วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 874 ชดใช้สิ่งที่คุณติดค้างเอาไว้
ซิงหลานอึ้งไปเล็กน้อย พลันรู้สึกราวกับตัวเองพูดเรื่องนี้ผิดคน
ทว่าเกิดอะไรขึ้นกับทางด้านหลี่จิ่นกัน
เขาติดต่อเพื่อนที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทันทีและถามว่าหลินเฉี่ยนมีพันธะทางกฎหมายที่ต้องจ่ายเงินชดเชยหรือไม่ และคำตอบที่เขาได้รับคือ “ไม่อย่างแน่นอน ถ้าเธอยอมให้เงินกับพวกเขา เธอต้องโง่ไปแล้วแน่ๆ ”
หลี่จิ่นเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมหลินเฉี่ยนถึงต้องการชดใช้ให้กับตระกูลเฉวียน เพราะเธอต้องการตัดขาดกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด แต่ทว่าจำนวนเงินมันมากเกินไป!
…
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง และข่าวก็ยังไม่เริ่มเผยแพร่สะพัดไปไกล ดังนั้นภายใต้การดูแลของโม่ถิง ถังหนิงจึงใช้เวลาที่เหลือในการเตรียมการถ่ายทำภาพยนตร์
สมัยนี้มีหนังมากมายที่เข้าฉาย หากแต่ไม่มีสักเรื่องที่ฝากฝังความประทับใจให้กับผู้ชมได้
เป็นเพราะว่ามาตรฐานของผู้ชมสูงขึ้น และพวกเขาไม่ได้ถูกดึงดูดด้วยเพียงความดูดีที่ฉาบหน้าเท่านั้น
ในเวลานี้ ผู้คนต่างเบื่อหน่ายและมีรายชื่อศิลปินที่มีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมแต่กลับได้ถอนตัวจากวงการไปอย่างน่าเสียดายอยู่ในใจ จึงมีการเปิดให้สาธารณชนลงคะแนนเสียงว่าใครที่พวกเขาต้องการให้กลับมาคืนจอมากที่สุด
หลังจากผ่านการลงคะแนนทั้งสามวัน ชื่อที่รั้งอันดับหนึ่งคือถังหนิง!
ดูจากภาพยนตร์ทั้งหมดของเธอ ผู้ชมก็บอกได้ว่าเธอมีความสามารถในการแสดงหรือไม่
[นักแสดงที่มีความสามารถหายากขึ้นไปทุกที ในกลุ่มนักแสดงหน้าใหม่ ลัวเซิงเป็นคนเดียวที่พอใช้ได้ หากแต่เมื่อนึกถึงนักแสดงที่มีทักษะ การแสดงของพวกเขาก็ยังคงขาดมิติอยู่มาก ที่ผ่านมานักแสดงคนเดียวที่มีความสามารถรอบด้านจริงๆ ก็คือถังหนิง]
[น่าเสียดายที่ถังหนิงไม่ได้ทำงานแสดงอีกแล้ว ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงต้องบังคับให้เธอลาวงการเพราะเรื่องของศิลปินที่ฆ่าตัวตายคนนั้นด้วย]
[ถังหนิงอาจจะกลายเป็นผู้จัดการที่สร้างศิลปินน้ำดีออกมา แต่เธอก็สามารถกลับมาเป็นถังหนิงที่เราเคยรู้จักได้ ในขณะที่การรอใครสักคนที่จะเป็นอย่างถังหนิงอาจใช้เวลาเป็นสิบปี]
[พอคิดถึงมันตอนนี้แล้วก็น่าเสียดายจังเลย]
[เพราะอย่างนี้ ฉันเลยตัดสินใจลงคะแนนให้เธอ ฉันหวังว่าเธอจะกลับมาอีกครั้ง!]
โพสต์นี้ได้รับความสนใจไม่น้อย เมื่อผู้คนเลิกสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและจดจำเพียงข้อดีของถังหนิง เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำการแสดงอีกแล้ว
การเตรียมถ่ายทำ ดินแดนชำระบาป คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะได้เวลาพักผ่อนกลับมาเป็นปกติแล้ว ถังหนิงยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาเรื่องเทคนิคพิเศษกับทีมงานหรือไม่ก็อยู่กับลูกๆ ที่บ้าน ชีวิตในแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกสงบสุขขึ้นมาก
ทว่าเพราะมีโพสต์นั้นโผล่ขึ้นมา ทำให้อยู่ๆ ชื่อของถังหนิงถึงถูกพูดถึงบ่อยมากขึ้น ดังนั้นเว็บไซต์ทางการของผู้รอดชีพจึงใช้โอกาสนี้ประกาศว่าพวกเขาจะเริ่มเข้าฉายในเร็วๆ นี้
ผู้กำกับเป็นคนฉลาด เขารู้จักใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ครั้งนี้ เขาไม่เคยลืมความยากลำบากในการถ่ายทำและความอับอายขายหน้าที่เขาต้องเผชิญในตอนที่เขาซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้มา
ทันทีที่ข่าวถูกปล่อยออกไป หลายคนต่างไชโยโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
โดยเฉพาะแฟนๆ ของภาพยนตร์
ผู้รอดชีพสร้างมาจากเรื่องจริง แม้ว่าทีมงานดั้งเดิมจะเปลี่ยนหน้าไปแต่ถังหนิงก็ยังคงเป็นตัวเอกอยู่ นานแล้วที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ หากแต่เสียงตอบรับที่ตื่นเต้นจากสาธารณชนก็จุดขึ้นได้ง่ายดายเหมือนกับว่ามันเพิ่งถูกปล่อยออกมา ตอนนี้ในท้องตลาดมีภาพยนตร์คุณภาพต่ำเกลื่อนกลาดไปหมด ดังนั้นการมาถึงของผู้รอดชีพจึงนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคอภาพยนตร์
แต่ในตอนนี้ บางทีถังหนิงอาจจะลืมไปแล้วว่าเธอเคยร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
วันถัดมาหลังจากการประกาศอย่างเป็นทางการ ผู้กำกับเริ่มประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ด้วยตัวเอง เขาต้องลงมือทำเองเพราะรู้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญถังหนิงมาได้
“การถ่ายทำเรื่องผู้รอดชีพต้องพบเจอกับอุปสรรคบ้าง แต่โชคดีที่ในที่สุดมันก็สามารถเผยสู่สายตาของทุกคนได้ คนแรกที่ผมอยากจะขอบคุณคือถังหนิง ด้วยการถ่ายทำที่ยากลำบากแต่เธอก็ยังแสดงความเป็นมืออาชีพและถ่ายทำจนเสร็จสิ้นได้อย่างสวยงาม เธอได้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมจริงๆ ครับ
“นี่เป็นหนังเรื่องที่ห้าของเธอ ผมไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นเรื่องสุดท้ายหรือเปล่า แต่ผมก็หวังว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น…
“ผมเข้าใจว่าในวงการนี้นักแสดงจะถูกลืมได้ง่ายขนาดไหน ถ้าคุณอยากจะลืมถังหนิงก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าลืมการแสดงที่น่าขนลุกของเธอแล้วกันนะครับ
“ผู้รอดชีพเฝ้ารอที่จะพบทุกท่านอยู่นะครับ แล้วเจอกันสัปดาห์ครับ”
ผู้กำกับพูดถึงถังหนิงอย่างคล่องแคล่วด้วยรู้ว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์
แม้ว่าถังหนิงจะไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว ตอนนี้เธอผันตัวมาเป็นนายใหญ่แห่งจู้ซิงมีเดียและผู้จัดการ แต่ความนิยมในตัวเธอก็ไม่ได้ลดลง เธอจึงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ อย่างน้อยเธอก็สามารถดึงความสนใจของทุกคนไปสู่ ผู้รอดชีพ ได้และทำให้พวกเขารู้ซึ่งถึงแก่นของภาพยนตร์
เพราะผู้กำกับไม่ได้มีทีมงานที่ทำงานด้วยแล้วจึงต้องแบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง เขาตัดสินใจปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์เป็นเวลาสามสิบวินาทีบนโลกออนไลน์ในท้ายที่สุด
ทันทีที่เผยแพร่ออกไป ยอดเข้าชมก็พุ่งทะยานเข้าสู่สิบล้าน!
[ให้ตายเถอะ การแสดงของถังหนิงทำให้ฉันขนลุกสุดๆ]
[ตัวอย่างหนังดูน่าสนใจมาก ฉันอดใจรอไม่ไหวแล้ว!]
[ดูน่ากลัวไปหน่อยคงเพราะสร้างจากเรื่องจริงแน่ๆ]
[ถ้าหนังเรื่องนี้ทำรายได้ดี คนที่เคยดูถูกไว้ต้องหงายเงิบไปทั้งน้ำตาด้วยความตกตะลึงแน่]
[ขอบคุณที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีชีวิตขึ้นมา]
แน่นอนว่าเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลงานของถังหนิง ไห่รุ่ยจึงไม่อยู่เฉยในขณะที่ฟังอวี้เรียกรวมทีมงานและวางแผนประชาสัมพันธ์ในทันที จากนั้นจึงส่งภาพยนตร์ให้กับโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดและขอให้พวกเขานำเข้าฉาย
ผู้คนต้องครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยมีความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายของถังหนิง และทางโรงภาพยนตร์ไม่ได้คิดไม่ถึง พวกเขารู้ว่ามันอาจกลายมาเป็นเรื่องที่ดังเป็นพลุแตก จึงไม่มีใครกล้าปฏิเสธที่จะนำภาพยนตร์เข้าฉายหรือเล่นไม่ซื่ออีก…
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ถังหนิงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
เธอเคยคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะจมอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรโดยไม่มีวันได้ลอยขึ้นมาเจอแสงอาทิตย์อีกแล้ว
นึกไม่ถึงว่ามันจะกลับมาได้อีก
ในขณะเดียวกันหลินเฉี่ยนเข้าสู่วันที่สี่ของการตกเป็นหนี้
แม้ว่าเธอจะพยายามจนสุดความสามารถ เธอก็หาเงินมาได้เพียงไม่กี่ล้านเท่านั้น
ส่วนคนที่ต้องเห็นสภาพที่น่าสงสารของหลินเฉี่ยนอย่างซิงหลานก็อดรู้สึกถึงความกรุ่นโกรธที่อัดแน่นอยู่ในใจไม่ได้ ตระกูลเฉวียนจำเป็นต้องไล่ต้อนคนคนหนึ่งให้จมมุมขนาดนี้เลยหรือ
หลินเฉี่ยนอยู่ในอาการคิดไม่ตก เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ทว่าในตอนนี้เองที่หลี่จิ่นได้โทรเข้ามาหาเธอ “ออกมาสิครับ ผมอยู่ด้านล่าง”
“แต่ว่า…ฉันยุ่งอยู่”
“ขอเวลาผมสองชั่วโมงครับ”
หลินเฉี่ยนนึกว่าหลี่จิ่นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะติดต่อมาหา ฉะนั้นในยามที่ตัวเองตกเป็นหนี้อยู่อย่างนี้ เธอจึงไม่อยากให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เธอลงไปชั้นล่างอย่างตั้งใจว่าจะไปตอบปฏิเสธอีกฝ่าย ทว่ากลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าวันนี้เขาไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบทหารแต่กลับสวมชุดสูทสีดำแทน
“ขึ้นมาบนรถสิครับ”
“เราจะไปไหนกันคะ” หลินเฉี่ยนเอ่ยถาม
“ไปถึงแล้วคุณก็รู้เองครับ” เขาตอบกลับก่อนออกรถ
หากแต่ไม่นานหลังจากนั้น หลินเฉี่ยนก็เริ่มสังเกตเห็นถนนที่ไม่คุ้นเคย
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมรู้สึกว่าผมควรไปเยี่ยมพ่อแม่ของคุณ”
“ไม่ค่ะ คุณจะไปได้ยังไง คุณไม่รู้จัก…”
“ผมรู้ครับ” หลี่จิ่นพูดตัดบทขึ้นมา “คุณควรชดใช้ในสิ่งที่คุณติดค้างเอาไว้…”