาสุสานเทพมานานหลายปีและเขาก็ค่อนข้างรู้เรื่องภายในนี้ดี “ตอนนี้เขายังไม่กินท่านก็เพราะเขาไม่หิว แต่ถ้าเขาหิวเมื่อไหร่ ข้าเกรงว่า…”
อวิ๋นเซียวไม่จำเป็นต้องรอให้เสี่ยวฉงพูดต่อ เขาและชายชราก็เข้าใจว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
อวิ๋นเซียวพูดอย่างเฉยชาว่า “นำทางไป”
นำทางไปงั้นหรือ
ชายชรามองอวิ๋นเซียวด้วยสายตาแปลกๆ และไม่เข้าใจความหมายของเขา
แต่ว่าธรรมชาติของอวิ๋นเซียวเป็นคนไร้ความรู้สึกดังนั้นแม้แต่คำพูดของเขาก็สั้นและกระชับ ถ้าเขาสามารถพูดได้น้อยลงสักหนึ่งคำ เขาก็ไม่มีทางพูดอะไรเพิ่มแม้แต่คำเดียว
เสี่ยวฉงหัวเราะเบาๆ “ท่านรู้แล้วหรือ ใช่แล้ว ตอนปีที่ข้ามาที่ภูผาสุสานเทพนั้น ข้าก็บังเอิญตกลงมาในกับดักนี้เหมือนกันและก็ได้เห็นสัตว์วิญญาณอสูรที่คอยอารักขาบ่อน้ำนี้ พูดตามตรงถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของข้าเมื่อก่อนจะถึงจุดสูงสุด ข้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา…”
หลังจากที่ถูกขังอยู่หลายปี ความแข็งแกร่งของเสี่ยวฉงก็ลดลงแต่ว่าตอนที่เขาอยู่ที่จุดสูงสุดเขาแข็งแกร่งมากแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเอาชนะสัตว์อสูรตัวนี้ไม่ได้ จากเรื่องนี้ก็บอกได้เลยว่าสัตว์วิญญาณอสูรตัวนี้แข็งแกร่งมากแค่ไหน
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวฉง ดวงตาของชายชราก็เป็นประกาย
ในเมื่อเสี่ยวฉงเคยบังเอิญตกลงมาในกับดักอันนี้และยังมีชีวิตอยู่อย่างสบายดีก็หมายความว่ามีวิธีออกไปจากที่นี่ไม่ใช่หรือ
ความคิดของชายชราถูกแล้ว เสี่ยวฉงมีวิธีออกจากที่นี่จริงๆ แต่ว่าวิธีนั้น…
…………………………………..
ตอนที่ 1699 อดีตของอวิ๋นลั่วเฟิง (2)
“นายท่าน ได้โปรดตามข้ามา ข้าจะนำทางเอง ถ้าท่านก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ท่านจะถูกส่งไปที่อื่นทันที”
เสี่ยวฉงพูดอย่างจริงจัง ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอเรื่องนี้มาแล้วดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้ว่าเส้นทางนี้อันตรายขนาดไหน ถ้าไม่มีสมาธิแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็จะถูกส่งไปที่โลกอื่นทันที…
“พวกเราไปกันเถอะ” อวิ๋นเซียวออกคำสั่งอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เสี่ยวฉงสะบัดตัวอวบอ้วนของเขาแล้วเดินไปข้างหน้าขณะที่ชายชรารีบวางขาเหยี่ยวย่างแล้วเดินตามอวิ๋นเซียว
“พ่อหนุ่ม ข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย ข้าแซ่จวิน เจ้า…” ก่อนที่ชายชราจะพูดจบ หมอกก็ล้อมรอบตัวเขาเอาไว้และทันใดนั้นดวงตาเขาก็พร่ามั่ว
แต่ว่าร่างของเสี่ยวฉงกลับเด่นชัดแม้จะอยู่ภายในหมอกหนาแบบนี้ เขาเหมือนแสงไฟท่ามกลางความมืดและคอยนำทางพวกเขาให้เดินไปข้างหน้า
แต่ว่า…เทียบกลับความสงบใจเย็นของเสี่ยวฉงแล้วอวิ๋นเซียวและชายชราไม่ได้สงบเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าคุ้นเคยปรากฏขึ้นข้างหน้าพวกเขาคนแล้วคนเล่าและใบหน้าเหล่านั้นก็คอยนำทางเขาไปทางอื่น…
อวิ๋นเซียวหลับตาและพยายามไล่ภาพเหล่านั้นออกไปจากความคิดแต่ทันทีที่เขาเงยหน้า ฉากตรงหน้าเขาก็ยังเหมือนเดิม
“นี่ไม่ใช่มิติลวงตาหรอกหรือ”
ตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นแค่ภาพลวงตาและถ้าเขาปิดกั้นการมองเห็น ภาพลวงตาก็จะหายไป แต่ถึงแม้ว่าเขาทำอย่างนั้นแล้วภาพเหล่านี้ก็ยังส่งผลต่อการเดินทางของเขา
ราวกับว่า…พวกเขามีชีวิตอยู่จริงๆ…
ทันใดนั้น ดวงตาของอวิ๋นเซียวก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าของเด็กคนหนึ่งและเขาก็ไม่สามารถละสายตาไปไหนได้
เด็กคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณแปดปีและใบหน้าของนางก็คล้ายคลึงกับอวิ๋นลั่วเฟิงมากแต่นางใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้เป็นของแผ่นดินนี้ เมื่อเขานึกได้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้มาจากแผ่นนี้และคำพูดที่เสี่ยวฉงเคยบอก หัวใจของอวิ๋นเซียวก็เต้นถี่และเขาก็รู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาดึงเขาเข้าไปหาเด็กผู้หญิงคนนี้
…
“เสี่ยวเฟิง หนูรู้ใช่ไหมว่าไม่ใช่ว่าลุงไม่อยากเลี้ยงหนูแต่ลุงก็ไม่สามารถจริงๆ ลุงหาที่ดีๆ ให้หนูอยู่ได้แล้ว ในบ้านเด็กกำพร้าหนูจะมีเพื่อนมากมายเลยนะจ๊ะ”
ภายในห้องของบ้านพักหรูหรา มีชายในชุดสูทคนหนึ่งกำลังทำสีหน้าเสียใจแล้วเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง มีเด็กผู้หญิงใบหน้างดงามเหมือนหยกสลักคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าเขา ใบหน้าบอบบางของนางเต็มไปด้วยน้ำตาและนางก็ดูสิ้นหวังมาก
ตอนนี้อวิ๋นเซียวยืนอยู่เงียบๆ ข้างๆ นางและสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาของนาง เมื่อเห็นนางร้องไห้ หัวใจของเขาก็กระตุกด้วยความเจ็บปวด เขายื่นมือออกไปหวังจะลูบศีรษะของนางแต่ว่า…มือของเขากลับทะลุผ่านร่างของนางเหมือนเขาจะเป็นได้แค่แขกที่ไม่ได้รับเชิญของโลกใบนี้
อวิ๋นเซียวเหม่อมองมือทั้งสองของเขาอย่างโง่งม เขานิ่งอยู่นานกว่าจะหันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยอีกครั้ง…
“คุณลุง คุณป้า” ดวงตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความอ้อนวอน “หนูไม่อยากไปที่บ้านเด็กกำพร้า ได้โปรดอย่าส่งหนูไปเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ สตรีงดงามที่ทาเล็บก็ขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทนและมองนางเย็นชา “ตระกูลอวิ๋นของพวกเราไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์และพวกเราก็ไม่มีอะไรให้แก! ลุงของแกยอมส่งแกไปบ้านเด็กกำพร้าก็บุญแค่ไหนแล้ว ไม่งั้น ฉันจะให้ลุงแกขายแกออกไปแทน!”
ตอนแรกเธอคิดว่าคำพูดนี้จะทำเด็กหญิงกลัวแต่กลับทำให้เธอโกรธแทน
“ตอนที่พ่อแม่ของหนูเสีย พวกท่านทิ้งทรัพย์สมบัติไว้หนูมากมาย ตอนนั้นคุณเองก็เป็นคนเอาทรัพย์สินทั้งหมดไว้และสัญญาว่าจะเลี้ยงหนู! ผ่านมาแค่แป๊บเดียวคุณก็คิดจะแตะหนูออกไปแล้วเหรอ คุณไม่กลัวคนอื่นรู้บ้างเหรอ”