เนตรเซียนทะลุสมบัติ - ตอนที่ 246
ตอนที่ 246 ต้าเต๋อถาง
ลัวย่าวหัวหันมามองหยางโป “พวกเราแลกกันเองดีไหม?”
หยางโปมองหยกกวนอิมสีน้ำข้าว กวนอิมหยกสีน้ำข้าวของหยางหลางนั้นเป็นหยกในสมัยโบราณยุคราชวงศ์ชิง ราคาอยู่ที่หลักแสน และเป็นเพราะเขาไม่ทันได้ถามให้ละเอียดก่อนตอนนี้เขาเลยรู้สึกเสียดายขึ้นมา
“การแลกเปลี่ยนปลอมๆแบบนี้ไม่อนุญาตให้ทำที่นี่นะ” คุณกาวพูด
ทั้งสองคนชะงักไปก่อนที่จะหันไปหาเจ้าอ้วนหลิวราวกับจะพูดว่าทำไมคนที่เขาหามาถึงได้ตรงไปตรงมาขนาดนี้
เจ้าอ้วนหลิวเองก็ชะงักไปก่อนที่จะพูดต่อว่า “งั้นเราเดินไปหาอะไรดูกันสักหน่อยไหม?”
หยางโปพยักหน้าก่อนที่หยิบของของตัวเองเพื่อเดินไปด้านข้าง
หยางโปเห็นไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นรูปแกะสลักรูปของกวนกง การแกะสลักถือว่าดูธรรมดามากแถมยังเป็นรูปปั้นแกะสลักในยุคหมินกว๋อเขาจึงไม่สนใจมัน หลังจากนั้นเขาก็เห็นหยกสลักอีกชิ้นซึ่งเป็นรูปของพระสังกัจจายน์โพธิสัตว์ที่มีเอกลักษณ์แต่ในสมัยนี้หยกสลักราคาไม่ได้สูงเท่าไหร่นักเขาจึงไม่สนใจเช่นกัน
จู่ๆลัวย่าวหัวก็ดึงหยางโปก่อนที่จะชี้ไปที่ถ้วยลายนกกางเขนและต้นพลัมพร้อมกับถาม “ชิ้นนี้เป็นยังไงบ้าง?”
หยางโปหันไปมองเจ้าของก่อนที่จะพยักหน้าเพื่อเป็นการขออนุญาตหลังจากนั้นเขาก็หยิบถ้วยขึ้นมาก่อนที่จะดูด้านใต้ถ้วยซึ่งมีข้อความเขียนไว้ด้านล่างว่า ‘จูเหรินถางจื้อ’
ลัวย่าวหัวพูด “จูเหรินถางจื้อคืออะไรเหรอ? อยู่ในยุคไหนน่ะ?”
หยางโปยิ้ม “ยุคหมินกว๋อน่ะ ตัวจารึกนี้ก็คือถ้วยพอร์ชเลนหงเซี่ยนนั่นแหละ เป็นเพราะว่าหยวนซื่อค่ายทำงานและพักอยู่ที่จงหนานไห่จูเหรินถางน่ะ หลังจากที่เขาได้ครองบัลลังก์เขาก็ได้ส่งคนดูแลของเขาไปที่เมืองจิ่งเต๋อเจิ้น หลังจากนั้นก็ได้หลอมเครื่องลายครามขึ้นมาชุดนึงและเครื่องลายครามเหล่านั้นก็ใช้ตัวจารึกอันเดียวกันกับตัวนี้เนี่ยแหะ”
“แต่เครื่องลายครามหงเซี่ยนมีไม่เยอะอีกอย่างหยวนซื่อค่ายได้ครองบัลลังก์เพียงแค่ 83 วันเท่านั้น จึงทำให้มีของปลอมเกิดขึ้นในยุคหมินกว๋อเยอะมาก จนถึงตอนนี้ของแท้ที่ถูกส่งต่อๆกันมาก็เหลือน้อยมาก ในพระราชวังโบราณเองก็ยังไม่มีของแท้เก็บอยู่ในนั้นเลยสักชิ้น”
หยางโปพูดถึงตรงนี้ก็ยกถ้วยขึ้นมาดูอีกรอบหลังจากที่มั่นใจแล้วเขาก็หันไปพยักหน้ากับลัวย่าวหัวพร้อมกับชี้ไปที่หยกกวนอิมของเขา
เพียงไม่กี่วินาทีทั้งสองคนก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร
หยางโปวางถ้วยในมือลงก่อนที่จะพูด “ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่ถ้านายชอบจะแลกก็ได้นะเพราะมันก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่”
“พูดบ้าอะไรของนายห๊ะ!” ลัวย่าวหัวแสร้งทำเป็นโมโหขึ้นมา
“โอเคๆ ฉันพูดมั่วซั่วเอง” หยางโปยิ้มก่อนที่จะเดินไปด้านข้างเพื่อปล่อยให้ลัวย่าวหัวมีช่องว่างในการทำการแลกเปลี่ยน
ลัวย่าวหัวยืนอยู่ตรงหน้าถ้วยลายนกกางเขนและต้นพลัมก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “คุณลองดูก่อนสิว่าหยกกวนอิมของผมเป็นยังไงบ้าง?”
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนและพวกเขาเองก็เห็นแต่แรกแล้วว่าหยางโปและลัวย่าวหัวยืนอยู่หน้าของของพวกเขาเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “นายไม่กลัวว่าจูเหรินถางจื้อชิ้นนี้ของฉันจะมีปัญหาเหรอ?”
ลัวย่าวหัวส่ายหน้า “จะมีหรือไม่มีปัญหาก็เป็นปัญหาในการประเมินของผมนั่นแหละครับ ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณหรอก”
“โอเค งั้นเรามาคุยกันก่อนก็แล้วกันนะ” อีกฝ่ายยิ้มออกมา
หยางโปที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลเห็นทั้งสองคนเริ่มเจรจากันแล้วเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา หลังจากที่กวาดตามองไปรอบๆก็พบว่าของจำนวนมากมีราคาไม่ได้สูงมากนักและมีเพียงเครื่องลายครามหงเซี่ยนเท่านั้นที่จะทำให้ลัวย่าวหัวไม่ขาดทุน แถมยังได้กำไรเพิ่มมาอีกหน่อยด้วย และที่สำคัญคือถ้วยลายครามหงเซี่ยนเป็นของที่หาได้ยากมากหลังจากนี้ราคาจะปรับขึ้นสูงมากอย่างแน่นอน
หยางโปเคยดูข้อมูลมาบ้างแล้วและจากข้อมูลที่เจอก็ได้ระบุไว้ว่าเครื่องลายครามหงเซี่ยนถูกผลิตขึ้นมาหกพันกว่าชิ้น บางแห่งก็บอกว่ามีมากกว่าหลักพัน บางแห่งก็บอกมีไม่กี่ร้อย แต่ไม่ว่าจะยังไงราคาของมันก็จะปรับขึ้นสูงและเร็วขึ้นมากอย่างแน่นอน
หลังจากช่วยลัวย่าวหัวแล้วหยางโปก็หันไปมองหาวัตถุโบราณของตัวเองต่อ ของภายในนี้ส่วนใหญ่มีราคาที่ค่อนข้างต่ำและถ้าหากแลกกันคนที่เสียเปรียบก็คือเขาเอง
เขาวางปิ่นปักผมสีทองลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนที่จะนั่งลง จู่ๆคุณอู๋ก็เดินมานั่งข้างๆเขาโดยที่ไม่ทันให้หยางโปได้ตั้งตัว
เขาหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาพูดว่า “ผมมีแจกันลายดอกไม้และเป็ดแมนดารินหลากสีอยู่ชิ้นนึงสนใจจะแลกเปลี่ยนกันไหม?”
หยางโปคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสนใจปิ่นปักผมของเขาเขาจึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไป “งั้นขอดูหน่อยสิครับ”
คุณอู๋กวักมือเรียกเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะมาเสิร์ฟชาให้กับเขา หลังจากกระซิบอยู่เพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มคนนั้นก็รีบเดินออกไป
“ปิ่นปักผมทองนี่ไม่เลวเลยนะครับ” คุณอู๋พูด
หยางโปยิ้มก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ
“แจกันต้าเต๋อถางของผมชิ้นนั้นยิ่งไม่เลวเข้าไปใหญ่เลย เดี๋ยวถ้าคุณเห็นคุณก็จะรู้เองล่ะครับ” คุณอู๋พูดซ้ำอีกครั้ง
หยางโปไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นเพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากเห็นของตรงหน้าเขาก็จะรู้ในทันทีว่ามันจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรือเปล่า
ในเวลาอันรวดเร็วขวดแจกันลายดอกไม้และนกแมนดารินก็ถูกนำออกมา คุณอู๋หันไปพยักหน้าให้เด็กหนุ่มคนนั้นก่อนที่เขาจะนำมันมาวางด้านหน้าหยางโป
หยางโปหันกลับมาก่อนที่จะยกขวดแจกันขึ้นมาดู
“ต้าเต๋อถาง” ชื่อนี้มีความหมายของ 《นโยบายของรัฐบาล》ระบุถึงข้อควรระวังอีกทั้งถ้าหากไม่มีคุณธรรมอยู่ในจิตใจบุคคลผู้นั้นก็จะไม่สามารถดูแลและจัดการชาติได้ ซึ่งมันเป็นความหมายเกี่ยวกับหลักคุณธรรมขั้นสูง โดยช่วงที่มีการผลิตขึ้นมาเริ่มแรกคือยุคของคังซีแต่ยุคที่ผลิตออกมาเยอะที่สุดคือช่วงหมินกว๋อ
หยางโปยกแจกันขึ้นมาดูด้านใต้ก่อนที่จะพบว่าตัวอักษรทั้งสี่ตัวไม่มีขอบด้านนอก ตัวอักษรถูกเขียนไว้อย่างเรียบร้อย แต่ไม่มีเส้นแนวนอนในคำว่า ‘เต๋อ’ ตรงตำแหน่งที่เป็นตัวอักษร’ซิน’ด้านล่าง และไม่มีจุดตรงคำว่า ‘จื้อ’ ที่อยู่ตรงตำแหน่งคำว่าตัวอักษร ‘อี’ ซึ่งทำให้ตัวอักษรยังดูไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ภายในห้องมีแสงไฟสว่างแต่แสงไฟภายในห้องกับแสงอาทิตย์มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกันกับเวลาที่เลือกซื้อเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า ภายใต้แสงไฟในห้างมันทำให้เสื้อผ้าดูสว่างและสดใหม่ แต่หลังจากที่ออกมาด้านนอกแล้วก็จะพบว่าสีของเสื้อผ้ามีสีที่ดรอปลงจากเดิม
เครื่องลายครามก็เช่นเดียวกัน หยางโปมองตัวอักษร ‘ต้าเต๋อถางจื้อ’ สี่ตัวที่อยู่ด้านล่างหากมองด้วยตาเปล่าก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่าเส้นกลางของตัวอักษร ‘เต๋อ’ ดูเหมือนว่าจะถูกขูดออกไป
ทันใดนั้นหยางโปก็เห็นแสงปรากฏขึ้นก่อนที่จะรวมกันตรงที่คอขวดแจกันจนทำให้เขาเกิดอาการตกใจขึ้นมา เพราะรูปร่างตรงหน้ากำลังบอกเขาว่าแจกันต้าเต๋อถางนี้ถูกผลิตขึ้นในปียุคของคังซี!
ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่โกงเพื่อผลประโยชน์ในเวลานี้ ถึงได้สร้างความสับสนขึ้นมาได้ขนาดนี้
เครื่องลายครามต้าเต๋อถางที่ผลิตในช่วงหมินกว๋อมีราคาสูงสุดอยู่ที่สองสามหมื่นหยวน แต่ถ้าหากเป็นเครื่องลายครามที่อยู่ในยุคคังซีที่หาได้ยากมากจะมีมูลค่าถึงหลักแสน!
หยางโปหันไปมองคุณอู๋ก่อนที่จะวางขวดแจกันลง “ปิ่นปักผมอยู่ในยุคราชวงศ์ถังถ้ายึดจากราคาตลาดแล้วอย่างน้อยๆก็สามารถขายได้หลักล้าน แต่เครื่องลายครามต้าเต๋อถางชิ้นนี้มีราคาสูงสุดอยู่ที่สามหมื่น คุณอู๋นี่รู้จักทำธุรกิจเหมือนกันนะครับ”
ใบหน้าของคุณอู๋แข็งทื่อไป “พ่อหนุ่มดูให้ดีก่อนเถอะของชิ้นนี้เป็นของที่ทำได้อย่างประณีตมากอย่างน้อยๆก็สามารถทำราคาได้หลักแสน แต่ของที่นายมีอยู่มากสุดก็เป็นแค่ปิ่นปักผมในยุคราชวงศ์ชิงเท่านั้น มันจะไปถึงราชวงศถังได้ยังไงกัน?”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นหยางโปก็แอบดีใจขึ้นมา เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเครื่องลายครามชิ้นนี้
เขายิ้ม “คุณอู๋จะเรียกเพื่อนมาดูก่อนก็ได้นะครับ ผมไม่ว่าอะไร”
คุณอู๋เกิดอาการลังเลและเขาเองก็ไม่อยากจะขายหน้าต่อหน้าหยางโปด้วยแต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเรียกเพื่อนของเขาให้มาช่วยดูให้
ในเวลานั้นเองที่ลัวย่าวหัวได้ทำการแลกเปลี่ยนสิ้นสุดลงเขาเห็นหยางโปเองก็เริ่มทำการเจรจาแล้วจึงเข้ามาดูด้วย
ในขณะเดียวกันเจ้าอ้วนหลิวก็ได้ใช้แหวนหยกเพื่อแลกเปลี่ยนกับกำไรมรกต ตอนนี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีอกดีใจราวกับว่าได้ของดีและสามารถทำกำไรจากของชิ้นนั้นได้สำเร็จ