ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 2140 ผ่านด่านเลื่อนระดับเป็นเซียนจักรพรรดิ (3) / ตอนที่ 2141 อวิ๋นลั่วเฟิงมาทันเวลาพอดี (1+2)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 2140 ผ่านด่านเลื่อนระดับเป็นเซียนจักรพรรดิ (3) / ตอนที่ 2141 อวิ๋นลั่วเฟิงมาทันเวลาพอดี (1+2)
ตอนที่ 2140 ผ่านด่านเลื่อนระดับเป็นเซียนจักรพรรดิ (3)
“เจ้า…” ความโกรธของหลงเหยียนพวยพุ่ง แต่ความแตกต่างระหว่างพลังของพวกเขามีมากเกินไป ดังนั้นเผ่ามังกรจึงเสียเปรียบ
“อวี๋เทียน เผ่ามังกรของพวกเราก็ออกจากแผ่นดินของมนุษย์มาตั้งนานแล้ว แล้วยังถูกบังคับให้มาอยู่พื้นที่ชายขอบแบบนี้อีก เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยพวกเรา” ความรู้สึกของหลงเหยียนหนักอึ้งและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างควบคุมไม่ได้
มนุษย์เลวทรามพวกนี้จะกดขี่กันเกินไปแล้ว!
“เจ้าทำได้แค่โทษตัวเองที่ไปช่วยอวิ๋นลั่วเฟิงนั่นแหละ เรื่องนี้ทำให้พวกเจ้ามีชะตากรรมเช่นนี้ เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น!” รอยยิ้มบางโค้งขึ้นที่ปากของอวี๋เทียน ท่าทางของเขาสงบมากและน้ำเสียงของเขาฟังดูเฉยชา ราวกับว่าเขากำลังพูดเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร
หลงเหยียนหลับตาอย่างแน่วแน่ และไม่คิดจะพูดอะไรกับพวกเขาไปมากกว่านี้
นอกจากเขาแล้ว สมาชิกในเผ่าคนอื่นก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว และดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววตื่นตระหนก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หมดเวลาที่อวี๋เทียนให้ไว้ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นลั่วเฟิงยังไม่ปรากฏตัว เขาก็กวาดสายตามองเผ่ามังกรแล้วไปหยุดอยู่ที่มังกรเยาว์วัยที่ยังไม่บรรลุภาวะคนหนึ่ง
“เอาตัวเด็กนั่นมาให้ข้า”
มังกรเยาว์วัยคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อายุราวสามสี่ปีที่ยังอยู่ในวัยเตาะแตะอยู่
เมื่อเห็นว่ามนุษย์พวกนั้นเดินเข้ามาหาเขา เด็กชายตัวน้อยก็น้ำตาแตกแล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
ถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็กแต่เขาก็รู้ว่าคนพวกนี้จะเอาตัวเขาไปทำไม แขนของเขาสะบัดดิ้นอย่างควบคุมไม่ได้พลันน้ำตาก็ไหลอาบใบหน้า
“ไม่นะ!” สตรีที่ถูกมัดอยู่ข้างๆ เด็กชายตัวน้อยตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนก นางเริ่มร้องไห้อย่างใจสลาย “อย่าแตะต้องบุตรของข้านะ! ถ้าเจ้าจะสังหารก็สังหารข้าเถอะ อย่าสังหารบุตรข้าเลย! ข้าขอร้อง! บุตรของข้ายังเล็กอยู่เลย ไว้ชีวิตเขาด้วย!”
แม้ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยจะเต็มไปด้วยน้ำตา และมารดาของเด็กน้อยจะอ้อนวอนพวกเขาเพียงใด แต่ว่ามนุษย์พวกนั้นก็ไม่สนใจ พวกเขาทำราวกับว่าเด็กชายตัวน้อยไม่ต่างอะไรจากสัตว์ที่เลี้ยงไว้เพื่อรอเชือด
สุดท้ายเด็กชายตัวน้อยก็ถูกอวี๋เทียนอุ้มขึ้นมา ดวงตาของเขาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา และร่างเล็กๆ ของเขาก็สั่นสะท้าน
“เด็กน้อย เจ้าถึงเวลาตายแล้ว!” เฝิงหย่งชิงก้าวเท้าเข้ามาแล้วคว้าคอเสื้อตัวเด็กชายขึ้นก่อนจะลากเด็กคนนั้นไปกับเขา “แต่เจ้าจำเอาไว้ว่า คนที่ทำให้เจ้าต้องตายไม่ใช่ข้า แต่เป็นอวิ๋นลั่วเฟิง!”
พรึบ!
พูดจบเฝิงหย่งชิงก็ชักกระบี่ยาวของเขาออกมา กระบี่ส่องแสงเย็นเยียบแล้วสะท้อนเป็นภาพใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กชายตัวน้อยยิ่งทำให้ดูเย็นเยียบและไร้หัวใจกว่าเดิม
“พอได้แล้ว!” หลงเหยียนลืมตาที่เป็นประกายเย็นชาขึ้น “ข้าแข็งแกร่งเป็นรองแค่หัวหน้าเผ่ามังกรบรรพบุรุษ ถ้าเจ้าอยากจะสังหารใครสักคนก็สังหารข้าดีกว่า อย่าได้แตะต้องเด็กๆ ในเผ่าของพวกเรา!”
“สังหารเจ้างั้นหรือ” เฝิงหย่งชิงส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “ไม่ต้องห่วง ยังไงเจ้าก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความตาย! ข้าไม่ชอบสังหารเหยื่อที่ไม่กลัวตาย! กลับกันข้าชอบสีหน้าของเด็กชายตัวน้อยผู้นี้จริงๆ …”
เขาสังเกตใบหน้าหวาดกลัวของเด็กชายตัวน้อย แล้วรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาก็ลึกขึ้น
เพราะว่าความหวาดกลัวหนักหนาในใจทำให้เด็กชายตัวน้อยไม่อาจเปล่งเสียงร้องได้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อมองปีศาจอย่างเฝิงหย่งชินที่อยู่ตรงหน้าเขา…
หลงเหยียนตัวสั่นสะท้าน แต่สุดท้ายก็หลับตาอย่างอับจนหนทางเพราะไม่กล้าพอจะดูฉากโหดร้ายตรงหน้า แต่ว่าความเกลียดชังในหัวใจของเขาก็เพิ่มขึ้นราวกับว่ามีเพลิงแค้นถูกจุดขึ้นในใจ…
ตอนที่ 2141 อวิ๋นลั่วเฟิงมาทันเวลาพอดี (1)
“ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงยังไม่ปรากฏตัวตอนที่ข้านับหนึ่งถึงสามจบ ข้าสาบานเลยว่าข้าจะย้อมพื้นให้แดงฉานด้วยเลือดของเด็กน้อยเผ่ามังกรบรรพบุรุษของพวกเจ้า!” เฝิงหย่งชิงเงื้อกระบี่ยาวในมือของตัวเองขึ้น ใบหน้าของเขาเย็นชามาก และดวงตาเดือดดาลของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซีดเผือดของเด็กน้อยตรงหน้า ในใจของเขาไม่ได้รู้สึกสงสารเด็กชายตัวน้อยคนนี้เลยแม้แต่น้อย
“หนึ่ง…”
“สอง…”
“สาม!”
เขานับเลขช้าๆ แต่เสียงของเขาหนักแน่นราวกับค้อนขนาดมหึมา
เสียงร้องไห้ของมารดาของเด็กน้อยยิ่งขมขื่น นางพยายามจะทำให้เชือกหลุดออกจากร่างกาย ความสิ้นหวังในดวงตาของนางทำให้คนที่เห็นหัวใจสลาย
อวี๋เทียนมองพวกเขาอย่างเย็นชาแล้วพูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องรอแล้ว สังหารเขาซะ”
พวกเขาก็เป็นแค่มังกรบรรพบุรุษ ในสายตาของมนุษย์แล้ว มังกรกับสัตว์อสูรมีอะไรแตกต่างกันล่ะ
เฝิงหย่งชิงไม่อยากเสียเวลากับมังกรบรรพบุรุษพวกนี้อีกต่อไป เขาจึงเงื้อมือขึ้นกลางอากาศแล้วจากนั้นกระบี่ยาวในมือของเขาก็ฟันลงมาที่ศีรษะของเด็กชายตัวน้อย…
เด็กชายตัวน้อยหวาดกลัวจนลืมแม้กระทั่งร้องไห้ ดวงตาไร้เดียงสาของเขาสะท้อนภาพกระบี่ยาวที่กำลังจะโจมตีเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ตอนนั้นเองโลกทั้งใบก็เงียบสนิท
มารดาของเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพริบตาต่อมาจะเกิดอะไรขึ้นและสลบเหมือดล้มลงกับพื้นด้วยเสียงอันดัง สมาชิกในเผ่าคนอื่นก็ไม่มีใจจะดูแลนางและอดไม่ได้ที่จะหลับตาเพราะฉากโหดร้ายตรงหน้าด้วยร่างที่สั่นเทิ้มอย่างแรง….
พวกเขาตัวสั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาหวาดกลัว แต่เป็นเพราะว่าหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชังต่อมนุษย์เหล่านี้! ตราบใดที่พวกเขามีโอกาส พวกเขาสาบานเลยว่าพวกเขาจะทรมานมนุษย์ที่บุกรุกเผ่ามังกรบรรพบุรุษพวกนี้ให้ทารุณที่สุดทำที่พวกเขาจะทำได้ และจะทำให้อีกฝ่ายต้องตายอย่างน่าอดสู!
เคร้ง!
ทันใดนั้น กระบี่ยาวในมือของเฝิงหย่งชิงก็ดูเหมือนจะถูกโจมตีอย่างแรงโดยพลังแข็งแกร่งสายหนึ่งแล้วถูกหยุดไว้กลางอากาศ ตอนนั้นเองจู่ๆ ร่างหนึ่งในชุดคลุมยาวสีดำก็ปรากฏตัวในอากาศแล้วก็พุ่งเข้าใส่เฝิงหย่งชิงจนเกิดเสียงดัง…
เมื่อโดนโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เฝิงหย่งชิงก็หรี่ดวงตาชั่วร้ายของเขาเล็กน้อย ทว่าแทนที่เขาจะป้องกันตัวกลับก้าวไปข้างหน้าพร้อมยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
ตูม!
ความทรงพลังถูกปลดปล่อยออกจากร่างกายของพวกเขา ตอนนั้นเองจู่ๆ สายลมก็พัดขึ้นมาแล้วชายผ้าคลุมสีดำของบุรุษผู้นี้ก็สะบัดไปตามสายลมอย่างแรง บุรุษในชุดคลุมสีดำยืนนิ่งกลางสายลมและใบหน้าก็ยิ่งดูเย็นชา
ขณะเดียวกัน…
เด็กชายตัวน้อยที่อยู่ระหว่างความเป็นความตายก็ถูกแขนข้างหนึ่งดึงเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น
ความปิติที่รอดชีวิตทำให้เด็กชายตัวน้อยอ้าปากอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ระเบิดน้ำตาออกมาแล้วร้องไห้เสียงดัง เขาออกจากอ้อมแขนของสตรีในชุดสีขาวแล้ววิ่งไปหามารดาของเขาที่ยังคงถูกมัดอยู่…
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความดีใจของบุตรชายของนาง มารดาของเด็กน้อยก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นลูกน้อยมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างปลอดภัย
“ในที่สุดเจ้าก็มา!” อวี๋เทียนจ้องอวิ๋นลั่วเฟิงและอวิ๋นเซียวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ความเย่อหยิ่งและความเหยียดหยามพาดผ่านใบหน้าชรา “ข้าคิดว่าเจ้าจะกลัวจนไม่กล้ามาที่เผ่ามังกรบรรพบุรุษแล้วเสียอีก แต่ข้าก็แปลกใจที่เจ้ามาจริงๆ …”
เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงและอวิ๋นเซียวปรากฏตัว พวกเขาก็พาหงหลวนและอวิ๋นชิงหย่ารวมถึงยอดฝีมือแข็งแกร่งในแคว้นเจ็ดเมืองมาด้วย พวกเขาไม่ได้สนใจอวี๋เทียนและสหายของเขาแต่รีบเข้าช่วยมังกรบรรพบุรุษที่ยังถูกมัดอยู่
“ท่านลุงหลงเหยียน”
หลงหลัววิ่งไปข้างหน้าและดวงตาโตสดใสของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตา “ท่านรู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าอยู่ที่ไหน”
“คุณหนู ท่านไม่ควรกลับมา” หลงเหยียนมองนางแล้วถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าตอนนี้บิดาของท่านจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ท่านไม่ต้องไม่ห่วงเขา”
ถึงแม้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะแข็งแกร่งแล้วอย่างไร พวกเขาไม่สามารถต่อต้านอวี๋เทียนและคนของเขาได้ ต่อให้พวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม
การกลับมาที่เผ่ามังกรบรรพบุรุษก็เท่ากับรนหาที่ตาย!
“ผู้อาวุโสหลงเหยียน ได้โปรดเก็บพลังไว้และไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ข้าพาคนมาหาทางช่วยท่านแล้ว” หลงหลัวพูดเบาๆ ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา
เชือกที่เคยมัดมังกรบรรพบุรุษทำจากวัสดุพิเศษ เชือกประเภทนี้สามารถจำกัดพลังของมังกรบรรพบุรุษได้ เมื่อพวกเขาถูกมัดด้วยเชือกประเภทนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถปลดมันออกด้วยตัวเองได้
อวิ๋นลั่วเฟิงมาทันเวลาพอดี (2)
ดังนั้นถึงแม้ว่าหลงเหยียนจะเป็นคนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในเผ่ามังกรบรรพบุรุษ เขาก็ไม่สามารถแตะต้องเชือกนี้ได้เหมือนกัน และมีแต่มนุษย์พวกนี้เท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยพวกเขาจากเชือกนี้ได้
ไม่นานหลังจากนั้น สมาชิกทั้งหมดของเผ่ามังกรบรรพบุรุษก็ถูกแก้มัด
อวิ๋นลั่วฟิงหันหลังให้คนกลุ่มนี้แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “หลงหลัว พาคนจากเผ่ามังกรบรรพบุรุษไปช่วยหัวหน้าเผ่าของพวกเจ้า พวกเราจะจัดการคนพวกนี้เอง!”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินไปข้างหน้าช้าๆ แล้วมองอวี๋เทียน มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้ายกาจเย็นชา
“อวี๋เทียน วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าส่งคนไปที่แคว้นเจ็ดเมืองและสังหารคนไปมากมาย แต่ไม่เคยคิดว่าตนจะได้รับกรรมตามสนองจากสิ่งที่ทำใช่หรือไม่”
“ฮะๆ!” อวี๋เทียนหัวเราะอย่างเฉยชา “กรรมตามสนองงั้นหรือ ในโลกใบนี้ ข้า อวี๋เทียนเป็นพระเจ้า ใครก็ตามที่ข้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้าก็ต้องโดนลงลงทัณฑ์!”
“อวี๋เทียน ข้าอยากประลองกับเจ้า! เจ้าคิดว่าอย่างไร”
อวิ๋นลั่วเฟิงรู้สึกไม่อยากเสียเวลาไปอวี๋เทียนดังนั้นนางจึงพูดอย่างแน่วแน่
“ก็ได้ ข้ารับคำท้าของเจ้า”
อวิ๋นเซียวพยักหน้าเล็กน้อยแล้วย้ายสายตาไร้ปรานีของเขาไปยังอีกสี่คนที่อยู่ที่นี่
พรึบ!
ทันทีที่เขาพยักหน้า อวิ๋นลั่วเฟิงก็เรียกเกราะเกล็ดมังกรออกมา เกราะเกล็ดมังกรปกคลุมร่างของนางทันทีแล้วส่องแสงภายใต้แสงอาทิตย์ที่สุกสว่าง
“ข้าต้องบอกว่าเจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปไปแล้ว!”
อวี๋เทียนยิ้มเยาะและเขาก็รีบพุ่งไปที่ใบหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงทันที เขาต่อยเข้าที่ร่างกายของนางอย่างแรงจนเกิดเป็นสายลมกระโชก
อวิ๋นลั่วเฟิงขยับหลบการโจมตีของเขาไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่เกือบจะในเวลาเดียวกันอวี๋เทียนก็ปล่อยการโจมตีไปที่นางอีกครั้ง…
เฝิงหย่งชิงแลกเปลี่ยนสายตากับอีกชายชราอีกสองคนที่เหลือแล้วพุ่งเข้าหาอวิ๋นลั่วเฟิง แต่ว่า…
ทันทีที่ทั้งสามขยับ อวิ๋นเซียวก็หยุดพวกเขาไว้
ในตอนนั้นเองท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มหม่นหมอง ลมพายุพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า เมฆเคลื่อนที่ไปมาอย่างปั่นป่วน ก่อนฟ้าผ่าและฟ้าร้องจะส่งเสียงกัมปนาท
“อวิ๋นเซียว!”
เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงเห็นอวิ๋นเซียวเผชิญหน้ากับบุรุษแข็งแกร่งทั้งสามตามลำพัง ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดทันที เมื่อนางพยายามจะพูดบางอย่าง นางก็ถูกก่อกวนโดยการโจมตีของอวี๋เทียน
การที่ทั้งสามเป็นผู้คุมกฎของแผ่นดินนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าความแข็งแกร่งของพวกเขามีมากกว่าตระกูลหลิงและคนอื่นๆ!
อวิ๋นลั่วเฟิงต้องสู้กับอวี๋เทียนที่อยู่ตรงหน้าด้วยพลังทั้งหมดของนาง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหันไปสนใจอวิ๋นเซียวได้…
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาจะได้เปรียบอวิ๋นเซียว ถึงแม้ว่าอวิ๋นเซียวจะแข็งแกร่งมาก แต่ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าเขา อีกอย่างเขายังต้องสู้กับคนทั้งสามเพียงคนเดียว! ในหัวของอวิ๋นลั่วเฟิงเต็มไปความคิดมากมายจนนางรู้สึกหนักใจ
ทันทีนางเสียสมาธิ หมัดของอวี๋เทียนก็โจมตีนางอย่างแรงจนทำให้นางถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วเลือดก็พุ่งขึ้นมาถึงลำคอ
…
ชายชราทั้งสี่ยังพายอดฝีมือแข็งแกร่งมากับพวกเขาด้วย และคนพวกนี้ก็เริ่มต่อสู้กับคนจากแคว้นเจ็ดเมืองเมื่อครู่ บรรยากาศของแท่นบูชาในเผ่ามังกรบรรพบุรุษจึงเต็มไปด้วยความตึงเครียด
อวิ๋นลั่วเฟิงมองอวิ๋นเซียวด้วยหางตา ถึงแม้ว่าอวิ๋นเซียวจะไม่เปลี่ยนสีหน้าแต่นางยังเห็นว่าเขารับมือคนทั้งสามในเวลาเดียวกันอย่างยากลำบาก!
“สาวน้อย เจ้ากล้าไม่มีสมาธิตอนที่กำลังต่อสู้กับข้าได้อย่างไร” อวี๋เทียนยกยิ้มเหยียดหยาม ร่างของเขาพุ่งมาปรากฏทางด้านหลังของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาโบกมือเพื่อโจมตีนาง การโจมตีที่รุนแรงของเขาเต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทาน
อวิ๋นลั่วเฟิงรีบหมุนตัวพุ่งไปหาอวี๋เทียนขณะฝ่ามือของอวี๋เทียนกำลังจะถูกตัวนางราวกับมีตาอยู่ด้านหลังศีรษะ
ตูม!
พลังแข็งแกร่งโจมตีถูกหน้าอกของนางอย่างแรง แต่เท้าของนางยังตรึงอยู่กับพื้นที่เดิมไม่ไปไหน
“เฟิงเอ๋อร์!” อวิ๋นชิงหย่าจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นลั่วเฟิงและอวิ๋นเซียว เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเสียเปรียบจึงเริ่มวิตก จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างกังวลว่า “ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ”