เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 186 ทันเวลาพอดี
“ไม่นึกเลยว่าคุณจะละโมบโลภมากขนาดนี้ ไหนบอกมาซิว่าอยากได้อะไร เราจะพยายามทำให้คุณพอใจ แต่ว่าอย่าให้มันมากเกินไปก็แล้วกัน… คุณต้องเข้าใจหน่อยนะว่าความอดทนของเรามีขีดจำกัดเหมือนกัน”
ความหมายของเขาก็คืออย่าเล่นตัวให้มันมากนัก รีบๆ พูดมาแล้วไสหัวออกไปจากที่นี่ได้แล้ว
เธอเข้าใจดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เธอหลุบตาลงแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่จะบอกว่า ถ้าจะให้เลิกกันก็ให้จิ้นหยวนเป็นคนมาพูดเอง ส่วนคุณ คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดกับฉันแบบนี้”
เธอไม่ใช่คุณหนูอ่อนต่อโลก เพราะฉะนั้น เธอไม่มีทางไปจากที่นี่เพียงเพราะลมปากของคนตรงหน้าเด็ดขาด
ชายคนนั้นเห็นท่าทางของเธอแล้วหรี่ตายาวรีของตัวเองมองเธอด้วยความคาดไม่ถึง อาจจะเป็นเพราะเธอแตกต่างจากมโนภาพของเขาก็ได้ แต่ว่า… ต่อให้เธอปฏิเสธชัดเจนอย่างไรก็ตาม เขากลับไม่รู้สึกร้อนใจเลยสักนิด และได้เวลาที่เขาจะทิ้งไพ่ใบที่สองแล้ว
“คุณรู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนคุณจิ้นค้างคืนที่ไหน?”
เฉียวซือมู่มองเขาแวบหนึ่ง “คุณกำลังจะบอกว่าเขาอยู่กับคุณหนูหร่วนทั้งคืนเหรอคะ?”
เธอเคยเห็นลูกเล่นแบบนี้จากในโทรทัศน์มาเยอะแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นตัวเอกเหมือนในละครน้ำเน่าพวกนั้น
เธอไม่คิดจะเชื่อคำพูดของเขาแม้แต่คำเดียว เพราะเธอเชื่อใจจิ้นหยวน เชื่อช่วงเวลาที่ทั้งสองฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกัน และเชื่อความจริงใจที่ทั้งสองต่างมีให้แก่กัน ความเชื่อเหล่านี้มัดเธอและเขาเอาไว้แน่นจนไม่อาจแยกพวกเขาออกจากกัน
แต่คำพูดประโยคต่อมาของชายคนนั้นทำให้เธอจมลงสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังราวกับว่าร่างกายเธอกำลังร่วงหล่นลงไปในเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหวจนไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างอีก
เขาเอ่ยขึ้น “นายท่านถูกนำตัวส่งโรพยาบาลเพื่อกู้ชีพ คุณจิ้นทะเลาะกับนายท่านเพราะเรื่องของคุณจนทำให้อาการโรคหัวใจของนายท่านกำเริบ คุณจิ้นเห็นแก่สุขภาพของนายท่านจึงยอมรับปากแต่งงานกับคุณหนูหร่วนแล้ว”
เขามองใบหน้าซีดเผือดของเฉียวซือมู่แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ “คุณคิดว่าผมพูดจริงหรือพูดเล่นอยู่ครับ?”
เฉียวซือมู่กัดริมฝีปากล่างแน่น อยากจะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำเหลือเกินว่าไม่เชื่อคำพูดของเขาแม้แต่คำเดียว แต่ส่วนลึกสุดในจิตใจกลับรู้ดีว่าคำพูดส่วนใหญ่ของเขาเป็นเรื่องจริง
เขารู้จักนิสัยของจิ้นหยวนเป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่รักษาคำพูดมากที่สุดและไม่มีวันคืนคำเด็ดขาด ถ้าหากใต้หล้านี้จะมีใครสักคนที่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ นอกจากคุณพ่อคุณแม่ของเขาแล้วคงไม่มีใครมีความสามารถนี้อีก
เธอรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสุขภาพของจิ้นเฮ่าไม่ค่อยแข็งแรงนัก ช่วงที่คุณแม่ของเธอยังนอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาลจิ้นเฮ่าก็เคยได้รับการผ่าตัดไปแล้วรอบหนึ่ง เพราะฉะนั้น หลังจากประมวลความเป็นไปได้แล้ว ได้ข้อสรุปว่าใจเธอเชื่อคำพูดของเขาไปแล้ว
แต่ว่า เธอยังคงมีความหวังอยู่ แม้มันจะเป็นความหวังเพียงหนึ่งในล้านก็เถอะ เธอมองเขาพลางเอ่ย “ไม่ ฉันไม่เชื่อ จิ้นหยวนรับปากฉันแล้ว เขาบอกว่า…”
“เขาบอกว่าจะแต่งงานกับคุณใช่ไหมล่ะ? ช่างน่าหัวเราะ คุณรู้หรือเปล่าว่าการดำรงอยู่ของตระกูลจิ้นมีความหมายว่ายังไง? ดูเหมือนว่าคุณจะไม่รู้อะไรเลยสินะ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่พูดอะไรที่มันไม่เจียมตัวแบบนั้นออกมาหรอก” แขกผู้มาเยือนยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาจับจุดสำคัญของเธอได้แล้ว และตอนนี้ภารกิจของเขาใกล้จะสำเร็จแล้ว
“คุณไม่ต้องรู้เรื่องพวกนี้ก็ได้ คุณแค่ต้องรู้เอาไว้ว่าชาตินี้ทั้งชาติคุณก็ไม่มีวันตะกายขึ้นตระกูลจิ้นได้ ถ้าคุณจิ้นแต่งงานกับคุณจริง เขาก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะไปชั่วชีวิตเพราะดันไปแต่งงานกับผู้หญิงที่บ้านล้มละลาย แทนที่จะเลือกผู้หญิงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างคุณหนูหร่วนแทน เพราะฉะนั้น คุณเฉียว คุณทนเห็นเขาทำให้พ่อตัวเองต้องตาย ยอมให้เขากลายเป็นลูกเนรคุณและถูกคนอื่นหัวเราะเยาะไปตลอดชีวิตได้เหรอ?”
คงต้องยอมรับว่าวิธีการพูดที่เปลี่ยนไปของเขาในครั้งนี้ตรงประเด็นจนแทงทะลุใจเธอทุกประโยค สีหน้าของเธอค่อยๆ เผือดซีดลงๆ จนไม่ต่างจากซากศพ
สภาพเธอในตอนนี้น่าเวทนายิ่งนัก ใบหน้าของเธอซีดจนขาว ริมฝีปากที่เคยแดงอมชมพูยามนี้กลับไร้สีเลือด แววตาตื่นตระหนก ท่าทางน่าสงสารไม่ต่างจากสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังถูกรังแก มันทำให้คนใจแข็งอย่างเขาถึงกับรู้สึกสงสารเธอขึ้นมานิดๆ
แต่มันเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เขาดึงตัวเองให้กลับมาสวมบทบาทนักเจรจาเหมือนเดิม เขาจ้องมองเฉียวซือมู่ที่สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้วอย่างเป็นต่อ “ว่ายังไงครับคุณเฉียว? ตัดสินใจได้หรือยัง?”
เฉียวซือมู่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วมองเขานิ่ง “ขอเวลาฉันคิดสักหน่อยได้ไหมคะ?”
เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วรีบส่ายศีรษะทันที “ไม่ได้หรอกครับ เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ นายท่านต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วนก็เพราะคุณ ผมเชื่อว่าคุณคงไม่อยากให้คุณจิ้นต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อตัวเองต้องตายหรอกใช่ไหมครับ?”
คำพูดของเขาทำลายเกราะป้องกันด่านสุดท้ายในใจเธอจนพังทลายลง ในที่สุดใบหน้าเธอก็แสดงความสิ้นหวังออกมา เธออ้าปากกำลังจะพูดสิ่งที่เขาอยากฟังออกมา
ชายคนนั้นตื่นเต้นมากจนนั่งตัวตรงอย่างใจจดใจจ่อ เขาเอนกายเข้าหาเธอเล็กน้อยเพื่อรอฟังคำว่า “ตกลง” จากปากเธอ ทันใดนั้น เสียงของจิ้นหยวนกลับดังขึ้นแทน “ผิดแล้ว”
ดวงตาของเฉียวซือมู่เป็นประกายวาบ เธอมองดูจิ้นหยวนที่กำลังเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา พลันหยาดน้ำใสๆ เอ่อคลอเต็มเบ้าตา เธออ้าปากน้อยๆ เพราะมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูดกับเขา แต่จนแล้วจนรอดก็พูดไม่ออกสักคำ
จิ้นหยวนโอบกอดเธอเอาไว้ข้างกาย เขาเลิกคิ้วขึ้นมองใบหน้ากระอักกระอ่วนของแขกผู้มาเยือนแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่คิดเลยว่าอาหลี่จะมีคารมคมคายขนาดนี้ สงสัยตำแหน่งผู้จัดการคงจะไม่เหมาะกับอาซะแล้ว”
อาหลี่สีหน้าสลดลงเพราะรู้ว่าแผนการล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่วินาทีที่จิ้นหยวนย่างก้าวเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของจิ้นหยวนจึงกัดฟันพูดออกไปว่า “พวกเราหวังดีกับคุณนะครับ…”
จิ้นหยวนยืนกอดเฉียวซือมู่ที่น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เงียบๆ เอาไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบกว่าเดิม “ถ้าอาหลี่ว่างมากนักละก็ จิ้นซื่อกรุ๊ปเพิ่งจะเปิดบริษัทเหมืองแร่ที่อเมริกาใต้ ตอนนี้กำลังขาดคนดูแลที่มีประสบการณ์อยู่พอดี ตอนแรกก็ยังไม่มีคนที่เหมาะสมหรอกนะ แต่ตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่าอาหลี่น่าจะเหมาะกับงานนี้มากเป็นพิเศษ”
อาหลี่รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนทันที เขาหน้าซีดเผือด สองมือโบกไปมาเป็นพัลวัน พยายามฝืนยิ้มเต็มที่ “ไม่… ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ว่างเลย ปกติผมยุ่งมาก ครั้งนี้แค่ผ่านมาพอดี ไม่มีเจตนาอื่นเลยจริงๆ นะครับ”
อาหลี่เป็นคนที่สังเกตสีหน้าคนเก่งมาก เมื่อเห็นว่าสายตาของจิ้นหยวนฉายแววเย็นยะเยือกก็ไม่กล้าพูดพล่ามอีก เขารีบเอ่ยลาทันที “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานค้างอยู่ ขอตัวก่อนนะครับ ฮาๆ…”
เขาหัวเราะฮาๆ อย่างเก้อๆ แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที เขารีบร้อนจนลืมหยิบเช็คเงินสดใบนั้นไปด้วย
จิ้นหยวนมองตามแผ่นหลังของเขาจนหายลับไปจากสายตา แววตาที่เคยเย็นยะเยือกสลายหายไป เขาลูบผมยาวนุ่มสลวยของเธอพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอโทษ ผมกลับมาช้าเกินไป”
เขายืนฟังอยู่ข้างนอกเพียงแค่แป๊บเดียวยังรู้เลยว่าคำพูดของอาหลี่นั้นบีบหัวใจมากขนาดไหน ทั้งข่มขู่ทั้งล่อหลอก เธอสามารถยืนหยัดจนถึงตอนนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
หากเขามาถึงช้ากว่านี้อีกนิดเดียวล่ะก็…
เขาจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าหากเขามาถึงช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว เขากอดเธอแน่นขึ้น อีกนิดเดียว… อีกนิดเดียวเท่านั้นเขาก็เกือบจะสูญเสียเธอไปแล้ว