วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 683 แบกภาระ
เฉินซิงเยียนไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจ เธอแต่ลุกออกจากเตียง ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยก่อนจะกลับไปที่กองถ่าย เธอไม่อาจกลับไปทั้งแบบนี้!
เมื่อเห็นทีมงานกำลังยุ่งอยู่กับการจัดฉาก เธอรีบตรงเข้าไปช่วย “ให้ฉันทำนะ ฉันแข็งแรง…”
“คุณเฉิน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณถูกผู้กำกับเปลี่ยนตัวออกไปแล้วนี่” คนออกแบบแสงกล่าวขณะที่เขาจ้องมองไปที่เฉินซิงเยียน “ทางที่ดีคุณกลับบ้านไปเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย”
เฉินซิงเยียนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ขณะไปรบเร้าคนอื่นๆ ทว่าทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเธอกลับเปลี่ยนไปในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
ที่สำคัญไปกว่านั้น เมื่อผู้กำกับเดินทางมาถึงในที่สุด เขาทำกับเธอเหมือนเธอไม่มีตัวตน ไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ
เฉินเซิงเยียนไม่เคยอับอายเช่นนี้มาก่อน
แต่การรู้ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเอง เธอจึงทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกและกลั้นน้ำตาเอาไว้
“ผู้กำกับคะ ได้โปรดให้ฉันอยู่ต่อเถอะนะคะ คราวนี้ฉันจะทำให้ดี”
“ให้เธออยู่ต่อ ฉันไม่ได้เกลี้ยกล่อมอันจื่อเฮ่าเพื่อเขี่ยเธอออกได้ง่ายๆ นะ เธอคิดว่าฉันจะให้เธออยู่ต่องั้นเหรอ” ผู้กำกับหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาฟังดูเสียดสีเป็นพิเศษ “ก่อนหน้านี้ฉันเคยให้โอกาสเธอแล้ว แต่เธอไม่เห็นค่าของมัน เธอทำตัวโง่ๆ ทั้งวัน ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แล้วยังคิดว่าการเป็นสตันต์เป็นเป้าหมายหลักในชีวิต งั้นตอนนี้เธอก็ไปทำอะไรที่เธออยากทำแล้วกัน ไม่มีใครรั้งเธอไว้ทั้งนั้น”
เฉินซิงเยียนอดทนกับคำพูดเย้ยหยันของผู้กำกับและพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างสิ้นหวัง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น “ฉันจะช่วยงานที่กองถ่ายโดยไม่คิดค่าตัว…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้กำกับก็มองเฉินซิงเยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “สุดท้ายเธอก็มีแต่แค่ทำงานระดับแรงงานสินะ อยากทำอะไรก็ทำ แค่อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
เฉินซิงเยียนสัมผัสได้ถึงประกายความหวังขณะที่เธอรีบฟื้นฟูพลังและเริ่มช่วยงานในกองถ่ายทันที
หลินเซิงเห็นเฉินซิงเยียนกำลังยุ่งจากระยะไกล และรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าเขาอย่างควบคุมไม่ได้ “ถ้าเธอฉลาดพอ เธอจะรู้วิธีเปลี่ยนสถานการณ์”
“ใช่ เด็กคนนั้นควรเรียนรู้การแสดงของคุณอย่างละเอียด” ผู้ช่วยของหลินเซิงหัวเราะ
แม้แต่ในอดีต ถังหนิงเองก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการสังเกตหลินเซิงและเพิ่มพูนความรู้ได้มากมาย
เขาเป็นถึงผู้ครองรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมถึงสามรางวัล ถ้าเป็นเรื่องของการแสดง เขาอยู่เทียบเท่าเป่ยเฉินตงและมีประสบการณ์สูงมาก
“ไปกันเถอะ ได้เวลาเริ่มแล้ว”
ที่จริง นี่เป็นสิ่งที่เฉินซิงเยียนวางแผนไว้ เธอจะเฝ้าดูหลินเซิงแสดงขณะที่เธอช่วยงาน
ขณะที่เธอมองดูหลินเซิงแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างง่ายดายและไหลลื่น ในที่สุดเธอก็ได้พบกับความน่าตกใจในการแสดง
บางครั้ง หลินเซิงจะขอผู้กำกับว่าให้เขาแสดงบทบาทในลักษณะอื่นๆ ได้หรือไม่ ผู้กำกับอนุญาตให้เขาทำเพราะเขาอยากรู้ว่าหลินเซิงจะแสดงออกมาเป็นอย่างไร ทว่ามีเพียงผู้ช่วยของหลินเซิงเท่านั้นที่รู้วัตถุประสงค์ของเขาที่ต้องการแสดงให้เฉินซิงเยียนเห็นว่าบทแต่ละบทควรแสดงออกมาอย่างไร
ยามค่ำมาถึง หลังทำงานมาตั้งวัน อันจื่อเฮ่าก็กลับมา และพบว่าเฉินซิงเยียนไมได้อยู่ที่นั่น ดังนั้นกลางดึกคืนนั้นเขาจึงโทรหาอีกฝ่าย “ทำไมยังไม่กลับมาอีก”
เฉินซิงเยียนกำลังยืนอยู่ข้างทะเลสาบที่ซึ่งเธอได้ทำการถ่ายทำเมื่อคืนก่อน ลึกๆ เธออยากจะก้าวความกลัวของเธอ แต่เธอยังคงขาดความกล้า
“ฉันกำลังช่วยงานที่กองถ่าย” เฉินซิงเยียนตอบ “ฉันต้องหาเงินจะได้เอาไปคืนนาย”
“โอเค ในเมื่อเธอไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำ อย่างน้อยอยู่ที่นั่นก็แก้เบื่อเธอได้” ทำพูดของอันจื่อเฮ่านั้นเย็นชาแต่สุภาพ ทำให้เฉินซิงเยียนรู้สึกไม่ดี
ดูเหมือนเป็นคำตอบที่แฝงไปด้วยความผิดหวัง
“อันจื่อเฮ่า…”
“ว่า”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เฉินซิงเยียนอยากรู้ว่าเธอทำให้เขารู้สึกรำคาญหรือเปล่า แต่เธอไม่อาจทำใจพูดออกมาได้
นับตั้งแต่เธอยังเด็ก ทุกคนต้องฟังเธอและเธอเคยชินที่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างด้วยความอิสระมาตลอดและไม่เคยเข้าใจการทำงานเป็นทีม หนำซ้ำเธอมักรู้สึกว่าตราบใดที่เธอมีความสุข คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่เธอไม่เคยรู้ว่ามีคนอย่างอันจื่อเฮ่าอยู่ในโลกนี้
เธอชอบตัวเธอที่เป็นอิสระ แต่…
ในจุดนี้ เฉินซิงเยียนหยุดตัวเองไม่ให้คิดไกลไปกว่านั้น เธอพลันวางโทรศัพท์ลงข้างๆ และกระโดดลงไปในน้ำ
จากนั้นเธอก็ทำตามสิ่งที่เธอได้อ่านจากอินเทอร์เน็ตและพยายามอย่างดีที่สุดที่จะยืนอย่างสงบอยู่ในน้ำ เธอค่อยๆ ทำได้อย่างช้าๆ ท้ายที่สุดเธอใช้เวลาทั้งคืนในการกระโดดลงไปในน้ำและเดินกลับขึ้นมาบนฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมือทั้งสองข้างของเธอซีดเป็นสีขาวร่างกายสั่นเทา
เช้าวันต่อมา ทันทีที่เฉินซิงเยียนเห็นผู้กำกับ เธอก็วิ่งไปหาและหยุดเขาเอาไว้ “ผู้กำกับคะ ฉันไม่กลัวน้ำแล้ว เราถ่ายกันต่อได้แล้วค่ะ”
แต่สายตาอันเฉียบคมของเขามองเธอและกล่าว “แค่เพราะเธอกลัวน้ำ ฉันต้องให้เวลาพิเศษกับเธอในการฝึกฝน แล้วถ้าต่อไปเธอกลัวภูเขา ฉันไม่ต้องทุบภูเขาให้เธอหรือไง ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ใช่เรื่องทั้งนั้น แล้วการแสดงของเธอล่ะ เธอแสดงได้ไหม”
เฉินซิงเยียนไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรแต่เธออดทนกับมันเหมือนเช่นทุกครั้ง อย่างน้อยเธอก็ได้ก้าวข้ามอุปสรรคที่เลวร้ายที่สุดของตัวเองมาได้แล้ว
แม้ผู้กำกับจะตะโกนใส่เธอ แต่เขาก็ยังได้ให้ข้อยกเว้นมากมาย ปกติในระหว่างการถ่ายทำ ฉากจะถูกเก็บจนเรียบร้อย แต่เขาก็ยังให้เธอได้อยู่ในฉาก
เฉกเช่นทุกครั้ง หลินเซิงยังคงชอบเล่นเป็นบทอื่นๆ หลังผ่านไปสองครั้ง เฉินซิงเยียนก็เริ่มเข้าใจวัตถุประสงค์ของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ดังนั้นเธอจึงเริ่มจดบันทึก
ผู้กำกับยิ้มเยาะทุกครั้งที่ได้เห็นเธอจดบันทึกเมื่อมีเวลาว่าง
ผู้ช่วยผู้กำกับมองไปที่เฉินซิงเยียนและหัวเราะเยาะ “ดื้นด้านน่าดู หลังจากคุณตะโกนด่าก็ยังไม่ไปไหน”
“ถ้าเด็กนั้นหนีไปทั้งแบบนั้น อันจื่อเฮ่าคงต้องฆ่าตัวตายแล้วล่ะ” ผู้กำกับตอบอย่างเสียดสี “ต่อให้เด็กนั่นดูจริงจังแค่ไหน การแสดงก็ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาได้หรอก เราแค่ต้องรอดู”
ผลที่ได้ เฉินซิงเยียนยุ่งมากเมื่ออยู่ที่กองถ่าย ด้านหนึ่งเธอจำเป็นต้องพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับทีมงาน อีกด้านหนึ่งเธอก็จำเป็นต้องศึกษาการแสดงของหลินเซิง ตกกลางคืนเธอจะฝึกฝนและในระหว่างวันเธอจะทำงานในแรงงานทุกอย่าง แต่การฝึกแบบนี้ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างได้ผล
แม้ผู้กำกับจะยังปฏิเสธไม่ให้เธอได้แสดงก็ตาม
ไม่นานนักนางเอกคนใหม่ก็มาปรากฏตัวที่กองถ่าย เฉินซิงเยียนรู้สึกว่าเธอล้มเหลว เธอทุ่มเททำงานอย่างหนัก แต่ผู้กำกับก็ยังไม่ใจอ่อนกับความทุ่มเทของเธอ
“ซิงเยียน นางเอกคนใหม่มาถึงแล้ว ตอนนี้เธอควรกลับบ้านได้แล้วนะ” ทีมงานกลัวว่าเธอจะเจ็บปวด ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมเธอ “เรื่องนี้ตัดสินใจไปแล้ว เธอเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก”
เฉินซิงเยียนผิดหวัง แต่…
…เธอยังคงยืนกราน “ไม่เป็นไร พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าหลอดไฟพวกนี้มันหนักมาก ให้ฉันยกให้นะ”
“แต่นี่มันหนักเกินไปสำหรับเธอนะ”
ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะหนักหนาแค่ไหน ก็เป็นเพราะเธอพยายามไม่มากพอ!
เธอไม่อาจโทษใครได้
เฉินซิงเยียนอยากโทรไประบายและขอคำแนะนำจากถังหนิง แต่ถังหนิงกำลังใกล้คลอด เธอไม่ต้องการสร้างปัญหาให้คนอื่นอีก
พวกเขาได้นางเอกคนใหม่แล้วไง
ถ้างั้นเธอจะต้องได้เห็นก่อนว่าคู่แข่งของเธอแข็งแกร่งแค่ไหน