ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 2219 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (60) / ตอนที่ 2220 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (61)
- Home
- ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ
- ตอนที่ 2219 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (60) / ตอนที่ 2220 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (61)
ตอนที่ 2219 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (60)
ตอนนั้นนางยังเด็กมาก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลับกลายเป็นบาดแผลลึกที่ไม่มีวันลบเลือนจากใจได้
“เฟิงเอ๋อร์” อยู่ๆ อวิ๋นเซียวก็ดึงอวิ๋นลั่วเฟิงเอาไว้และใช้สายตาส่งสัญญาณไปยังบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า
อวิ๋นลั่วเฟิงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะมองตามสายตาของเขาไป แล้วนางก็ได้เห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังมองหาบางอย่างกันอยู่ที่มุมถนนไม่ไกลออกไปนัก สีหน้าของทั้งคู่ดูสับสนหลงทาง ราวกับว่าพวกเขาไม่อาจหาทางออกไปจากที่นี่ได้ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ร่างของทั้งคู่โปร่งใสมองทะลุได้
อวิ๋นลั่วเฟิงเม้มปากแน่น น้ำตาไหลพรากลงอาบน้ำ ตัวเริ่มสั่นระริก ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นเซียวคอยรั้งนางเอาไว้ละก็ บางทีนางอาจจะล้มลงไปแล้ว
ในที่สุดอวิ๋นลั่วเฟิงก็สงบสติอารมณ์ลงได้ และค่อยๆ เดินเข้าไปหาชายหญิงคู่นั้นอย่างช้าๆ นางพูดเสียงแผ่วเบาด้วยกลัวว่าจะทำให้พวกเขาตกใจ “พวกท่านกำลังมองหาอะไรกันหรือคะ”
เมื่อได้ยินอวิ๋นลั่วเฟิง ผู้ชายก็หันมามองหน้านาง เห็นได้ชัดว่าเขาจำนางไม่ได้และจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ “ผมกำลังมองหาลูกสาวของผมน่ะ คุณเห็นเธอบ้างไหม”
อวิ๋นลั่วเฟิงเริ่มร้องไห้อีกครั้ง นางกัดริมฝีปากแน่น “หนูเคยพบเธอค่ะ”
“จริงเหรอ” ชายคนนั้นแทบจะอยากคว้าอวิ๋นลั่วเฟิงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น แต่มือเขากลับคว้าทะลุร่างของนางไป อย่างไรก็ตาม ชายผู้นั้นกลับไม่สังเกตเห็น “คุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าลูกสาวของผมอยู่ไหน พวกเราตามหาเธอมานานแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยกลับมาเลย”
อวิ๋นลั่วเฟิงหน้าซีดเผือด “พวกคุณตามหาเธอมาโดยตลอดเลยหรือคะ”
“ลูกสาวผมไม่ใช่คนกล้าเท่าไหร่ เธอมักจะขี้กลัวเวลาที่ข้างนอกเริ่มมืด เธอกินยาก แล้วก็จะยอมกินแต่อาหารที่แม่เธอทำเท่านั้น ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว ผมเป็นห่วงว่าเธอได้กินข้าวหรือยัง…ท่าทางของเธอดูอ่อนแอแล้วก็น่ารังแกได้ง่าย ผมอยากจะตามหาเธอให้เจอเพื่อที่จะได้คอยปกป้อง ผมเป็นห่วงลูก”
“โอ๊ย!” ผู้หญิงอีกคนร้องขึ้น “มืดค่ำป่านนี้แล้ว คุณรอลูกไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปทำกับข้าวก่อน”
เมื่อพูดจบ หญิงผู้นั้นก็เดินทะลุกำแพงไปยังห้องครัว แต่ว่าในบ้านแบบนี้จะมีอาหารอะไรได้ล่ะ เพียงไม่นาน ผู้หญิงคนเดิมก็ลอยละล่องกลับออกมาและถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวว่า “ตาแก่อวิ๋น อาหารไปไหนหมดน่ะ สันคอหมูกับกุ้งตั๊กแตนที่ฉันซื้อมาอยู่ที่ไหน”
อวิ๋นลั่วเฟิงกำหมัดแน่น นางจำได้ดีว่าก่อนที่พ่อและแม่จะเสียชีวิต พวกเขาเตรียมโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว และมีของที่นางโปรดปรานอย่างสันคอหมูและกุ้งตั๊กแตนที่บรรจงทำเตรียมไว้ด้วย
ตอนนี้ ความทรงจำของพวกเขาติดชะงักอยู่ในค่ำคืนวันที่ตาย แต่พวกเขาก็จำได้ว่ากำลังเฝ้ารอนาง พวกเขายังคงตามหานางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“พ่อคะ แม่คะ!” อวิ๋นลั่วเฟิงไม่สามารถสะกดอารมณ์ตัวเองได้อีกต่อไป น้ำตาไหลอาบพรั่งพรูลงบนใบหน้าไร้สีเลือดจนเปียกชุ่มไปทั่ว
ชายผู้นั้นสะดุ้ง “นี่คุณคือ เฟิงเอ๋อร์งั้นรึ ตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมถึงได้โตเร็วอย่างนี้ล่ะ”
“คุณพ่อ คุณแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ตอนนี้หนูกล้าหาญขึ้นแล้ว หนูโตพอที่จะไม่กลัวความมืดอีกต่อไปแล้ว แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าหนูจะหิวนะคะ นี่คือลูกเขยของพ่อกับแม่ เขาทำอาหารเป็นแล้วก็เก่งมากด้วย เขาคอยดูแลหนูเป็นอย่างดี พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงว่าหนูจะโดนรังแกอีก ตั้งแต่หนูจากไปปีนั้น ก็ไม่มีใครมารังแกหนูได้อีก”
เสียงของอวิ๋นลั่วเฟิงสั่นระริก นางต้องกัดริมฝีปากเพื่อเค้นคำพูดแต่ละคำให้ออกมาได้อย่างยากเย็น
“ตาแก่อวิ๋น ฉันจำได้แล้วละ นี่คุณลืมไปแล้วรึไง” เสียงของผู้หญิงลอยละล่องมาฟังดูน่าขนลุก
“พวกเราตายแล้วไงล่ะ เราถูกใครบางคนฆ่า…”
ตอนที่ 2220 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (61)
สีหน้าของชายผู้นั้นว่างเหล่า และเอ่ยขึ้นอย่างยังงุนงงว่า “จริงสินะ มันเกิดเรื่องแบบนั้นนี่นา พวกเราตายแล้ว แล้วลูกสาวของเราล่ะ ลูกยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า”
“โอ้ จริงสิ” เหมือนจะนึกได้ ชายผู้นั้นหันมามองอวิ๋นลั่วเฟิง “หนูบอกว่าหนูเป็นลูกสาวของเรา แล้วนี่พวกเราตายกันมากี่ปีแล้วล่ะนี่”
ความเจ็บปวดแล่นเข้าจับหัวใจของอวิ๋นลั่วเฟิง “ยี่สิบปีแล้วค่ะ”
“ตั้งยี่สิบปีแล้วหรือนี่” ชายผู้นั้นทำท่าเหมือนกำลังหวนนึกถึงอดีต รอยยิ้มผุดขึ้นบนสีหน้า “เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน นี่ตั้งยี่สิบปีแล้วหรือนี่…ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมลูกสาวของเราถึงได้โตขนาดนี้”
เสียงของเขาเจือด้วยความท้อแท้ เสียใจ และ…เจ็บปวดยิ่งนัก
“นี่หนูคือ…เสี่ยวเฟิงเอ๋อร์จริงๆ หรือนี่” ผู้หญิงลอยเข้ามาหาอวิ๋นลั่วเฟิงก่อนที่จะหันไปมองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างนาง “นี่คือสามีของหนูเหรอ”
“คุณแม่” อวิ๋นลั่วเฟิงอยากจับมือมารดาไว้เหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจทำได้ นางจึงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมาว่า “ได้โปรดรอหนูก่อน หนูจะหาทางคืนชีพให้พวกท่าน! หนูจะต้องทำให้ได้ เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ ออกมาเถอะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงเรียก ก็บังเกิดแสงสว่างขึ้น แล้วร่างของเสี่ยวโม่ก็โผล่ขึ้นมาในอากาศ
เขาเอียงคอมองอวิ๋นลั่วเฟิง “นายท่าน ท่านอยากให้ข้าช่วยคิดหาวิธีคืนชีพให้สองท่านนี้ใช่ไหม”
“ใช่ ในคัมภีร์เซียนโอสถมีวิธีการคืนชีพให้พวกเขาเขียนเอาไว้รึเปล่า”
“อืม…” เสี่ยวโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ที่นี่คือหวาเซี่ยไม่ใช่แคว้นเจ็ดเมือง มีหลายวิธีที่เราสามารถใช้ที่แคว้นเจ็ดเมืองได้ แต่ใช้ที่หวาเซี่ยนี่ไม่ได้”
ลำพังแค่ยังสามารถใช้พลังที่เคยใช้ได้ในหวาเซี่ยนี่ก็นับว่าดีมากแล้ว แต่ถ้าพวกเขาอยากจะคืนชีพให้ใครสักคนละก็ พวกเขาไม่สามารถทำได้ด้วยพลังฌานที่มีอยู่ในหวาเซี่ย
“เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่สามารถคืนชีพให้พ่อกับแม่ของข้าได้งั้นรึ แล้วถ้าเราพาพวกท่านกลับไปยังแคว้นเจ็ดเมืองล่ะ”
“ถ้าท่านไม่กลัวว่าวิญญาณของพวกเขาจะกระจายหายไปละก็ เราจะลองดูก็ได้…”
พูดอีกอย่างก็คือ เธอไม่อาจคืนชีพให้พ่อและแม่ในหวาเซี่ยได้นั่นเอง
“อีกอย่าง ศพของพวกเขาก็น่าจะเน่าเปื่อยไปจนหมดแล้วด้วยเวลาที่นานขนาดนี้ ใครจะรู้ว่าพวกเขาตายมากี่ปีแล้ว เราไม่มีทางที่จะคืนชีพให้พวกเขาได้แน่” เสี่ยวโม่พูดต่อ
เหตุผลที่อวิ๋นลั่วเฟิงสามารถคืนชีพให้หงหลวนได้ก่อนหน้านี้ ก็เพราะว่าศพของหงหลวนถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ พลังฌานในหวาเซี่ยนี้ยังอ่อนกำลังอย่างมาก ต่อให้มีศพอยู่ ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการคืนชีพให้พวกเขาอยู่ดี
“เสี่ยวเฟิงเอ๋อร์…” พ่อของนางเข้าใจ เขาส่ายหน้าและพูดว่า “แค่พ่อกับแม่ได้พบหน้าหนูเป็นครั้งสุดท้าย และรู้ว่าหนูมีความสุขดีก่อนที่เราจะจากไปเราก็ดีใจมากแล้ว เราไม่ต้องการอะไรอื่นอีก เราสามารถลงไปยังยมโลกได้อย่างสบายใจแล้ว”
หลังจากเสียชีวิต ด้วยปรารถนายังไม่สมหวังทำให้พวกเขายังคงล่องลอยอยู่ในโลกแห่งความตาย แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้สมปรารถนาแล้ว ก็ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องไป…
“ยังไงก็ตาม พ่ออยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าแม่ของหนูและตัวพ่อเอง ใครกันที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องพลัดพรากจากกันแบบนี้”
อวิ๋นลั่วเฟิงมองดูสีหน้าเศร้าหมองของบิดาและตอบว่า “อวิ๋นเทียนฉี…”
…
เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงเตรียมตัวจะกลับ นั่นก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว นางรู้สึกอ่อนเพลียไปหมดราวกับว่าพลังงานในร่างถูกดูดไปจนหมดสิ้น
อวิ๋นเซียวประคองเอวนางไว้แน่น “เฟิงเอ๋อร์ เชื่อข้านะ ข้าจะคิดหาทางให้ได้”
เชื่อข้านะ…
สีหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงเปลี่ยนไป นางยิ้มออกมาอย่างอ่อนเพลีย “อันที่จริงแล้ว ข้าควรจะรีบมาที่นี่เสียตั้งแต่กลับมาถึงหวาเซี่ย เพื่อที่พ่อและแม่ของข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ารอข้าอีกตั้งหนึ่งปี…
…แต่ว่าที่นี่เป็นเหมือนฝันร้ายในวัยเด็กของข้า ถ้าเราไม่ได้กำลังจะไปจากหวาเซี่ย บางทีข้าอาจจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีกเลย แล้วข้าก็จะไม่ได้รู้ว่า คุณพ่อและคุณแม่ยังคงตามหาข้ามาโดยตลอดและไม่เคยจากไปไหน”
เมื่อครั้งที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ อวิ๋นลั่วเฟิงมีความสุขอย่างมาก นางเติบโตขึ้นมาโดยได้รับการทะนุถนอมปกป้องเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในคืนหนึ่งเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ได้กลายเป็นฝันร้ายชั่วนิรันดร์ของนาง เหตุการณ์ในคืนนั้นไม่อาจลืมเลือนได้จนถึงวันนี้…