เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก - ตอนที่ 437 ความโกรธแค้นเปลี่ยนผ่าน / ตอนที่ 438 คิดถึงอดีต
ตอนที่ 437 ความโกรธแค้นเปลี่ยนผ่าน
เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเหยียนเค่อไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็ตรงใจเหยียนเค่อมากทีเดียว เมื่อกลับไปที่บริษัทก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
ผู้ช่วยหวังได้รับแจ้งข่าวตั้งแต่แรก เมื่อเห็นเจ้านายของตนกลับมาก็ซับเหงื่อก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ท่านไม่อยากคุยธุรกิจก็อย่าทำเขาโมโหจนต้องเข้าโรงพยาบาลสิครับ”
“ผมเป็นคนทำหรือไง” เหยียนเค่อปรายตามองก่อนจะถามกลับ
ผู้ช่วยหวังไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เพราะปกติแล้วเหยียนเค่อจะเป็นคนที่ค่อนข้างสดใส โชว์ความหล่อและสง่างามมาโดยตลอด ดังนั้นมองจากภายนอกแล้วจะอ่านความคิดภายในใจของเหยียนเค่อไม่
ออก แต่คนที่ทำงานร่วมกับเหยียนเค่อมาหลายปีอย่างพวกเขานั้น แค่ดูอย่างละเอียดทีหนึ่งก็รู้ว่าตอนนี้
เหยียนเค่อมีอารมณ์ที่ผ่อนคลาย
‘คนเขาเข้าโรงพยาบาล ทำไมท่านถึงยังสบายใจได้อยู่อีก ทำแบบนี้จะดีหรือ’ ผู้ช่วยหวังตำหนิในใจ
ใช่ว่าเหยียนเค่อจะไม่สนใจชีวิตของคนอื่นเสียที่ไหน เพียงแต่ตาเฒ่าอิ่นสุขภาพไม่แข็งแรงอยู่แล้ว การที่โมโหจนเป็นลมล้มพับไป อย่างมากที่สุดก็เป็นเพราะความดันขึ้นกะทันหัน
เรื่องคราวนี้ไม่ได้ไม่ได้จัดการยากเท่าเมื่อก่อน เหยียนเค่อจัดการปัญหาไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลังจากแผนกประชาสัมพันธ์ทำในส่วนสุดท้ายเสร็จ ก็จะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจจาก YAN ไปสู่พวกคนที่ไม่สลักสำคัญอะไรได้แล้ว ดังนั้นผลลัพธ์โดยรวมก็เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับผู้ช่วยหวัง อย่างไรเสียเจ้านายก็ไม่ได้เอางานพวกนั้นมาเพิ่มให้เพวกเขา
“พรุ่งนี้พวกคุณก็ไปเยี่ยมเขาแทนผมหน่อยนะ” พรุ่งนี้เหยียนเค่อต้องไปเอาสัญญาของบ้านตระกูลอิ่นฉบับนั้นมาเซ็นให้เรียบร้อย เพราะถ้าตาเฒ่าอิ่นฟื้นแล้ว YAN ก็หนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องเซ็นสัญญากับบ้านตระกูลอิ่นอยู่ดี
“ครับ” ผู้ช่วยหวังเข้าใจจุดประสงค์ของเขา
เหยียนเค่อเปิดประชุมเล็กๆ และสั่งงานทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย ขณะกำลังผ่อนลมหายใจว่าจะกลับไปพักผ่อนก็ได้รับโทรศัพท์จากสวีอิ๋งอิ๋ง
เหยียนเค่อรับโทรศัพท์แต่ไม่ได้พูดอะไร มีเพียงเสียงที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ของสวีอิ๋งอิ๋งที่ลอดออกมาเท่านั้น
“นายจงใจใช่ไหม แค่เพราะว่าซย่าเสี่ยวมั่วอย่างนั้นหรือ” สวีอิ๋งอิ๋งยังจำสายตาของสวีอันหรานตอนที่เธอพูดถึงซย่าเสี่ยวมั่ว และความหมายในคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี
ก็ถือว่าไม่ได้โง่เกินไป เห็นคนอื่นใช้น้ำเสียงเหยียดหยามขนาดนี้ด่าทอคนที่เหยียนเค่อยังไม่กล้าแม้แต่จะต่อว่า เขาทำให้สวีอิ๋งอิ๋งเสื่อมเสียชื่อเสียงแค่นี้ยังนับว่าน้อยไป
เหยียนเค่อไม่ได้ปฏิเสธ แต่เขาไม่อยากให้สวีอิ๋งอิ๋งเอาความโกรธแค้นนี้ไปลงกับซย่าเสี่ยวมั่ว จึงเอ่ยขึ้น “ฉันตั้งใจนั่นแหละ เพราะอะไร…เธอก็น่าจะรู้ดี ส่วนเหตุผลอื่น เธอจะคิดยังไงก็เรื่องของเธอ”
เหยียนเค่อกลัวเธอจะอัดเสียงไว้ จึงไม่ขอพูดมาก แต่ไม่สาวไปถึงตัวซย่าเสี่ยวมั่วแน่นอน
ความจริงถ้าไม่ใช่เป็นเพราะซย่าเสี่ยวมั่ว ในใจของสวีอิ๋งอิ๋งก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้ ก็เหมือนกับขอทานคนหนึ่งที่จะไม่อาฆาตแค้นคนรวยที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ แต่กลับโมโหเพราะขอทานอีกคนได้ข้าวมากกว่าตนชามหนึ่ง
สวีอิ๋งอิ๋งไม่ได้คิดมากเพราะเหยียนเค่อต่อว่าเธอ แต่กลับริษยาผู้หญิงด้วยกันอย่างซย่าเสี่ยวมั่วที่ได้รับการปกป้องดูแลจากเหยียนเค่อ
เหยียนเค่อรู้ข้อนี้ดี ที่สำคัญก็คือต่อให้สวีอิ๋งอิ๋งทำอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อเขา เขาก็ไม่ได้ระคายเคืองเท่าไรนัก แต่ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นจุดอ่อนสำคัญของเขา และความสามารถในการป้องกันตัวของซย่าเสี่ยวมั่วก็ยังต่ำมากอีกด้วย ให้เธอเอาความโกรธแค้นมาลงที่เขาจะดีกว่า
สวีอิ๋งอิ๋งนึกไปถึงเรื่องที่พ่อของตนสั่งกำชับไว้ จึงเอ่ยขึ้นมา “พ่อฉันชวนนายมากินข้าวที่บ้าน”
เมื่อเหยียนเค่อได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีข้ออ้างที่จะปลีกตัวออกไปได้ แถมการไปเมืองหลวงครั้งนี้ก็ไปภายใต้ชื่อของสวีอันหราน จะเอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้ ท่าทางคงต้องจัดการที่สวีอิ๋งอิ๋งนี่ล่ะ
“เธออยากให้ฉันไปเจอพ่อเธอไหม”
“ไม่อยาก” นี่เป็นคำถามที่ไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้ต้องเจอกันก็ควรจะให้เหยียนเฟิงมาเสียมากกว่า สวีอิ๋งอิ๋งตอบอย่างชัดเจน
เหยียนเค่อกลอกตา ผู้หญิงคนนี้เหลือเชื่อเลยจริงๆ เขาควรจะดีใจสินะ
ตอนที่ 438 คิดถึงอดีต
สุดท้ายเรื่องกินข้าวก็โดนสวีอิ๋งอิ๋งปัดตกไปโดยการยั่วยุของเหยียนเค่อ ตอนแรกเหยียนเค่อยังไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนที่สวีอันหรานโทรบอกให้เขาหาเวลาว่างไปกินข้าวที่บ้านสวีอิ๋งอิ๋งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจนั้น เหยียนเค่อก็เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
“นายเป็นคนเสนอเหรอ”
สวีอันหรานที่กำลังพูดอย่างเบิกบานใจโดนเขาเบรกจนสำลัก เงียบอยู่นานจึงจะปฏิเสธ “เปล่า”
เหยียนเค่อคิดเองในใจ ก่อนจะวางสายในทันที
เหยียนเค่อหมดอารมณ์จะด่าสวีอันหรานแล้ว ให้เขาได้ใจไปก่อนเถอะ
วันต่อมาบ้านตระกูลอิ่นและบ้านตระกูลสวีออกประกาศพร้อมกัน เป็นการอธิบายเหตุการณ์ครั้งนี้โดยคร่าวๆ ตอนที่เหยียนเค่อเห็นข่าวแล้วก็พอจะเดาได้ว่าสวีอันหรานต้องให้สิทธิประโยชน์กับบ้านตระกูลอิ่นไปไม่น้อย ถึงได้ปล่อยผ่านไปง่ายๆ แบบนี้
สวีอันหรานเสียดายเงินแทน เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหยียนเค่อแล้ว ที่ต้องทำไปก็เพราะรักษาหน้าชัดๆ ไม่มีทางเจรจากันได้เลย มันน่าน้อยใจจริงๆ
คนที่เคยใช้ชีวิตล้มลุกคลุกคลานอยู่ต่างประเทศอย่างพวกเขา ล้วนเคยชินกับคำว่า ‘ไม่มีคำว่าพ่อลูกบนโต๊ะประชุม’ แล้ว ขอแค่มีผลประโยชน์ฝ่ายของตนก็จะพยายามแย่งชิงมาให้ได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับบ้านตระกูลอิ่นแล้วไม่จำเป็นต้องเจรจาเลย พวกเขาแสดงออกชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการให้คุณไว้หน้าเขา
ซย่าเสี่ยวมั่วก็เห็นเรื่องนี้จากข่าวเหมือนกัน เมื่อก่อนเธอไม่เคยได้ติดตามข่าวเท่าไร นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนรู้จักคุ้นเคยบนโทรทัศน์ เธอคิดไม่ถึงว่าคู่หมั้นของเหยียนเค่อจะร้ายขนาดนี้ แค่เห็นหน้าแล้วก็หมดอารมณ์จะดูต่อ
เมื่อวานอันหร่านจะกินข้าวที่บ้านเธอให้ได้ แถมยังร่ายชื่อเมนูอาหารมาอีกเป็นแถว หลังจาก
ซย่าเสี่ยวมั่วทำอาหารเสร็จ ก็รู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างไม่ใช่ของเธออีกต่อไป วันนี้เช้ากว่าจะลุกจากเตียงได้ก็แสนจะยากลำบาก เธอตัดสินใจว่าจะไม่ไปทำงานแล้ว ตอนเช้าพักผ่อนอยู่บ้าน ตอนบ่ายค่อยไปเดินเล่นที่สนามขี่ม้า
อันหร่านก็รู้ว่าตนกดขี่แรงงานมากเกินไป ตอนเช้าตรู่ยังบังคับให้ซย่าเสี่ยวมั่วทำอาหารให้เธอเอาไปกินที่บริษัทอีก และเธอก็รับปากอย่างอิดออด
ซย่าเสี่ยวมั่วนั่งดูตลิปอยู่บนโซฟาพลางบีบนวดแขนข้างขวาที่ปวดเมื่อย วันนี้เธอยกแขนขึ้นมาวาดรูปไม่ได้จริงๆ นอกจากนั่งอยู่เฉยๆ แล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก สุดท้ายก็ฟุบหลับไปบนโซฟาด้วยความง่วงงุน เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายหนึ่งแล้ว
“ตายแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วคว้าโทรศัพท์แล้วดีดตัวลุกขึ้นมา จนเกือบจะเตะโน้ตบุ๊กที่อยู่บนหน้าขาของตนทิ้งไปเสียแล้ว
เธอเดินลากเท้าเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างเอื่อยเฉื่อย ในห้องน้ำมีเครื่องใช้ส่วนตัววางอยู่อีกชุดหนึ่ง ขณะที่ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาก็ชะงักไป แก้วน้ำเซ็ตลาธารของ
นาโอย่า อารากาว่า[1]คู่หนึ่งวางอยู่ตรงนั้น ในแก้วใบหนึ่งมีแปรงสีฟันสีขาว แก้วอีกใบหนึ่งยังมีแปรงสีฟันสีดำอีกด้ามหนึ่ง
แต่ซย่าเสี่ยวมั่วก็หยิบแก้วน้ำของตัวเองมารองน้ำแปรงฟัน
เธอจำได้ว่าแก้วเซ็ตนี้เหยียนเค่อเป็นคนซื้อ แก้วใบเดิมของเหยียนเค่อสั่งทำมาจากฝรั่งเศส แต่โดนซย่าเสี่ยวมั่วทำแตกตั้งแต่วันแรก และเหยียนเค่อก็ไม่ชอบใจแก้วน้ำสีชมพูหวานแหววของเธอนัก ทั้งคู่จึงเปลี่ยนมาใช้แก้วน้ำใสเซ็ตท้องฟ้ายามค่ำคืนแทน
บอกตามตรง ซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่เคยใช้แก้วที่แพงขนาดนี้ดื่มน้ำมาก่อนเลย ตอนที่เหยียนเค่อโยนกล่องไม้มาให้เธอนั้น เธอยังนึกว่าเป็นของราคาถูก แต่เมื่อลองหาสินค้าแบบเดียวกันในเว็บช็อปปิ้งออนไลน์จึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันแพงขนาดไหน แต่ตอนนี้เธอเอาแก้วที่แพงขนาดนี้มาบ้วนปากก็ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว
เธอจัดการธุระส่วนตัวสักพักหนึ่งก่อนจะเรียกรถไปที่สนามขี่ม้าแถบชานเมือง คนขับรถเห็นเธอแบกกระเป๋าไปหลายใบก็นึกว่าเธอเป็นช่างภาพมือสมัครเล่น
“ฉันจะไปขี่ม้าน่ะค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วสวมชุดหนาจนจะเป็นลูกบอลอยู่แล้ว ไม่กล้าพูดเลยว่าตัวเองจะไปฝึกขี่ม้า
“ไปขี่ม้าไม่ต้องเอาอุปกรณ์อะไรไปเหรอครับ” โชเฟอร์ไม่เข้าใจ พวกผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีใครเขานั่งรถแท็กซี่ไปขี่ม้ากันหรอก แต่วันนี้ดันมาเจอคนหนึ่ง
ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ว่าเธอแบกขาตั้งวาดรูปกับสะพายกระดานวาดรูปมา เธอยังจำได้ตอนที่พี่ชายโดนคุณลุงบังคับให้ไปขี่ม้าได้ดี ตอนนั้นเธอยืนดูอยู่ตรงข้างนอก ตอนนั้นยังรู้สึกน่าขัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาหน่อยแล้ว
——
[1] นาโอย่า อารากาว่า ช่างทำแก้วชาวญี่ปุ่น