วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 1248 นายแพ้ฉันแล้ว
เฉินจิ้งหรงจึงติดต่อช่างกล้องและวางกับดักหลี่เซิ่งหยวน
ช่างกล้องคนนั้นรู้ว่าหลี่เซิ่งหยวนกลับมาทำงานได้แล้ว เขาจึงยินดีที่จะร่วมมือกับเฉินจิ้งหรง จึงบอกหลี่เซิ่งหยวนว่าเขาตกลงยอมให้อีกฝ่ายร่วมแสดงภาพยนตร์ของเขาและส่งที่นัดพบให้
คืนถัดมาหลี่เซิ่งหยวนมาปรากฏตัวตรงเวลา ทว่าทันทีที่เขามาถึงสถานที่ถ่ายทำก็เห็นเฉินจิ้งหรงเดินมาหาเขาพร้อมกับดอกกุหลาบในมือ
เขาชะงักไป แต่เธอยังเดินมาหาเขาต่อไป
หลี่เซิ่งหยวนทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เองที่เธอคุกเข่าลงและเอ่ยกับเขา “ขอโทษนะคะ…ฉันผิดไปแล้ว ฉันอยากจะขอโทษคุณค่ะ เซิ่งหยวน ฉันอยากคบกับคุณ แต่ฉันไม่มั่นใจว่าคุณจะยังอยากคบกับฉันอยู่หรือเปล่า
“ฉันจะแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดในอดีต จะลืมคนที่เคยรัก ฉันแค่อยากเริ่มต้นใหม่กับคุณ คุณพอจะให้โอกาสฉันได้ไหมคะ”
เขามองเธอคุกเข่าลงบนพื้นอย่างกับเป็นฝ่ายชาย ในจังหวะนั้นเขาจะทนอีกต่อไปได้อย่างไรกัน
เขาอุ้มเธอขึ้นมาและโยนเธอลงบนเตียงด้านหลัง ก่อนถอดเสื้อกับกางเกง คร่อมเหนือกายเธอและตรึงเธอไว้แน่นใต้ร่างของเขา
เขาห้ามใจไว้ไม่อยู่ขณะกลืนกินเธอ เริ่มตักตวงสิ่งที่เขาโหยหาจากเรือนร่างของเธอ ความแข็งแกร่งของเขานั้นมากเกินกว่าเธอจะรับไหว แต่เพราะเขาเป็นชายที่เธอถูกใจ เธอจึงยอมรับมันไม่ว่าเขาจะรุนแรงเพียงไหนก็ตาม
หลังผ่านพ้นห้วงหฤหรรษ์ไป ในที่สุดหลี่เซิ่งหยวนก็สงบลง เขากอดเฉินจิ้งหรงไว้พลางถามขึ้น “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“ฉันตามคุณมาหลายวันแล้วค่ะ” เธอสารภาพ “คุณไม่เอะใจว่ามีคนตามมองคุณอยู่บ้างเหรอ”
“คุณชอบผมขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ
“ถ้าฉันไม่ชอบคุณคงไม่ไปขอร้องตระกูลโม่ด้วยตัวเองเพื่อคุณหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าคุณมีศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะฉัน ฉันรู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของฉันที่ต้องแก้ไขเรื่องนี้ ถ้าคุณรับความหวังดีของฉันไม่ได้งั้นฉันก็คงจะเสียใจไปตลอดชีวิต…” เธออธิบาย
“ไม่น่าล่ะช่างกล้องถึงได้มาสนใจผมอีกครั้ง ที่แท้ก็…” เขาแค่นหัวเราะออกมา
“คุณไม่พอใจเหรอ”
“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร ผมปล่อยวางทุกอย่างไปแล้ว ตอนแรกคิดไว้ว่าจะไปหาคุณหลังจากสะสางเรื่องที่นี่จบ แต่นึกไม่ถึงว่าคุณจะโผล่มาซะเอง” หลี่เซิ่งหยวนกอดเธอแน่นกว่าเดิมเพราะเหตุนี้
“คุณอยากแต่งงานกับฉันไหมคะ” เธอถือโอกาสนี้ถาม “อยากไหมคะ”
เขาไม่ตอบกลับใช้ร่างกายแสดงให้เธอเห็นว่าเขาต้องการมันมากเพียงไหน…
บางทีนี่อาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดของคนทั้งคู่…
…
ไม่กี่วันต่อมา ตระกูลโม่ได้มารวมตัวทานมื้อเย็นด้วยกัน วันนั้นทั้งโม่จื่อซีและโม่จื่อเฉินถูกสั่งให้กลับมาที่บ้าน
เป็นครั้งแรกที่เชียนหลานกับเหยาอันฉีได้พบกัน สะใภ้ทั้งสองคนเข้าขากันได้ดีและลืมชายที่อยู่ข้างกายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้เริ่มพูดคุยกัน
โม่จื่อซีรู้สึกน้อยใจเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงหันไปหาน้องชายแทน “ตอนที่นายเดือดร้อนฉันไม่ทันได้ไปชมการแสดงเลย”
“แต่ฉันได้ดูการแสดงของนายนะ” โม่จื่อเฉินเอ่ยเย้า
สองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานแล้ว โม่จื่อซีจึงทำตัวเป็นพี่ใหญ่และเริ่มสั่งสอนโม่จื่อเฉิน “นายเป็นครูฟิสิกส์เฉยๆ ก็น่าจะรีบมีลูกเร็วๆ เข้าสิ”
“ทำไมนายต้องมาหวังดีและเป็นห่วงฉันขนาดนี้ด้วยล่ะ”
“รับไม่ได้หรือไง อย่าลืมว่าตอนนี้พี่ชายนายเป็นกองกำลังพิเศษที่โหดที่สุดอยู่นะ” โม่ถิงท้วง
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะพี่ใหญ่ มาสู้กันเล่นๆ ดู ถ้าฉันชนะนายได้ คืนนี้นายต้องทำตามคำสั่งฉัน แล้วถ้านายชนะ ฉันจะทำตามคำสั่งนาย” อยู่ๆ โม่จื่อเฉินก็เสนอออกมา
หากแต่โม่จื่อซีมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง “ครูฟิสิกส์อยากจะมาท้าทายฉันงั้นเหรอ หาเรื่องเจ็บตัวเหรอยังไง”
โม่จื่อเฉินส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่มุ่งหน้าไปที่สวน “มาสิ นายเลือกมาเลยว่าจะสู้แบบไหน”
โม่จื่อซีโวยวายอย่างไม่ยอมแพ้ “ถ้านายชนะฉันได้ ฉันจะไม่ฟังคำสั่งนายแค่คืนนี้แต่จะยอมทำตามตั้งแต่ต่อไปนี้เลย”
“ตกลง”
“นายได้ตายแน่!” โม่จื่อซีพับแขนเสื้อขึ้นและตามน้องชายไป ก่อนที่สองพี่น้องจะเริ่มแลกหมัดกันบนสนามหญ้าในสวน
เดิมทีโม่จื่อซีคิดว่าอีกฝ่ายจะแค่งัดท่าทางแบบมือสมัครเล่นจากในยิมมาใช้ กล้าดีอย่างไรมาท้าทายเขากัน ทว่า…ทันทีที่โม่จื่อเฉินแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา โม่จื่อซีก็ถึงกับตะลึงงัน
เขาเทียบชั้นกับอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย!
โม่จื่อเฉินอาจดูผอมกว่าโม่จื่อซี แต่ทุกหมัดของเขากลับแข็งแกร่งและรุนแรงกว่าเพื่อนร่วมงานคนไหนๆ
โม่จื่อซีเริ่มนึกสงสัยกับสิ่งนี้
เดิมทีเขาคิดว่าโม่จื่อเฉินเป็นมือสมัครเล่น แต่กลับกลายเป็นว่าความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นแม่นยำกว่าเขาเสียอีก
“จื่อเฉิน นายเรียนรู้ท่าพวกนี้มาจากไหน”
“ทำไมไม่พยายามสืบเองล่ะ นายพลโม่” โม่จื่อเฉินยักคิ้วให้อย่างล้อเลียน “พี่ชาย นายอาจจะเป็นทหารมาหลายปี แล้วฝีมือของนายก็อาจเหนือกว่าคนทั่วไป แต่ว่าจริงๆ แล้วนายก็ยังไม่ได้อยู่ในสนามรบจริงๆ มามากมายนัก ฉันมั่นใจว่านายไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกยังไงตอนที่โดนมีดแทงหรือถูกยิงเข้า”
“ฟังดูเหมือนนายรู้…”
โม่จื่อเฉินลุกขึ้นและระบายยิ้มขณะที่อยู่ๆ ก็ถอดเสื้อบนตัวออก
โม่จื่อซีอึ้งไปเมื่อเห็นสารพัดรอยแผลเป็นบนร่างของอีกฝ่าย
“นาย…”
“ขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการแล้วกัน ฉัน รองผู้อำนวยการสำนักงานที่เก้า โม่จื่อเฉิน”
สำนักงานที่เก้าอย่างนั้นหรือ
โม่จื่อซีนิ่งค้างไปชั่วครู่ก่อนจะรู้ตัว “นั่นมันหน่วยข่างกรองแห่งชาติไม่ใช่เหรอ”
“ใช่” โม่จื่อเฉินพยักหน้า “ทำมากว่าสิบแล้วล่ะ”
โม่จื่อซีรวบรวมสติก่อนจะรู้ตัวตนของน้องชายอย่างชัดเจน “นายมันสุดยอด!” เขาอดคว้าน้องชายมากอดไม่ได้ “ฉันว่าแล้วเชียว ฉันพูดมาตลอดว่านายฉลาดขนาดนี้จะเป็นครูฟิสิกส์ได้ยังไง แต่นึกไม่ถึงว่านายจะอยู่หน่วยข่าวกรองโดยที่คนในครอบครัวไม่รู้เรื่องเลย”
“ทีนี้นายก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมตลอดหลายปีมานี้ฉันถึงไม่ค่อยกลับบ้าน” โม่จื่อเฉินอธิบาย “ฉันเซ็นสัญญาไว้น่ะ”
“ตอนนี้ฉันจะไม่เข้าใจทุกอย่างได้ยังไงล่ะ” โม่จื่อซีตบบ่าน้องชาย “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันก็คิดมาเสมอแหละ คิดว่าน้องชายฉันฉลาดจนถ้าใช้สมองเพื่อปกป้องประเทศมันก็คงจะน่าทึ่งมาก แต่นึกไม่ถึงว่าความหวังของฉันจะเป็นจริง ไม่แปลกเลยที่ฉันชนะนายไม่ได้ นายผ่านสมรภูมิมาโชกโชนซะขนาดนี้นี่นา”
“มันอันตราย ฉันเกือบตายและแทบเอาชีวิตไม่รอดอยู่ห้าหกครั้งเลยล่ะ” โม่จื่อเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “พี่ชาย นายคงไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”
“ทำไมฉันต้องโกรธด้วยล่ะ ฉันดีใจกับนายนะ จื่อเฉิน ต่อให้ตอนที่เรายังเล็กฉันก็ไม่เคยเก่งเท่านาย แต่…มีหนึ่งอย่างที่นายแพ้ฉันแล้วจนไม่มีทางเอาชนะได้
“ตอนนี้ฉันมีลูกสองคนแล้ว แต่นายยังไม่มีแม้แต่คนเดียวเลยไงละ!”
เมื่อเห็นพี่ชายทำตัวเป็นเด็กๆ โม่จื่อเฉินก็อดขำออกมาไม่ได้ “ฉันก็กังวลว่านายจะโกรธ!”
“ท่านรองผู้อำนวยการครับ นายคิดว่าพี่ชายนายใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ ต่อไปนี้ถ้านายตกอยู่ในอันตรายเมื่อไหร่ก็หาทางติดต่อฉันมาให้ได้แล้วกัน โอเคไหม”
โม่จื่อเฉินพยักหน้า แม้จะผ่านมาตลอดหลายปีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ชายก็ยังคงแน่นแฟ้น
แน่นอนว่าทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้แม่ของพวกเขา ถังหนิง…
เด็กๆ ที่ไม่ได้ขาดความรักย่อมไม่ทะเลาะกันอยู่แล้ว…