ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 2195 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (36) / ตอนที่ 2196 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (37)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 2195 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (36) / ตอนที่ 2196 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (37)
ตอนที่ 2195 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (36)
ผู้คนหวั่นกลัวเพราะอวิ๋นลั่วเฟิง พวกเขาหยุดพูดและพากันนั่งลงเงียบๆ
อวิ๋นลั่วเฟิงโยนเมนูอาหารลงบนโต๊ะ “ฉันเพิ่งได้ยินในโทรศัพท์เมื่อกี้ว่า พวกเธอจะหารกันออกเงินสำหรับงานปาร์ตี้ชั้นเรียนครั้งนี้ ใช่มั้ย”
ริมฝีปากของพวกนักศึกษาขยับเป็นรอยยิ้ม
พวกเขาพูดอย่างนั้นก็เพื่อหลอกฟู่ฉิงต่างหากเล่า พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะหารกันตั้งแต่ต้นแล้ว
แต่ถึงยังไง พวกเขาก็ออกเงินไปก่อนแล้วค่อยขอให้หลินฉีโอนเงินมาให้หลังจากแยกย้ายกลับบ้านก็ได้
“เราพูดกันชัดเจนแล้วว่าจะหารกันน่ะค่ะ ถ้าคุณอยากจะร่วมงานปาร์ตี้ครั้งนี้ด้วย ฉันเกรงว่า…ฟู่ฉิงจะต้องจ่ายมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย” ผังจื่อเยว่ช่วยอธิบายพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ต้องรอหนานกงหรอก สั่งอาหารกันเลยเถอะ”
อวิ๋นลั่วเฟิงกวาดตาดูเมนู ก่อนจะสั่งบรรดาอาหารราคาจานแพงที่สุดมา
ทุกครั้งที่เธอเอ่ยชื่ออาหาร หลินฉีก็ต้องนิ่วหน้า แววสงสัยผุดขึ้นในดวงตา
เขาไม่ค่อยได้มาที่ภัตตาคารชุนหยวนเสวี่ยบ่อยนัก จะมาก็แค่ปีละไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่ออาหารที่อวิ๋นลั่วเฟิงสั่งเลยซักอย่าง
ยังไงก็ตาม…
ถึงแม้ว่าอาหารของภัตตาคารชุนหยวนเสวี่ยจะราคาสูง แต่เขาก็มีปัญญาจ่าย ชายหนุ่มจึงไม่ได้พูดอะไร
“อาจารย์คะ ดื่มอะไรดีคะ” อวิ๋นลั่วเฟิงหันไปหาฟู่หรู
ฟู่หรูลังเล เมื่อคิดถึงยอดเงินที่เหลืออยู่ในธนาคารแล้ว เขาก็ส่ายหน้าในที่สุด
“อาจารย์คะ หนานกงบอกฉันว่าไวน์ของที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว เราสั่งกันมาคนละขวดนะคะ” ราวกับไม่สังเกตเห็นท่าทีของฟู่หรู อวิ๋นลั่วเฟิงก็เอ่ยชื่อไวน์แดงและบอกว่า “เท่านี้แหละจ้ะ ขอบใจ”
“โอเค โปรดรอซักครู่นะครับ อาหารจะมาเสิร์ฟในไม่ช้า”
พนักงานเสิร์ฟโค้งให้อย่างนอบน้อมก่อนจะเดินออกนอกประตูไป
ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกผลักให้เปิดออกอีกครั้ง หนานกงอวิ๋นอี้และหงหลวนก็เดินจูงมือกันเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นว่าในห้องอัดแน่นไปด้วยผู้คนเต็มไปหมด ก็พากันตกตะลึง
“หนานกง เจ้ารู้จักฟู่ฉิงแล้ว ส่วนคนพวกนี้…เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอน่ะ”
น้ำเสียงของอวิ๋นลั่วเฟิงดูจะยิ่งเย็นชาเมื่อแนะนำคนเหล่านี้ หนานกงอวิ๋นอี้จึงรู้ได้ทันทีว่านางไม่ชอบคนพวกนี้และกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“เพื่อนนักเรียนของเสี่ยวฉิงเองเหรอ ท่าทางจะนิสัยไม่ค่อยดีสินะ”
ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ชอบหน้าใครละก็ หนานกงอวิ๋นอี้ก็จะพาลไม่ชอบด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลังจากได้เจอนักศึกษาเหล่านี้ ชายหนุ่มจึงอดดูแคลนพวกเขาไม่ได้
“นี่นาย…” หลินฉีเริ่มมีน้ำโหอีก แต่คนที่อยู่ข้างเขาดึงแขนเสื้อเอาไว้เป็นการเตือนสติไม่ให้หุนหันพลันแล่น
“ฉันรู้จักผู้ชายคนนี้ เขาคือหนานกงอวิ๋นอี้ เขาเข้ามาเรียนที่คณะของเราเมื่อหลายปีก่อนหน้าพวกเรา เขามีฝีมือในการต่อสู้มาก ฉันว่าเขาน่าจะเอาชนะพวกเราได้ทุกคนเลยละ”
ข่าวการระเบิดที่มหาวิทยาลัยหวาเซี่ยถูกปิดข่าวเอาไว้ ทำให้ไม่มีคนล่วงรู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริง นักศึกษาเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าหนานกงอวิ๋นอี้คือคนที่หายสาบสูญไปเมื่อห้าปีก่อน…
“อ๊าย!” อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องดังขึ้น
ทุกคนหันไปมาที่มาของเสียง แล้วก็ได้เห็นผังจื่อเยว่ที่กำลังหน้าซีดเหงื่อซึม ยืนจ้องหงหลวนอย่างโกรธจัดขณะที่กัดริมฝีปากของตัวเอง
หงหลวนชักขากลับมาและเอ่ยขอโทษว่า “โทษที ข้าไม่ทันเห็นเท้าเจ้าน่ะก็เลยเผลอเหยียบเข้าให้ ขอโทษก็แล้วกันนะ”
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้อง หงหลวนก็สังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้เอาแต่แอบมองอวิ๋นเซียวไม่วางตา ด้วยเหตุนี้…นางจึงอดไม่ได้ที่จะจงใจเหยียบเท้าพร้อมส่งพลังฌานเข้าไปบางส่วนด้วย
คงพอจะนึกภาพออกสินะว่าจะเจ็บขนาดไหน ผังจื่อเยว่รู้สึกราวกับมีมีดปักลงไปบนเท้าของเธอ จนตัวสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด
ตอนที่ 2196 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (37)
ผังจื่อเยว่นึกเคือง เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้และตวาดว่า “คุณตั้งใจเหยียบนี่นา!”
หงหลวนมองตอบด้วยสายตาเย็นชา “ข้าขอโทษไปแล้วนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ถ้าจะยืนกรานว่าข้าทำไปเพราะเจตนา อีกอย่าง ดูรองเท้าข้าก่อนสิ เจ้าคิดว่าข้าจะเหยียบเท้าเจ้าได้แรงขนาดนั้นเลยเหรอด้วยรองเท้าแบบนี้น่ะ”
“นี่คุณ…”
ผังจื่อเยว่โกรธจนตัวสั่นแต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้
ส่วนคนอื่นพากันลุกขึ้นและมองดูรองเท้าของหงหลวน ซึ่งก็พบว่าเป็นเพียงรอบเท้าส้นราบแบบโบราณเท่านั้น
ไม่มีใครที่จะเจ็บขนาดนั้นหรอกถ้าโดนรอบเท้าแบบนี้เหยียบเข้า ผังจื่อเยว่ก็โวยวายจนเกินเหตุไป
ผังจื่อเยว่เองก็รู้ดีถึงข้อนี้ เธอจึงกัดริมฝีปากตัวเองแน่น “ฉันขอโทษที่เอะอะเกินเหตุไปนะคะ แต่มันเจ็บมากจริงๆ ตอนที่คุณเหยียบเท้าฉันน่ะ! ต้องขอโทษด้วยที่พูดอะไรรุนแรงไปหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หงหลวนเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นางนั่งลงและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า
“ลั่วเฟิง ข้าหิวจัง เจ้าสั่งอาหารหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวก็คงจะยกมาเสิร์ฟ”
แน่นอนว่า ทันทีที่อวิ๋นลั่วเฟิงพูดจบ พนักงานเสิร์ฟก็โผล่เข้ามาพร้อมอาหารที่สั่ง กลิ่นหอมของมันดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที ทุกคนพากันลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจไปชั่วขณะและลงมือรับประทานอาหาร บรรยากาศในการกินค่อนข้างราบรื่นทีเดียว พวกนักศึกษาไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกในระหว่างรับประทาน จะมีก็แต่เพียงสีหน้าเหยียดหยันเท่านั้นที่ผุดขึ้นมาทรยศพวกเขา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาหารทุกจานก็หมดลงในไม่ช้า
หลังจากที่อวิ๋นลั่วเฟิงเรียกบิลค่าอาหาร พนักงานเสิร์ฟก็ขานราคาค่าอาหารในมือด้วยท่าทีสบายๆ
“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง คราวนี้คุณมีค่าอาหารสี่ล้านห้าแสนหยวนครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินฉีที่กำลังเช็ดปากถึงกับกระโดดผึงอย่างตกใจ และร้องขึ้นด้วยความโกรธว่า “นี่แกล้อเล่นรึไง ฉันเคยมาที่ภัตตาคารชุนหยวนเสวี่ยนี่ตั้งหลายครั้ง ราคาอาหารแต่ละครั้งไม่เคยเกินห้าหมื่นห้าพันหยวน มาตอนนี้แกจะบอกฉันว่านี่มันราคาสี่ล้านห้าแสนหยวนงั้นเรอะ”
หากชายหนุ่มพูดเช่นนี้ที่ภัตตาคารแห่งอื่น พนักงานก็คงจะมีท่าทีดูแคลน
แต่พนักงานเสิร์ฟของที่นี่สุภาพมากและไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดเลย แต่กลับช่วยอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ท่านครับ ท่านมาที่ภัตตาคารของเราหลายครั้งก็จริง แต่ทุกครั้งท่านจะรับประทานที่ห้องธรรมดา ซึ่งราคาอาหารจะถูกกว่ามาก ต่อให้สั่งอาหารจานที่ดีที่สุดและไวน์ราคาแพงที่สุด ค่าอาหารก็ไม่มีทางเกินแสนหยวนอย่างแน่นอน แต่ว่านี่เป็นห้องวีไอพี และอาหารที่นี่ก็แตกต่างจากที่ห้องธรรมดา”
หลินฉีหน้าซีดเผือด แน่ละว่าอาหารที่นี่ถูกปรุงอย่างประณีตยิ่งกว่าและโอชะยิ่งกว่าที่เขาเคยกินมาก่อน แต่ราคานั่น…มันสูงเกินไปมาก
“ท่านครับ มีอาหารทั้งหมดสามสิบจาน ราคาของไวน์ต่อขวดคือหนึ่งแสนหยวน แค่เฉพาะไวน์อย่างเดียวก็เป็นเงินสามล้านแล้วนะครับ”
หลินฉียิ่งตัวสั่นหนักขึ้นไปอีก
ไวน์ขวดละแสนหยวนงั้นรึ นี่เขาดื่มเงินเข้าไปหรือไง!
ชายหนุ่มคนหนึ่งผุดลุกขึ้น “หลินฉี ฉันไม่สนหรอกนะ นายบอกว่าคราวนี้นายจะเป็นคนเลี้ยง เพราะงั้นฉันจะไม่ยอมจ่ายค่าอาหารมื้อนี้แม้แต่แดงเดียว”
“หุบปากนะ!” หลินฉีตาแดงก่ำ ตะโกนลั่นอย่างโกรธจัด “นั่นมันเงินเป็นล้านนะโว้ย ไม่ใช่สองสามหยวน ฉันจะไปหาเงินตั้งหลายล้านหยวนมาจากไหน เราต้องช่วยกันหาร! ฉันจะไม่ยอมออกเงินให้นายแน่!”
“ใจเย็นก่อน” ผังจื่อเยว่เอ่ยเบาๆ กัดริมฝีปากล่าง “เราน่าจะถูกหลอกมากกว่า ไวน์แค่ขวดเดียวทำไมถึงได้แพงนัก ด้วยเงินขนาดนี้นี่เราแทบจะซื้อรถได้เลยนะ”