วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 677 ถ้ามีหลักฐานก็เอาออกมาโชว์สิ!
ข่าวฉาวในครั้งนี้เป็นข่าวฉาวของคนดังในสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวตนที่แท้จริงและจอมปลอม ดังนั้นข่าวนี้ไม่เพียงปรากฏบนข่าวบันเทิง แต่ยังอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจนทุกคนต้องพูดถึง
[ปลอมเป็นคนอื่นมามันง่ายขนาดนั้นหรือไง ยัยคนนี้นี่หาเรื่องเล่นกับไฟงั้นเหรอ]
[ผู้หญิงคนนี้ลึกลับอยู่นะ พวกเธออาจจะจำได้ ตอนที่ฮว่าเหวินเฟิ่งออกมาอ้างว่าถังหนิงทำร้ายร่างกาย ‘คนที่เคยโพสต์’ ก็กลับมาออนไลน์แล้วบอกว่าจะเอาทุกอย่างที่เป็นของตัวเองคืน]
[ที่จริงฉันคิดว่าฮว่าเหวินเฟิ่งนั่นแหละที่มีบางอย่างปิดบัง คนธรรมดาทั่วไปคงแค่หัวเราะกับเรื่องพวกนี้ แต่ไม่มีใครโกรธเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่โตแล้วพยายามชี้แจ้งตัวเองหรอก จะชี้แจ้งอะไร การออกมาโต้ตอบแบบโจ่งแจ้งอย่างนี้มันไม่ยิ่งทำให้น่าสงสัยงั้นเหรอ]
[แต่เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้… ไม่มีทางที่ใครจะมาอ้างเอาตัวตนของคนอื่นได้ไม่ใช่เหรอ]
ทุกคนในโลกออนไลน์ต่างออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ มันน่าตื่นเต้นกว่าข่าวชู้สาวของคนดังคนไหนๆ เสียอีก ที่จริงมันดูราวการติดละครโทรทัศน์ที่ทุกคนไม่อาจละลายตาออกมาได้
[ถ้าฮว่าเหวินเฟิ่งออกมาพิสูจน์ตัวเอง คุณไป๋จะต้องโต้ตอบแน่ๆ มารอดูกันดีกว่า]
[ใช่ๆ มารอดูกัน]
ในเมื่อพวกเขาเป็นคนดัง ทั้งโม่ถิงและถังหนิงต่างพร้อมที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวต่อสาธารณะอยู่แล้วในระดับหนึ่ง และเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะคนดัง พวกเขายังต้องยอมรับการตกเป็นเป้าสายตาของสาธารณะด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่นานนัก วันแถลงข่าวของฮว่าเหวินเฟิ่งก็มาถึง
ในห้องแถลงข่าวชั้นห้าของโรงแรมฮิลตัน ฮว่าเหวินเฟิ่งได้เชิญสมาชิกจากสื่อค่างๆ และพร้อมจะกลืนกินไป๋ลี่หวาทั้งตัว
คุณพ่อโม่อยู่เคียงข้างเธอในฐานะแรงสนับสนุนที่มั่นคงที่สุด แต่นอกจากเขาแล้ว เธอไม่มีสมาชิกครอบครัวคนอื่นที่อยู่ข้างเธอเลย… ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนสักคน
“ต้องขออภัยกับเรื่องน่าขันที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อันไม่ดีนักระหว่างฉันกับถังหนิงด้วยนะคะ” ฮว่าเหวินเฟิ่งพลันฟังดูมีมารยาทและสง่างาม เธอถึงขนาดโค้งต่อหน้าสื่อต่างๆ
“เรื่องภายในครอบครัวเช่นนี้ไม่สมควรออกมาสู่สาธารณะและสร้างความไม่สงบให้สังคม แต่ฉันไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว”
ฮว่าเหวินเฟิ่งพูดด้วยเสียงสะอื้นพลางหยิบผลตรวจดีเอ็นเอออกมา “ก่อนหน้านี้ ถังหนิงเคยพูดกับฉันเป็นการส่วนตัวว่าฉันไม่ใช่แม่ของโม่ถิง ในขณะนั้นฉันรู้สึกหงุดหงิดมากและได้ไปทำการตรวจดีเอ็นเอมา ผลที่ได้เป็นอย่างที่ทุกท่านเห็น ฉันเป็นแม่ของโม่ถิงอย่างไม่มีข้อสงสัย
“แต่เมื่อฉันเอาผลตรวจนี้ไปแสดงต่อถังหนิง เธออ้างว่าตัวอย่างดีเอ็นเอไม่ได้เป็นของโม่ถิงแต่เป็นของแม่บ้านของเธอเอง เธอถึงขนาดอ้างว่าฉันติดสินบนเจ้าหน้าที่! ฉันรู้สึกผิดอย่างที่สุด
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถังหนิงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เธอยังเพิกเฉยไม่รับรู้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ฉันเอือมระอากับเรื่องนี้แล้ว!
“เธอช่างน่าทึ่งจริงๆ ฉันต้องคำนับให้เธอเลย!
“ดังนั้น ในวันนี้ ฉันแสดงหลักฐานนี้เพื่อตำหนิทุกคำกล่าวอ้างที่ว่าฉันสวมรอยเป็นคนอื่นและเป็นจอมลวงโลก นี่ไม่ใช่ละครโทรทัศน์ หากฉันไม่ใช่ตัวจริง แล้วคนที่อยู่เคียงข้างฉันจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร
“มันไร้สาระมาก!”
ฮว่าเหวินเฟิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้นทุกครั้งที่เธอพูด สุดท้ายเธอขว้างเอกสารในมือของเธอลงกับพื้น
“นี่มันไร้สาระสิ้นดี!”
…
“เธอต่างหากที่ไร้สาระ” เสียงแหบแห้งพลันดังมาจากทางเข้าห้องแถลงข่าว เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ลำคอเมื่อครั้งเหตุเพลิงไหม้ ทำให้เวลาที่ป๋ลี่หวาเปล่งเสียงออกมา ความเสียหายนั้นสามารถได้ยินอย่างแจ่มชัด
บรรดานักข่าวรีบหันไปมองที่ทางเข้า และพบผู้หญิงสวมผ้าปิดหน้าคนหนึ่ง ผู้หญิงในข่าวลือได้มาปรากฏตัวต่อหน้ากล้องของทุกคนและมีเฉินซิงเยียนเดินตามหลังมาเพื่อปกป้องทุกอย่างก้าว
“เธอมาได้เวลาพอดีเลย ฉันอยากจะรู้ว่าเธอเป็นคนวางแผนเรื่องไร้สาระพวกนี้หรือถังหนิงเป็นคนทำกันแน่” ฮว่าเหวินเฟิ่งเดินอาดๆ ลงจากเวทีไปหาไป๋ลี่หวา “เราเหมือนกันตรงไหนไม่ทราบ”
“ไม่มีใครวางแผนอะไรทั้งนั้น เธอมันเลวเกินไป” ไป๋ลี่หวาจ้องมองฮว่าเหวินเฟิ่งด้วยความเกลียดชังและความโกรธแค้นขณะที่ดวงตาของเธอเริ่มแดงก่ำ น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้น “เธอลืมเรื่องเหตุระเบิดที่ศูนย์วิจัยเมื่อสิบกว่าปีก่อนไปแล้วหรือไง”
“เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ”
ไป๋ลี่หวายิ้มเยาะพลางถอดผ้าปิดหน้าออก เผยให้สาธารณะได้เห็นแผลเปื่อยเน่าของเธอ “นี่เป็นผลจากการระเบิดในครั้งนั้น”
“น่าหัวเราะ! เธอมีหลักฐานอะไรไหมล่ะ ฉันจะแสดงแผลอะไรบนตัวแล้วอ้างว่ามันเกิดจากการระเบิดก็ได้เหมือนกัน”
ไป๋ลี่หวารู้ว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ เธอจึงหยิบหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งออกมา “ฉันรู้ว่าเรื่องมันนานมาแล้วและหลักฐานส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายไปจนหมด แต่ดูสิว่าฉันมีอะไร”
“อะไรล่ะ คราวนี้เธอพยายามจะหันเหความสนใจของสื่อยังไงอีก” ฮว่าเหวินเฟิ่งยักไหล่ทั้งสองข้างให้สื่อพลางหัวเราะออกมา
“นี่เป็นผลตรวจดีเอ็นเอระหว่างเธอกับฉัน” ไป๋ลี่หวาประกาศ จากนั้นเธอก็แสดงผลตรวจต่อสื่อต่างๆ “ในฐานะที่เราเป็นแฝดเหมือน เราจึงดูเหมือนกันแทบทุกอย่าง เพราะสิ่งนี้ เธอก็เลยได้โอกาสสวมรอยเป็นฉัน
“นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอมั่นใจมากจนออกมายืนอยู่ตรงนี้และบอกทุกคนว่าเธอเป็นแม่ของโม่ถิงเพราะเธอรู้ว่าฝาแฝดจะแสดงผลดีเอ็นเอออกมาเหมือนกัน ในขณะที่สิ่งเดียวที่แยกเราสองคนได้คือลายนิ้วมือของฉัน ซึ่งถูกทำลายไปจากเพลิงไหม้”
“พูดง่ายๆ คือเธอกำลังจะบอกว่าเธอไม่มีหลักฐานอะไรมาพิสูจนว่าฉันสวมรอยเป็นเธอ ถ้าเรามองจากมุมต่าง ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่พยายามเป็นฉันไม่ใช่เหรอ” ฮว่าเหวินเฟิ่งหัวเราะ “ก็ได้ ในเมื่อเธอเรียกฉันว่าลวงโลก ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์พูดเรื่องนี้ทั้งนั้น คนเดียวที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดคือสามีของฉัน โม่หลินหย่วน”
ไป๋ลี่หวามองไปที่โม่หลินหย่วน เธอรู้ดีว่าโอกาสที่เขาจะช่วยเธอนั่นแทบเป็นไปไม่ได้
“ฉันจะให้เวลาเธอนาทีหนึ่ง ในเมื่อเธออ้างว่าเป็นเมียโม่หลินหย่วน… ก็พิสูจน์มาสิ”
ไป๋ลี่หวากัดปากอย่างหวาดวิตก ในขณะที่เธอกำลังจะพูด โม่หลินหย่วนกลับพูดตัดบทขึ้นมา “เธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น เธอไม่ใช่เมียฉัน ฮว่าเหวินเฟิ่งต่างหากที่เป็นเมียของฉันมาตลอด ฉันไม่รู้ว่าเธอมีวัตถุประสงค์อะไร แต่ฉันมีแค่คำเดียวให้เธอ ชิ้ว! คนอัปลักษณ์นี่ชอบสร้างแต่ปัญหา…”
“ไหนแกลองพูดอีกทีซิ” เฉินซิงเยียนเตือนอีกฝ่ายพลางชี้ไปที่โม่หลินหย่วน “ไอ้โง่ แกจำเมียตัวเองไม่ได้แถมยังถูกสวมเขามาเป็นปีๆ โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย แกมันก็แค่ไอ้กาก ถ้าแกพูดอีกที ฉันจะหักกระดูกสันหลังแกทิ้งซะ!”
คุณพ่อโม่พูดอะไรไม่ออก
“ดูโม่ถิงแล้วมาดูแกสิ ฉันว่าแม้แต่แกก็เป็นคนลวงโลกด้วยละมั้ง!”
“แก…”
“นังเด็กบ้านนอก! อย่ามาเที่ยวปั่นหัวทุกคนแบบนี้นะ แกคิดว่าแกจะช่วยแม่แกทำเรื่องพวกนี้ได้งั้นเหรอ” ฮว่าเหวินเฟิ่งดึงบทสนทนากลับมา “ตระกูลเป่ยไม่เคยมีฝาแฝด และฉันไม่เคยมีพี่น้องฝาแฝด หยุดหลอกทุกคนได้แล้ว”
“ดูเหมือนเธอจะไม่รู้วิธีกลับหลังก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปสินะ…” ไป๋ลี่หวาจ้องมองไปที่ฮว่าเหวินเฟิ่ง
“ถ้ามีหลักฐานก็เอาออกมาโชว์สิ!” ฮว่าเหวินเฟิ่งกล่าวท้าทายอย่างหยิ่งผยอง