เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก - ตอนที่ 291 เมิน / ตอนที่ 292 จากกันไม่ดี
ตอนที่ 291 เมิน
“ให้ฉันไปส่งบ้านไหม”
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน อันหร่านก็รับหน้าที่เป็นคนขับรถผู้รู้ใจที่จะขับรถไปส่งซย่าเสี่ยวมั่วที่บ้าน
“ฉันจะไปโรงพยาบาล” ซย่าเสี่ยวมั่วเก็บของ สะพายกระเป๋าแล้วเดินออกมา “ถ้าเป็นทางผ่านก็ไปส่งฉันหน่อยแล้วกัน”
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วบอกชื่อโรงพยาบาลไปอันหร่านก็ร้องเฮือก “เธอท้องเหรอ”
“หืม?” เธองุนงง ไปโรงพยาบาลกับตั้งครรภ์มันเกี่ยวกันด้วยเหรอ?
อันหร่านเห็นท่าทางของเธอก็รู้ทันทีว่าตนคงเดาผิด จึงกลอกตามองเธอ “นั่นเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเราเลยนะ ค่ารักษาแพงจะตาย เป็นตัวเลือกดีที่สุดที่พวกดาราใช้บริการกันเลย”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
“รักษาความเป็นส่วนตัวไง” อันหร่านตบกะโหลกเธอเบาๆ “แค่นี้ก็ไม่รู้ เอาสมองให้คนอื่นไปแล้วเหรอ”
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินตามเขาอยู่ข้างหลังอย่างเอื่อยเฉื่อย “คงงั้นมั้ง ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกเลยว่ามีสมองอยู่ด้วย”
“อย่ามา นางฟ้าตัวน้อยของเธอยังรอเธออัปการ์ตูนอยู่นะ ถ้าไม่มีสมองก็รีบไปเติมซะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอต่อ จึงโบกมือปัด “สรุปว่าเป็นทางผ่านหรือเปล่า ถ้าไม่ผ่านงั้นฉันไปก่อนนะ”
“ผ่านๆๆ ถึงไม่ผ่านแต่ฉันก็จะไปส่งอยู่ดี” อันหร่านควงกุญแจรถ โอบไหล่เธอเดินออกไป
“เธอจะลงรถไหม” อันหร่านมองเธออย่างประหลาดใจ รถจอดได้ห้านาทีแล้ว แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเลย
“ลง” ซย่าเสี่ยวมั่วปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับหลี่หมิงฉวีอย่างไร “เธอกลับบ้านดีๆ นะ บ๊ายบาย”
“บ๊ายบาย” อันหร่านมองตามจนเธอเดินเข้าประตูใหญ่ไปแล้วจึงถอยรถออกไป
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินปลายเท้าชิดกับหลังเท้า ราวกับกำลังวัดขนาดห้องโถงของโรงพยาบาล
เหยียนเค่อโดนฉินซื่อหลานปลุกเรียกอย่างป่าเถื่อนจึงเดินลงจากตึกอย่างขัดใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนที่เดินด้วยความเร็วปานหอยทากตรงใจกลางห้องโถงก็หลุบตาต่ำ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านเธอไป
เมื่อซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเหยียนเค่อก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะเห็นกับตาว่าอีกฝ่ายเมินใส่ตนแล้วเดินผ่านไป
“แม่งเอ๊ย” ซย่าเสี่ยวมั่วสบถคำหยาบ ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไปด้วยความโกรธขึ้ง เห็นแผ่นหลังนั่นโดนประตูหนีบจึงค่อยหายโมโหหน่อย เธอโดนเขาเมินอย่างนี้เนี่ยนะ เธอลูบผมตัวเองเป็นการปลอบโยนหัวใจที่ได้รับบาดเจ็บนี้
เหยียนเค่อไม่ต้องคิดก็รู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วคงไม่ได้มาโรงพยาบาลเพื่อมาหาฉินซื่อหลาน แต่มาหาหลี่หมิงฉวีต่างหาก แต่ไม่ว่าจะมาหาใครเขาก็รู้สึกอึดอัดใจเหมือนกัน
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินพึมพำคนเดียวจนถึงหน้าห้องพักผู้ป่วย ในใจยังหลงเหลือความโกรธที่มีต่อเหยียนเค่อ เคาะประตูห้องอย่างหงุดหงิด
“เชิญครับ” เสียงของหลี่หมิงฉวีดังขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ไกล ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจนนัก
ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็ไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไร หลังจากเข้าไปในห้องแล้วก็โบกมือให้คนที่นอนพิงอยู่บนเตียง “ฉันมาแล้ว”
“มั่วมั่ว ในที่สุดเธอก็มาเยี่ยมฉันแล้ว” หลี่หมิงฉวีตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง เขานึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่แล้วก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วกดกริ่งอย่างใจเย็น ก่อนจะหันมากำชับ “รอทีมแพทย์พยาบาลมาก่อนแล้วนายค่อยลุกละกัน อย่าเจ็บตัวซ้ำสองเลย”
หลี่หมิงฉวีเก็บความน้อยอกน้อยใจไว้ภายใน รอจนพยาบาลเข้ามาช่วยเหลือ
“ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บหนักอยู่ไหม”
“มั่วมั่ว ฉันคิดแล้วว่าเธอต้องเป็นห่วงฉัน” หลี่หมิงฉวีมองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ซย่าเสี่ยวมั่วมองสายตานั้นแล้วในใจก็รู้สึกตื่นกลัว
เธอก็แค่ถามคำถามที่คนปกติเขาพูดกันเวลามาเยี่ยมไข้เท่านั้น ทำไมถึงคิดเป็นอย่างนั้นไปได้นะ…
ซย่าเสี่ยวมั่วอารมณ์ไม่ดีและก็ไม่อยากไว้หน้าเขาด้วย จึงพูดตามตรง “ฉันก็แค่ถามเป็นมารยาทเท่านั้นแหละ นายจะไม่ตอบก็ได้”
“เธอก็ชอบปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ตลอด ในใจคงร้อนรนอยากจะรู้อาการป่วยของฉันใช่ไหมล่ะ”
ไอ้หมอนี่มันไม่ได้เป็นบ้าอะไรใช่ไหม
ตอนที่ 292 จากกันไม่ดี
ซย่าเสี่ยวมั่วดึงมือที่โดนเขาดึงไปกุมไว้ออก ก่อนจะเกาหน้าผากตัวเองอย่างนึกรำคาญ “นายเรียกฉันมามีอะไรกันแน่ นายรู้เบอร์โทรฉันได้ยังไง”
“มั่วมั่ว ฉันอยากกลับไปคบกับเธอจริงๆ นะ เรื่องเมื่อตอนนั้นฉันอธิบายได้”
“นายจะอธิบายก็ได้แต่ฉันไม่อยากโดนน้ำกรดสาดอีกแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วยกมือขึ้นขัดคำพูดของเขา สิ่งที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว จะมาอธิบายทำบ้าอะไรอีก อย่างเหยียนเค่อ ทุกครั้งที่ทำผิดเขาก็จะทำอย่างใจกล้าไปเลย มีอะไรให้อธิบายกันเล่า “เรื่องกลับไปคบไม่ต้องพูดถึงแล้ว มีเรื่องอื่นอีกไหม”
หลี่หมิงฉวีโดนขัดก็เริ่มพูดมั่วซั่ว “อย่านึกว่าเลิกกับฉันแล้วเธอจะได้คบกับเหยียนเค่อนะ เธอคบกับฉันไม่ได้ก็คบกับเหยียนเค่อไม่ได้เหมือนกัน”
ซย่าเสี่ยวมั่วสงสัยว่าเหยียนเค่อทุบหัวเขาจนสมองมีปัญหาหรือเปล่า ทำไมอาการเหมือนคนใกล้จะเป็นโรคประสาทเลยล่ะ เธอไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ของเธอกับเหยียนเค่อให้หลี่หมิงฉวีฟัง แค่เพียงเอ่ยอย่างเรียบนิ่งเท่านั้น “นายช่วยพูดเข้าประเด็นหน่อยได้ไหม นายเรียกฉันมามีอะไรกันแน่”
หลี่หมิงฉวีเห็นเธอไม่ยอมโอนอ่อนให้จึงพูดออกมาอย่างหมดเปลือก “เหยียนเค่อเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านตระกูลเหยียน เป็นผู้สืบทอดคนที่สองของเหยียนกรุ๊ป เขายังมีคู่หมั้นด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางสังคมหรือครอบครัวก็ตาม เธอคิดว่าพวกเธอจะคบกันได้เหรอ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” แถมฉันยังรู้ว่าเขาเป็นนักธุรกิจดีเด่นของเมือง N ด้วย…ซย่าเสี่ยวมั่วตำหนิในใจ
“เธอ…” หลี่หมิงฉวีหมดคำพูด “ฉันก็แค่อยากบอกเธอ ว่าเธอกับเขามันเป็นไปไม่ได้”
“ฉันกับเขาจะเป็นไปได้ไหมก็ไม่ต้องให้นายมาบอกฉัน”
“แต่ว่าเขากำลังหลอกเธออยู่นะ!” หลี่หมิงฉวีไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับตามที่คาดหวังไว้ จึงคำรามอย่างขุ่นเคือง “เขาเป็นพวกคุณชายเพลย์บอยที่ไม่ทำการทำงาน”
ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าหลี่หมิงฉวีช่างน่ารำคาญเสียจริง
ตัวตนของเหยียนเค่อถูกเปิดเผยยังไม่มาร้องตะโกนต่อหน้าเขาสักคำ แล้วหลี่หมิงฉวีเป็นใครถึงมาพูดถึงเหยียนเค่อเสียๆ หายๆ แบบนี้
ผู้ชายที่เอาคู่แข่งของตนมาพูดลับหลังเสียๆ หายๆ ก็แย่พออยู่แล้ว แถมสถานะของพวกเขาสองคนยังซับซ้อนเข้าใจยากแบบนี้อีก
“นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับนาย” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่พอใจ “อย่างน้อยเหยียนเค่อที่ฉันรู้จักก็มีความรับผิดชอบกว่านาย รักเดียวใจเดียวกว่านาย รักเคารพในหน้าที่การงานกว่านาย สูง หล่อ มีมาดกว่านาย!”
คนที่แอบฟังอยู่นอกประตูกดตัดสายอย่างเงียบเชียบ บนหน้าจอโทรศัพท์โชว์คำว่า ‘เหยียนเค่อ’ อยู่ โดยต่อสายมาแล้วเกือบยี่สิบนาที
หลี่หมิงฉวีได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็บิดเบี้ยว มองซย่าเสี่ยวมั่วที่ไม่เหมือนกับคนในความทรงจำอย่างเจ็บปวดหัวใจ “เธอก็ยังจะชอบเขาอยู่ดีใช่ไหม”
“เกี่ยวอะไรกับนาย” การที่ซย่าเสี่ยวมั่วโกรธเหยียนเค่อนั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน ซย่าเสี่ยวมั่วแอบสาปแช่งเหยียนเค่อในใจได้ แต่หลี่หมิงฉวีไม่มีจุดยืนในการมาตำหนิติเตียนเหยียนเค่อเลย สิ่งเดียวที่ทำให้เขาโกรธได้ก็น่าจะเป็นการที่เหยียนเค่อทำร้ายเขาจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เรื่องนี้ก็ต้องโทษหลี่หมิงฉวีเองที่กระจอกสู้เขาไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร หลี่หมิงฉวีก็แค่คนขี้ขลาดเท่านั้น
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากเล่นสงครามน้ำลายกับเขาต่อ “ตอนเราเลิกกันฉันไม่เคยคาดหวังเลยว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ฉันก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับนาย ฉันคิดว่าไม่ต้องมายุ่งกันอีกจะดีกว่า”
“ทำไมเธอถึงกลับมาคบกับฉันไม่ได้อะ ฉันยังรักเธออยู่จริงๆ นะ”
คำว่า ‘รัก’ ยิ่งพูดออกมาได้ง่ายดายเท่าไร ความรักที่มีก็น้อยลงเท่านั้น ความรักไม่ได้อยู่ที่ปาก ที่จะสามารถออกมาได้ทุกครั้งที่เอ่ยเรียกสักหน่อย
“นั่นมันก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉัน” ทั้งคู่ไม่มีความจำเป็นอะไรให้ต้องเสวนากันอีกต่อไปแล้ว “ถ้านี่คือ ‘เรื่องสำคัญ’ ที่นายอยากบอกฉันละก็ ฉันว่าการพูดคุยของเราก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้”
หลี่หมิงฉวีมองซย่าเสี่ยวมั่วหันตัวจากไปอย่างไร้ซึ่งความอาวรณ์ตาปริบๆ นิ้วมือกำผ้าปูเตียงแน่น ในใจเปี่ยมไปด้วยความโกรธ