ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 1850 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (7) / ตอนที่ 1851 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (8)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 1850 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (7) / ตอนที่ 1851 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (8)
ตอนที่ 1850 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (7)
ในเมื่อเขาลงมือทำแล้วเขาก็ต้องทำเต็มที่ และกวาดเอาทุกอย่างไม่ให้เหลือสักตำลึงเดียว!
“ไม่จำเป็น” อวิ๋นลั่วเฟิงเผยยิ้มร้ายกาจ “ข้าอนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ในตระกูลฉีได้”
ฉีซูมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างตะลึงและไม่เข้าใจว่านางตั้งใจจะทำอะไร ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยถาม ไม่ว่าแม่นางอวิ๋นจะทำอะไร นางก็ต้องมีเหตุผลแน่นอน เขาจึงยอมทำตามคำสั่งของนางโดยไม่ถาม
แต่ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงก็รับรู้ถึงใบหน้างุนงงของฉีซูแล้วยกยิ้ม “ถ้าพวกเขาอยู่ในตระกูลฉี เจ้าคิดว่าพวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง พวกเขาจะยังรังแกมารดาของเจ้าได้อีกหรือ ในเมื่อพวกเขาทำอะไรไม่ได้ ต่อให้พวกเขาอยู่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“แต่ว่า ข้ารู้สึกว่าแม่นางไม่ใช่คนจิตใจดี…” ฉีซูเงียบไปพักหนึ่งและสุดท้ายก็ถามออกมา
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ใช่คนใจดีและที่ข้าให้พวกเขาอยู่ที่นี่เพราะเจ้าจะได้ระบายความโกรธกับพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ที่เจ้าต้องการ! หรือไม่ถ้าเจ้าไม่มีความสุข เจ้าก็มาทรมานพวกเขาได้ตามสบาย”
เหตุผลที่อวิ๋นลั่วเฟิงยอมให้พวกเขาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้ฉีซูมีที่ระบายความโกรธ ทันทีที่อวิ๋นลั่วเฟิงพูดถึงการเก็บทรัพย์สมบัติของตระกูลฉี เปลือกตาของฉีเจิ้งก็กระตุกแล้วเมื่อได้ยินบทสนทนาในตอนนี้ของพวกเขา เขาก็ยิ่งทำสีหน้าดูไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมลืมตา
ข้ายังมีพระสนมฉินหนุนหลังอยู่ หลังจากที่ข้าได้ร้องเรียนเมื่อไหร่ พวกเขาจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่!
“ส่วนผู้คุ้มกันพวกนี้…” อวิ๋นลั่วเฟิงหยุดไปชั่วครู่ “เปลี่ยนพวกเขาให้หมด ข้าไม่ต้องการคนที่ไม่ภักดี”
“ได้ขอรับ” ฉีซูพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจอวิ๋นลั่วเฟิง
“พวกเราไปดูมารดาของเจ้ากันเถอะ ที่สำคัญ…” อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปพักหนึ่ง “อวิ๋นอี้ จับตาดูพวกเขาเอาไว้ และอย่าให้มีวิญญาณของใครได้ก้าวออกไปจากประตูจวนตระกูลฉี!”
ฉีเจิ้งและคนอื่นหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ถ้าพวกเขาออกไปไม่ได้แล้วพวกเขาจะไปฟ้องพระสนมฉินได้อย่างไร แล้วพระสนมฉินจะมาแก้แค้นให้พวกเขาได้หรือ
โดยเฉพาะเจี่ยนเฟยเฟยที่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่ภายในใจนางบ้าคลั่งไปแล้ว นางไม่หวังอะไรนอกจากทำให้อวิ๋นลั่วเฟิงถูกหั่นออกเป็นพันๆ ชิ้น! รวมถึงหลินฉิงและบุตรทั้งสองของนางก็สมควรตายเหมือนกัน! …
ภายในสวนด้านหน้าของจวน
ทันทีที่มู่เสวี่ยซินเดินเข้ามาในสวน นางก็สังเกตเห็นว่ามีร่างร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้า นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่คิดจะคุยกับอีกฝ่ายจึงตั้งใจจะเดินผ่านไป แต่ใครจะไปคิดว่าสตรีผู้นี้จะเรียกนาง
“องค์หญิงสี่ ได้โปรดรอก่อนเพคะ”
มู่เสวี่ยซินหยุดแล้วหันมามองนางก่อนจะถามว่า “คุณหนูใหญ่หลิวมีธุระอะไร”
สตรีผู้นี้คือบุตรสาวของขุนนางหลิว และถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ที่นี่ นางก็คงรู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นผู้ติดตามของพี่น้องตระกูลเจียวเมื่อวันนั้น เพราะวันนั้นนางไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวทำให้อวิ๋นลั่วเฟิงและคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจนางมากนัก
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของหลิวเยว่ขณะที่นางถามว่า “องค์หญิงสี่รู้หรือยังเพคะว่าคุณชายรองตระกูลฉีกลับมาแล้ว”
มู่เสวี่ยซินตัวสั่น ในใจของนางกำลังเป็นสุข
ฉีซูกลับมาแล้วงั้นหรือ
แต่ว่าเมื่อคิดถึงสถานการณ์ภายในราชวงศ์ตอนนี้ ความสุขของนางก็หายไปแล้วแทนที่ด้วยความสิ้นหวัง
“แล้วอย่างไร”
ดวงตาของหลิวเยว่เป็นประกาย “ข้างกายฉีซูมีสตรีอยู่ด้วยคนหนึ่งเพคะ”
สตรี?
มู่เสวี่ยซินเหม่อลอย และภาพของสตรีชุดขาวที่นางเจอที่หุบเขาหลิงชวนก็ลอยเข้ามาในความคิด
หากนางอยู่กับฉีซูก็น่าจะเป็นผู้มีพระคุณของนางคนนั้น อาจารย์ของฉีหลิง! นางก็มากับพวกเขาหรือ
ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้แสดงคำขอบคุณแต่เมื่ออีกฝ่ายมาถึงที่เมืองจักรพรรดิแล้ว นางก็ต้องไปพบสักหน่อย
…………………………
ตอนที่ 1851 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (8)
ยิ่งไปกว่านั้น…นางก็คิดถึงฉีซูด้วย
เมื่อเห็นว่ามู่เสวี่ยซินไม่มีปฏิกิริยาอะไร หลิวเยว่ก็กัดฟันทันที “องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันคิดว่านางมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างพิเศษกับฉีซูเพคะ”
พิเศษอย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าต้องพิเศษอยู่แล้ว! นางเป็นอาจารย์ของฉีหลิงและยังช่วยให้ฉีหลิงฝึกพลังฌานได้อีก ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะธรรมดาได้อย่างไร
มู่เสวี่ยซินขมวดคิ้วด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “เจ้าตั้งใจจะพูดอะไร”
“องค์หญิง ท่านมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณชายรองตระกูลฉี แต่ตอนนี้เขามีสตรีอื่นอยู่ข้างกาย ท่านจะยอมรับการกระทำของเขาหรือเพคะ หม่อมฉันรู้สึกว่าฉีซูชอบพอสตรีผู้นี้มากทีเดียว”
สีหน้าของมู่เสวี่ยซินยิ่งดูไม่ได้ แน่นอนว่านางไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีต่ออวิ๋นลั่วเฟิง แต่มีให้กับหลิวเยว่ต่างหาก!
“คุณหนูใหญ่หลิว เจ้ามายุ่งวุ่นวายเกินไปหรือไม่ ข้าคิดว่าการที่ใครจะอยู่กับฉีซูก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมาใส่ใจ หรือว่าเป็นเพราะเจ้าหลงรักเขา” มู่เสวี่ยซินยิ้มเยาะขณะที่มองหลิวเยว่อย่างเย็นชา
หลิวเยว่หลุบตา “องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันเพียงกังวลแทนท่านเพคะ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อตัวเองเลย อีกอย่างหม่อมฉัมก็รู้สึกว่า…มีเพียงท่านเท่านั้นที่เหมาะสมจะอยู่ข้างฉีซูเพคะ”
ต่อให้ฉีซูโดนไล่ออกจากตระกูลฉีแล้วอย่างไร เขาทั้งหล่อเหลาและมีพรสวรรค์ เพราะแบบนี้เขาถึงได้ดึงดูดสตรีมากมาย เมื่อก่อนนางเองก็ตกหลุมรักเขาเหมือนกัน และตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้ฉีซูมีองค์หญิงอยู่เคียงข้างเพราะฉะนั้นนอกจากความรู้สึกนับถือแล้ว นางก็ไม่มีความรู้สึกอื่น ไม่ว่านางจะชอบเขามาแค่ไหน นางก็ทำได้แค่เฝ้ามองเขาอยู่ไกลๆ นางจะมีสิทธิ์อะไรไปยืนเคียงข้างฉีซู
ในเมื่อพี่น้องตระกูลเจียวก็พ่ายแพ้ให้แก่อวิ๋นลั่วเฟิง นางจึงไม่กล้าลงมือแบบไม่คิด เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางจึงตั้งใจจะแจ้งองค์หญิงสี่เพื่อยืมมือนางมากำจัดอวิ๋นลั่วเฟิง
แต่นางไม่คิดเลยว่าองค์หญิงสี่จะไม่กังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย หรือว่านางจะไม่ได้รักฉีซูแล้ว
ไม่ว่าหลิวเยว่จะเดาไว้ว่าอย่างไร นางก็ไม่กล้าถามมู่เสวี่ยซินและทำได้แค่มองนางจากไปอย่างไม่เต็มใจ ขณะที่ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความโกรธ
ณ ตระกูลฉี
ภายในสวนฝั่งตะวันตกที่ห่างไกล ฉีเจิ้งถูกโยนลงบนเตียง เมื่อคนพวกนั้นจากไปเขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเจตนาสังหาร
“ฉีซู จะต้องมีวันที่ข้าได้ทำให้คนที่ช่วยเจ้าใช้ชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย!”
ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องมาเห็นสีหน้าของฉีเจิ้งในตอนนี้ พวกเขาต้องคิดว่าทั้งสองคนเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้และไม่มีทางคิดว่าฉีซูเป็นบุตรชายเขาแน่นอน
“นายท่าน” เจี่ยนเฟยเฟยนั่งลงบนเตียง ผมกระเซอะกระเซิงจนทำให้นางคล้ายกับสตรีเสียสติ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยเล็บที่มีเลือดซึมในขณะที่ดวงตาแดงก่ำ ร่างกายอ่อนแอและบอบบางของนางสั่นน้อยๆ จนดูน่าสงสาร
ซึ่งต้องไม่มองหน้านางเสียก่อน
ทีแรกเจี่ยนเฟยเฟยมีใบหน้าที่งดงามจนสามารถกระตุ้นเร้าจิตใจของบุรุษได้ ทว่าตอนนี้นางคล้ายสตรีเสียสติและยังอัปลักษณ์ นางจะไปทำให้บุรุษเกิดความปรารถนาได้อย่างไร
“เฟยเฟย” ดวงตาของฉีเจิ้งไม่ปรากฏร่องรอยปวดใจอีกต่อไปมีเพียงแต่ความสำนึกผิดเท่านั้น “ข้าลากเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่สบายใจเถอะ เมื่อไหร่ที่มีโอกาสข้าจะจับพวกเขามัดแล้วปล่อยให้เจ้าได้ระบายความโกรธ!”
เจี่ยนเฟยเฟยส่ายหน้า “ข้าไม่อยากแก้แค้นหรือระบายความโกรธเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ท่านอยู่ดีมีสุข นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
คำพูดของนางยิ่งทำให้ฉีเจิ้งรู้สึกผิด เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงกล้าทำร้ายสตรีที่มีจิตใจดีอย่างเจี่ยนเฟยเฟยได้
“เฟยเฟย เมื่อพระสนมรู้เรื่องสถานการณ์ของพวกเรา นางจะต้องแก้แค้นให้พวกเราแน่! แต่นางตอนนี้นางอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับมู่เสวี่ยซิน พวกเราจะต้องรอก่อน” ฉีเจิ้งปลอบเจี่ยนเฟยเฟยแล้วพูดว่า “เมื่อถึงตอนนั้น พวกมันจะต้องชดใช้! ข้ารู้ว่าเจ้าใจดีและทนลงมือแก้แค้นไม่ได้ แต่สำหรับพวกมัน จะไม่มีการปรานีอะไรทั้งนั้น!”