ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 1846 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (3) / ตอนที่ 1847 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (4)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 1846 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (3) / ตอนที่ 1847 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (4)
ตอนที่ 1846 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (3)
“ฉีซู” เมื่อเห็นสีหน้าดูไม่ได้ของฉีซู เจี่ยนเฟยเฟยก็รีบลุกขึ้นยืนขณะที่พูดอย่างเศร้าโศกด้วยท่าทางคล้ายจะร่ำไห้ “เจ้าเข้าใจบิดาเจ้าผิดแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเขาแต่เป็นข้าเอง ข้ายินดีอยู่บ้านตัวคนเดียวและยอมยกมั่วเอ๋อร์เพื่อช่วยทำให้ความฝันที่อยากได้บุตรชายของมารดาเจ้าเป็นจริง! ถ้าเจ้าจะโทษก็โทษข้าเถอะ บิดาเจ้าไม่ผิดเลย”
นางไม่ใช่แค่ยกโทษให้ฉีเจิ้งแต่นางยังบอกว่าเขาไม่ผิดด้วย ซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกว่าหลินฉิงโหดเหี้ยมเกินไป นางถึงกับขโมยบุตรชายของคนอื่นจนทำให้มารดาของเด็กคนนั้นต้องอาศัยอยู่อย่างเดียวดาย
“เฟยเฟย เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย เป็นความผิดของหลินฉิงต่างหาก! เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ” สีหน้าตอนแรกที่ดูไม่ได้ของฉีเจิ้งหายไปทันทีหลังจากที่ได้ยินเจี่ยนเฟยเฟยพูดตำหนิตัวเอง แล้วเขาก็มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเสน่หา
ชีวิตนี้เขาทำอะไรถึงได้พบสตรีที่ยอมมอบทุกอย่างให้เขาแบบนางกัน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หลินฉิงช่างไร้ความดีเหลือเกิน!
“ฉีซู!” เมื่อเห็นว่าฉีซูอยากจะพูดบางอย่าง ดวงตาสีดำสนิทของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย “เจ้าคิดว่าการเถียงกับคนหน้าไม่อายพวกนี้จะได้ประโยชน์อะไรงั้นหรือ”
ฉีซูมองด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วหันไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างสับสน
อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตา “ข้าจะบอกความจริงบางอย่างให้ ถ้าเจ้าทำตัวน่าสงสารกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ เจ้าก็ต้องทำตัวโหดร้ายกว่า! เจ้ารออะไรอยู่ ลงมือเดี๋ยวนี้ ถ้าพวกเขาตาย ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
น้ำเสียงของนางทั้งหยิ่งยโสและดื้อด้าน นางพูดด้วยความโอหังราวกับว่านางไม่เห็นตระกูลฉีอยู่ในสายตา ตอนแรกอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้ตั้งใจจะเผยตัวเร็วอย่างนี้ แต่ว่าเรื่องราวในชีวิตล้วนไม่แน่นอน และถ้านางไม่สอนบทเรียนให้พวกเขา ก็เป็นเรื่องยากที่นางจะเก็บความโกรธเอาไว้ได้
“นังชั้นต่ำ อย่าได้ทำตัวโอหังเกินไปนัก! ที่นี่คือตระกูลฉี การสังหารเจ้าก็ง่ายไม่ต่างกับบี้มด!”
ฉีเล่อกระทืบเท้าด้วยความโกรธแค้น ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วไม่นานเด็กผู้หญิงตัวเล็กในชุดสีแดงก็ปรากฏขึ้นจากไหนไม่ทราบ
“เพียะ!” เด็กหญิงตัวน้อยเงื้อมือขึ้นตบฉีเล่ออย่างแรงจนใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยฝ่ามือทันที
“เจ้าควรทำตัวมีมารยาทมากกว่านี้ เจ้าหาเรื่องตายหรือถึงกล้าตะโกนใส่นายหญิงของข้า!”
ทันทีที่นางพูดจบ เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นจากร่างของหั่วหั่วขณะที่เส้นผมสีแดงเพลิงชี้ตั้งขึ้น
สายตาของฉีเจิ้งจับจ้องอยู่ที่ฉีซูทำให้เขาไม่ได้สังเกตว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนี้มาจากไหน ตอนที่เขาตั้งใจจะหยุดหลังจากที่นางปรากฏตัวออกมาก็สายไปแล้ว
“ฉีซู ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ถ้าอย่างนั้น ข้าจะทำให้เจ้าสมหวังเอง!”
ตูม!
ฉีเจิ้งยืนขึ้นอย่างเดือดดาลและแน่นอนว่าเป้าหมายของเขาก็คือหั่วหั่วที่พึ่งตบหน้าฉีเล่อไป แต่ว่าก่อนที่เขาจะไปถึงตัวหั่วหั่ว เขาก็โดนชายร่างกำยำคนหนึ่งขวางทางไว้
ชายผู้นี้มีสีหน้าไร้อารมณ์และหน้าตาเหมือนคนทั่วไป ทว่าเขาดูโหดเหี้ยมมาก แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาพุ่งออกไปหาฉีเจิ้งที่กำลังโจมตีเขาอยู่
ปัง!
ฉีเจิ้งรีบยกมือป้องกัน เขาถอยหลังกลับไปหลังจากโดนแขนกำยำของอีกฝ่ายโจมตีแล้ว เมื่อเขารู้สึกที่รสเลือดในลำคอ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นสีแดงคล้ำเหมือนกับสีของตับหมู
“ผู้ฝึกฌานขั้นเซียน!”
อะไรกัน บุรุษผู้นี้เป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนงั้นหรือ เขามาจากที่ไหนและปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ตอนที่ทุกคนกำลังคิดมากจนสับสน เสียงร้ายกาจของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ดังขึ้นช้าๆ “อวิ๋นอี้ ตราบใดที่เขาไม่ตาย เจ้าจะตีเขาหนักแค่ไหนก็ได้!” คำพูดของนางหมายความว่า เขาจะทำให้ฉีเจิ้งพิการก็ไม่เป็นไร
ถึงแม้ว่าตอนนี้อวิ๋นลั่วเฟิงจะไม่ได้อยากสังหารเขา แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาทำผิดแล้ว เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังไปก่อนที่เขาจะได้ตาย!
“ฮึ่ม เจ้าคิดว่าการลอบโจมตีของเจ้าจะเอาชนะข้าได้งั้นหรือ ช่างน่าขันจริงๆ! ข้าเคยเอาชนะผู้ฝึกฌานขั้นเซียนมาก่อน และเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” ฉีเจิ้งยิ้มเยาะแล้วพุ่งเข้าไปโจมตีอวิ๋นอี้
…………………………
ตอนที่ 1847 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (4)
ทุกการโจมตีของเขาพุ่งไปที่จุดตาย ถ้าเป็นคนธรรมดาพวกเขาถ้าคงไม่ตายก็พิการอย่างรุนแรง แต่ว่าอวิ๋นอี้เป็นหุ่นเชิด หุ่นเชิดไม่มีชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีจุดตาย
ปัง!
หมัดของฉีเจิ้งเข้าโจมตีที่หน้าอกของอวิ๋นอี้ ทันใดนั้นฝ่ามือของเขาก็กดเข้าไปในหน้าอกของอวิ๋นอี้สุดแรงแล้วปล่อยพลังฌานเข้าไป
เขาเผยรอยยิ้มพึงพอใจขณะที่คิดว่า ไอ้ขยะนี่โง่หรือเปล่า เขาไม่แม้แต่จะปกป้องหัวใจของตัวเองด้วยซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่หัวใจของเขาโดนโจมตี เขาก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่ไม่นานรอยยิ้มของเขาก็แข็งค้าง เพราะอวิ๋นอี้จับแขนของเขาเอาไว้แล้วพลังมหาศาลก็โจมตีเข้าที่หน้าอกของฉีเจิ้ง การโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวครั้งนี้ทำให้เขากระเด็นออกไปทันที
“เป็นไปได้อย่างไร”
เขาโจมตีโดนหน้าอกของอวิ๋นอี้แน่ๆ แล้วเขาไม่บาดเจ็บเลยได้อย่างไร
อวิ๋นอี้ไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาคิดแล้วมาปรากฏตัวข้างหน้าเขาอีกครั้ง…เขาจับตัวฉีเจิ้งยกขึ้นก่อนจะเหวี่ยงเขากระแทกลงพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังแล้วเกิดเป็นหลุมที่พื้น!
อวิ๋นอี้ลงมือรวดเร็วมากและไม่เปิดโอกาสให้ฉีเจิงได้ลงมือ ฉีเจิ้งมาได้สติก็ตอนที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างอย่างฉับพลัน
“ข้า…แพ้งั้นหรือ เป็นไปไม่ได้! ข้าเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียนมามากมายแล้วข้าจะแพ้ได้อย่างไร”
แน่นอนว่าอวิ๋นอี้ไม่คิดจะละเว้นเขาเพียงเพราะเขาแพ้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหุ่นเชิดแต่เขาเชื่อฟังคำสั่งของอวิ๋นลั่วเฟิงสุดหัวใจ ในเมื่อนายหญิงของเขาสั่งให้เขาตีฉีเจิ้ง เขาก็ไม่มีทางปล่อยฉีเจิ้งไปง่ายๆ แน่!
ดังนั้น…ฉีเจิ้งที่กำลังเจ็บปวดสาหัสก็เห็นอวิ๋นอี้ถีบตัวกระโดดขึ้นสูงแล้วก่อนที่เขาจะได้ทันตั้งตัว อวิ๋นอี้ก็พุ่งลงมากระทืบบนหน้าอกเต็มแรง
ผลก็คือ…พรวด! ฉีเจิ้งกระอักเลือดออกมาก่อนจะหมดสติไป
ในหมู่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียน ความแข็งแกร่งของฉีเจิ้งทรงพลังมากก็จริง แต่โชคร้ายที่คนที่เขาต่อสู้ด้วยคืออวิ๋นอี้ซึ่งเป็นหุ่นเชิด และเพราะความประมาท สุดท้ายเขาก็โดนอวิ๋นอี้ทำให้บาดเจ็บ!
เมื่อเทียบทั้งสองคนที่อยู่ในขั้นเดียวกัน คนหนึ่งสามารถรับรู้ความเจ็บปวด ถ้าบาดเจ็บจะสู้ต่อไม่ได้และยังมีโอกาสตาย ในขณะที่อีกคนไม่สามารถทำลายได้ เขาไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือการเกิดบาดแผลใดๆ แล้วทั้งคู่จะมาเทียบกันได้อย่างไร
นี่เป็นเรื่องที่เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
ฉีเล่อกับฉีมั่วอ้าปากค้างและตัวสั่นด้วยความตะลึง
ท่านพ่อแพ้งั้นหรือ เรื่องนี้…เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ต่างจากพี่น้องคู่นี้ เจี่ยนเฟยเฟยกรีดร้องแล้ววิ่งเข้าไปหาฉีเจิ้งด้วยน้ำตานองหน้า “นายท่าน อย่าเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ ท่านจะเป็นอะไรไม่ได้นะ!”
จะเกิดอะไรขึ้นกับข้าถ้าท่านเป็นอะไรไป ใครจะมาคอยหนุนหลังข้า แล้วข้าจะสามารถทำตัวเหนือกว่าคนอื่นได้อย่างไร
น่าเสียดายที่เจี่ยนเฟยเฟยไม่ได้พูดประโยคสามประโยคนี้ออกมาดังๆ เพราะว่านางไม่มั่นใจว่าฉีเจิ้งแค่แกล้งทำเป็นหมดสติหรือเขาเป็นจริงๆ…
อวิ๋นลั่วเฟิงหันมาหาฉีซู “เจ้าอยากจะระบายความโกรธแค้นให้มารดาเจ้าใช่หรือไม่”
ตอนนี้ในที่สุดฉีซูก็ได้สติแล้วมองตรงไปที่เจี่ยนเฟยเฟยและคนอื่นๆ ด้วยสายตาคมดุจมีด
“เจ้าคิดว่ามารดาข้าควรขอโทษเจ้างั้นหรือ” กลิ่นอายเย็นเยียบปกคลุมใบหน้าของฉีซูขณะที่เขาพูด “ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลใหญ่นี้สามารถปล่อยให้มารดาข้าอดอาหารจนนางขาดสารอาหารได้ด้วยหรือ”
ฉีมั่วเปลี่ยนสีหน้าแล้วส่งสายตาเดือดดาลมาให้ฉีซู “ฉีซู เจ้าร่วมมือกับคนนอก ทำร้ายท่านพ่อและยังวางแผนฮุบทรัพย์สินของตระกูล เจ้าควรจะไปตายซะ!”
“วางแผนฮุบทรัพย์สินของตระกูลงั้นหรือ” ฉีซูระเบิดเสียงหัวเราะ “แต่เดิมตระกูลฉีก็เป็นของข้า! เป็นคนหน้าไม่อายอย่างพวกเจ้าต่างหากที่ขโมยทรัพย์สมบัติที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ข้าไป เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าข้าวางแผนฮุบสมบัติของตระกูลฉีงั้นหรือ ข้าแค่มาเอาสิ่งที่เป็นของข้าแต่แรกคืนต่างหาก!”