เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 169
ตายแน่แล้ว!
นี่เป็นสิ่งที่เฉียวซือมู่คิดได้ในตอนนี้ เสี้ยววินาทีนั้นตรงหน้าเธอปรากฏภาพผู้คนมากมาย มีหรงเซียว เฝิงเจ๋อ คุณแม่ จากนั้นภาพของทุกคนเลือนหายไป เหลือไว้เพียงภาพของจิ้นหยวนที่มีรูปร่างสง่างาม ใบหน้าเปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นภาพสุดท้าย
“ปัง!”
ทันใดนั้น เสียงแปลกๆ เสียงหนึ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนดังขึ้น มีดเล่มยาวตรงหน้าตัวเองกลับยังไม่ได้แทงลงมาดังที่ควรจะเป็น เธอลืมตาขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ยังไม่ทันได้มองดูทุกอย่างให้ชัดเจนเธอก็ถูกใครคนหนึ่งดึงตัวเธอเข้าไปโอบกอดเอาไว้แน่น
ไม่ต้องมีคำเอื้อนเอ่ยใดๆ และไม่ต้องเห็นเองกับตาตัวเองเธอก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของอกแกร่งผู้นี้เป็นใครจากกลิ่นเฉพาะตัวของจิ้นหยวน
เขามาช่วยเธอแล้ว ดีจัง
ทันใดนั้น ดวงตาของเธอเต็มไปได้วยหยาดน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า จิ้นหยวนเพียงแค่กอดเธอเอาไว้ครู่เดียวแล้วคลายมือออกจนเธอเป็นอิสระ และนั่นทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เธอเงยหน้าขึ้นมองเห็นจิ้นหยวนกำลังสั่งลูกน้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ลากออกไปแล้วจัดการให้เรียบร้อย”
“ครับ!”
จากนั้นเสียงลากของหนักๆ ดังขึ้น เธอมองลงไปตามเสียงนั้นแล้วพบว่ามันเป็นร่างที่ไม่ไหวติงของจ้านซีเยวี่ย หัวใจเธอกระตุกอย่างแรง รีบหันไปถามจิ้นหยวนด้วยความตกใจ “เธอ… เธอเป็นอะไรไปคะ?”
เธอหวนนึกถึงเสียงดังปังใหญ่ที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่แล้วไม่อยากจะเชื่อ
จิ้นหยวนเหลือบมองเธอแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเพียงสั้นๆ “เธอตายแล้ว”
เธอชะงักนิ่งอึ้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตายแล้ว? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”
แม้จ้านซีเยวี่ยจะเป็นคนที่เลวร้ายที่สุด แต่เธอยังคงยอมรับความจริงไม่ได้ว่าจ้านซีเยวี่ยที่เพิ่งจะแสดงแสนยานุภาพของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตจะกลายเป็นศพไปแล้วจริงๆ
จิ้นหยวนมองเธอหน้าเครียด พยายามสะกดกลั้นความคิดที่อยากจะดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้อย่างยากเย็นแล้วเอ่ย “ตอนนั้น ถ้าเธอไม่ตายคุณก็ต้องตาย”
เฉียวซือมู่นิ่งเงียบ เธอยังจำความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงในเสี้ยววินาทีนั้นได้ดี ถ้าเขามาไม่ทันเวลาตอนนี้คนที่นอนจมกองเลือดคงเป็นตัวเธอเอง
เมื่อคิดได้ดังนี้จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอเห็นกองเลือดบนพื้นแล้วก็รู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมาทันที ร่างกายเธอโงนเงนเล็กน้อย เธอยื่นมือออกไปหมายจะจับมือของเขาเอาไว้ แต่เธอกลับรู้สึกว่ามือของตัวเองสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่มันแข็งมาก
เธอชายตามองด้วยความสงสัยแล้วพบว่าสิ่งนั้นเป็นวัตถุสีดำเป็นมันเงาเหมือนในภาพยนตร์ไม่มีผิด เธอตกใจจนหัวใจสั่นสะท้านแล้วมองเขาด้วยความหวาดกลัว
จิ้นหยวนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอเห็นอาวุธในมือของเขาแล้ว เขารีบเก็บมันอย่างรวดเร็ว แต่มาคิดๆ ดูอีกทีเขาควรทำให้เธอคิดได้เสียบ้าง จึงแข็งใจเอ่ยขึ้นใหม่ “ถ้าเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะผมมีเจ้านี่อยู่ในมือ ป่านนี้คุณคงตายไปแล้ว”
ใช่แล้ว เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเขาเป็นคนยิงทะลุหน้าผากจ้านซีเยวี่ยเองกับมือเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมด
เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าซีดขาวของเธอแล้วเอ่ยถาม “คุณกลัวเหรอ?”
ในที่สุดเธอก็มั่นใจแล้วว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มันคืออะไร แม้ร่างกายเธอจะเย็นเฉียบ มือสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เธอยังคงส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างดื้อรั้น “ไม่กลัว” เธอมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงอุบอิบ “เพราะฉันคุณถึงได้…”
แววตาของเขาอ่อนแสงลงทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาอยากจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอแต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้
“เราออกไปกันก่อนเถอะ” เขามองดูลูกน้องที่กำลังกุลีกุจอเคลียร์พื้นที่แล้วเอ่ยเสียเบา
เธออยากจะออกไปจากที่นี่ตั้งนานแล้วจึงรีบตอบตกลงทันที
ทั้งสองกำลังเดินออกจากห้อง ทันใดนั้นเธอหันกลับไปมองข้างในห้องราวเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอรีบคว้าตัวเขาเอาไว้แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “หรงเซียวล่ะ?”
อย่าบอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ?
เขาเหลือบมองเธอแวบหนึ่งแต่กลับไม่ตอบอะไรสักอย่าง เธอรอคำตอบของเขาอยู่ตั้งนานจนเริ่มท้อแท้เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจดี “เธอไม่เป็นอะไร พวกเราช่วยเธอเอาไว้ได้”
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก “คุณเกือบทำให้ฉันหัวใจหายแล้วนะ”
จิ้นหยวนกำลังจะอ้าปากพูด แต่ทันใดนั้นเสียงขลาดๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังเธอ “พี่มู่มู่…”
เธอหันกลับไปมองจึงเห็นหรงเซียวที่มีใบหน้าขาวซีดกำลังยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง แววตายังคงแฝงรอยหวาดผวา “พี่มู่มู่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
ในเวลาขวัญหนีดีฝ่อเช่นนี้หรงเซียวยังอุตส่าห์มีใจปลอบเธออีก มันทำให้เธอรู้สึกตื้นตันใจมาก เธอพยักหน้าให้หรงเซียวแล้วเอ่ย “พี่ไม่เป็นไร ขอบใจเธอมาก”
ใบหน้าซีดขาวของหรงเซียวเริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย เธอรีบส่ายศีรษะ “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ช่วยอะไรพี่เลย คุณจิ้นต่างหากที่มาทันเวลาพอดี”
เฉียวซือมู่มองหรงเซียวด้วยสายตาอ่อนโยน แค่เสียงตะโกนอย่างไม่คิดชีวิตของหรงเซียวเพียงแค่ประโยคเดียวมันก็มากเพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกขอบคุณหรงเซียวไปชั่วชีวิตแล้ว
จิ้นหยวนที่รู้ที่มาที่ไปแล้วเริ่มมองหรงเซียวอย่างเป็นมิตรมากขึ้น “เธอเป็นคนดีมาก ฉันจะต้องตอบแทนน้ำใจเธออย่างแน่นอน”
คราวนี้หรงเซียวหน้าแดงเป็นลูกตำลึง เธอรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่… ไม่หรอกค่ะ มันเป็นเรื่องที่ฉันสมควรทำอยู่แล้ว อีกอย่าง พี่มู่มู่ก็ดีกับฉันมาก…”
“อย่าพูดเรื่องพวกนี้อีกเลย บ้านเธอยังอยู่ได้อีกหรือเปล่าเนี่ย? เอาอย่างนี้ กลับไปกับพี่ก่อนไหม?” เฉียวซือมู่รีบเชื้อเชิญทันที
หรงเซียวปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ฉันไม่เป็นไรค่ะ บ้านแค่รกไปหน่อย เก็บกวาดนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว…”
เฉียวซือมู่อยากจะพาหรงเซียวไปด้วยเพราะไม่อยากให้เธออยู่ในบ้านที่มีคนตายคนเดียว แต่เมื่อเห็นว่าหรงเซียวปฏิเสธหนักแน่นขนาดนั้นจึงไม่ได้คะยั้นคะยอเธออีก เธอปลอบหรงเซียวอยู่อีกชั่วครู่แล้วเตรียมตัวจะกลับ
ทันใดนั้น หรงเซียวกัดฟันเรียกเฉียวซือมู่เอาไว้เสียก่อน “พี่มู่มู่…”
“มีอะไรเหรอ?” เฉียวซือมู่หันกลับไปเอ่ยถาม
เฉียวซือมู่สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของหรงเซียวตั้งนานแล้ว เธอเดาว่าหรงเซียวคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เธอจึงไม่แปลกใจเลยที่ถูกหรงเซียวเรียกเอาไว้
จิ้นหยวนมองหญิงสาวทั้งสองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “เดี๋ยวผมไปรอคุณที่รถนะ”
เขาดูออกว่าหรงเซียวมีเรื่องอยากจะคุยกับเฉียวซือมู่จึงเลี่ยงออกไปให้ทั้งสองได้คุยกันอย่างสะดวก
เฉียวซือมู่มองหรงเซียวแล้วเอ่ยถาม “เอาล่ะ เธออยากจะคุยอะไรกับพี่เหรอ?”
เมื่อกี้เป็นเพราะจิ้นหยวนยืนอยู่ข้างๆ หรงเซียวจึงไม่กล้าพูดความจริง ตอนนี้เขาออกไปแล้ว เธอจึงเอ่ยอย่างโล่งอก “ฉันอยากให้พี่ช่วยตามหาตัวเฝิงเจ๋อค่ะ เขา… เขา…”
หรงเซียวอ้ำอึ้งอยู่นานสองนานแต่ก็พูดไม่จบเสียที เฉียวซือมู่คิดๆ แล้วเข้าใจทันที จู่ๆ เฝิงเจ๋อก็กลับลำไม่ทำตามแผน จ้านซีเยวี่ยไม่มีทางปล่อยเขาเอาไว้แน่ ตอนนี้เฝิงเจ๋ออาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้
สีหน้าของเฉียวซือมู่ขรึมลง “พี่เข้าใจความหมายของเธอแล้ว เดี๋ยวพี่ให้คนออกไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
หรงเซียวโล่งอก สีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมากค่ะพี่มู่มู่”
เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่ต้องเกรงใจ เฝิงเจ๋อก็เป็นเพื่อนพี่เหมือนกันนะ”
เธอหันไปเรียกลูกน้องของจิ้นหยวนที่ยืนอยู่อีกฝั่งให้เข้ามาหาแล้วเล่าเรื่องของเฝิงเจ๋อให้ลูกน้องคนนั้นฟังเพื่อให้เขาแจ้งเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนทราบ เธอมองดูลูกน้องคนนั้นวิ่งตรงไปยังรถที่จอดรอเธออยู่แล้วหันกลับมาครุ่นคิดเล็กน้อย “ต่อจากนี้เธอจะเอายังไงต่อ?”
หรงเซียวทำหน้าเหลอหลา “เอายังไงต่อ ก็ไปทำงานตามปกติไงคะ”
หรงเซียวเห็นสีหน้าของเฉียวซือมู่แล้วเพิ่งเข้าใจความหมายว่าเธอหมายถึงเรื่องของเฝิงเจ๋อ เธอยิ้มขมขื่น “ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขานานแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันหวังเพียงแค่ขอให้เขาปลอดภัยก็พอ เรื่องอื่นฉันไม่กล้าคิดแล้วล่ะค่ะ”