เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 194 กลับมาที่จิ้นหยวน
เฉียวซือมู่ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนคืน เธอยังพยายามค้นหาตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่เจอข่าวอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษจึงค่อยวางใจลง
เวลาค่อยๆ ล่วงผ่านไปอย่างช้าๆ จนแสงอาทิตย์สาดส่องบ้านเรือนผู้คนแทนที่ราตรีอันมืดมิด เธอลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความว่างเปล่า ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เธอวาดฝันเอาไว้ ภาพฝันที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นจิ้นหยวนอยู่ข้างกายเธอ…
เธอเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความผิดหวัง
ตามโปรแกรมเดิมวันนี้พวกเธอจะไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ จากนั้นค่อยไปเดินช้อปปิ้งกัน แต่ตอนนี้เฉียวซือมู่ที่ไร้คนรู้ใจอยู่ข้างกายกลับไม่มีอารมณ์ช้อปปิ้งเลยสักนิด
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เมื่อเห็นว่าจิ้นหยวนเป็นคนโทรเข้ามาจึงกดรับสายด้วยความดีใจ เสียงหัวเราะของจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก ทำไมเมื่อคืนถึงไม่โทรหาผมล่ะ?”
เธอรู้สึกผิดไม่น้อย คำพูดที่ฉีหย่วนเหิงพูดกับเธอเมื่อคืนนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจมากจนเธอไม่มีกะจิตกะใจจะโทรศัพท์หาเขาไปด้วย
เธอเอ่ยขอโทษจากใจ “ขอโทษค่ะ เมื่อคืนฉันเหนื่อยมากก็เลยเข้านอนเลย”
“ไม่เป็นไร ผมโทรหาคุณเองก็ได้”
“อื้ม แล้ววันนี้คุณจะตามมาหรือเปล่าคะ?”
เสียงทุ้มต่ำของเขาเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู “เด็กโง่ ผมก็ต้องตามไปหาคุณสิ เที่ยวบินคืนนี้ น่าจะถึงที่นั่นเช้าวันพรุ่งนี้ อีกแป๊บเดียวเราก็จะได้เจอกันแล้วนะ คุณดีใจหรือเปล่า?”
เธอผิดหวังเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นคืนนี้ล่ะคะ เร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ?”
“ธุระของผมยังไม่เสร็จน่ะ คนดี ผมพยายามสุดความสามารถแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่าหักโหมจนเหนื่อยเกินไปล่ะ”
“เรื่องเหนื่อยน่ะเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าได้จูบจากเมียจ๋าสักฟอดผมคงหายเหนื่อยทันที” เขาเอ่ยขอดื้อๆ
ใบหน้าเธอแดงระเรื่ออย่างเข้าใจความหมาย เธอฝังจุมพิตลงบนโทรศัพท์มือถือเบาๆ จิ้นหยวนที่อยู่อีกฟากสายได้ยินเสียงจุมพิตเบาๆ นั้นแล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยน “อื้ม ดีมาก คุณรอผมนะ ถ้าคุณเบื่อก็ออกไปเที่ยวกับสวี่จิ้ง แต่อย่าเที่ยวเล่นจนเหนื่อยล่ะ เพราะผมไปถึงที่นั่นแล้วคุณต้องอยู่เป็นเพื่อนผมด้วย”
ใบหน้าเธอแดงเป็นลูกตำลึงอีกระลอก เธออยู่กับเขามาตั้งนาน ทำไมจะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา เธออ้อมแอ้มต่อว่าเขาด้วยความขวยเขิน “คุณก็เอาแต่พูดเรื่องพรรณ์นั้นอยู่เรื่อย…”
“เปล่าสักหน่อย ผมบอกว่าผมไปถึงที่นั่นแล้วคุณต้องอยู่เป็นเพื่อนผม ผมพูดผิดตรงไหนเหรอ?” จิ้นหยวนแสร้งทำหน้าซื่อตาใสอย่างหน้าด้านๆ
เธอเอ่ยงอนๆ เสียงเบา “คุณรู้ดีอยู่แก่ใจ คนผีทะเล”
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “โอเคๆ ผมต้องไปแล้ว มามะ ส่งจูบให้ผมอีกสักฟอดนะ ผมจะได้มีพลังเต็มเปี่ยมไง”
“คนโลภมาก!”
ถึงปากเธอจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ยังฝังจุมพิตลงบนโทรศัพท์มือถืออย่างว่าง่าย และครั้งนี้เสียงดังกว่าเดิมมาก จิ้นหยวนได้ยินแล้วถึงกับหัวเราะชอบใจ
เฉียวซือมู่วางสายจากจิ้นหยวนพลันรู้สึกร่างกายเบาหวิว ความกังวลและไม่สบายใจต่างๆ นานาก่อนหน้านี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือไว้เพียงการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เธอคิดในใจว่าเขากำลังจะมาแล้ว คิดถึงเขาจังเลย
ตอนนี้อารมณ์ของเธอดีขึ้นมาก เมื่อสวี่จิ้งชวนเธอไปเดินช้อปปิ้งเธอจึงตอบตกลงแทบจะทันที
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของจิ้นหยวนค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะมือที่กำลังค่อยๆ เก็บโทรศัพท์มือถือของเขา และในที่สุด ใบหน้าของเขาถมึงทึงจนดูน่ากลัว ทำให้ร่างกายของคนที่ชักจะเริ่มรำคาญคนนั้นเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัว
เขาเอ่ยตัวสั่นงันงก “คุณชายจิ้น ใกล้จะ… ใกล้จะได้เวลาแล้ว คุณ…”
จิ้นหยวนปรับสีหน้าให้เรียบเฉย เขาเก็บโทรศัพท์มือถือพลางลุกขึ้นยืน หากเฉียวซือมู่มาเห็นสภาพของเขาในตอนนี้จะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอนว่าเหตุใดเขาถึงสวมชุดทักซิโด้สีดำเป็นทางการ แถมยังผูกหูกระต่ายเรียบร้อยเต็มยศ เหมือนคนที่… กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์อย่างไรอย่างนั้น
แต่สีหน้าของเขาไม่เหมือนคนเป็นเจ้าบ่าวเลยสักนิด หากแต่เหมือนคนที่กำลังจะไปร่วมพิธีศพมากกว่า เขากวาดสายตามองคนคนนั้นอย่างเย็นชา “ฉันรู้เวลา ไม่ต้องให้ใครมาบอก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะ”
น้ำเสียงราบเรียบของเขาทำให้คนคนนั้นใจสั่นเพราะความหวาดกลัว ได้แต่ก้มหน้างุดแล้วเอ่ยตอบ “ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ”
หลินจื้อเฉิงที่อยู่นอกห้องเคาะประตูห้องพอดี “พี่ใหญ่ ได้เวลาแล้วครับ” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพราะเขารู้ดีว่าสภาพจิตใจของจิ้นหยวนในยามนี้ย่ำแย่มากขนาดไหน
จิ้นหยวนสาวเท้าเดินออกไป นอกประตูห้อง หลินจื้อเฉิงสวมชุดสูทดูเป็นทางการเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นจิ้นหยวนเดินออกมาจึงจับสังเกตสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวังเป็นอันดับแรก “เมื่อกี้นายท่านเพิ่งจะโทรมาเร่งครับ”
สีหน้าของจิ้นหยวนเรียบเฉย แต่ส่วนลึกสุดในดวงตาของเขากลับฉายแววเหนื่อยล้าแวบหนึ่ง “รู้แล้ว” เอ่ยจบแล้วชะงักเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างยากเย็นแสนเข็ญ “ออกเดินทางได้” เขาเอ่ยราวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาก้าวเท้าลงบันได ด้านล่างมีรถโรลส์-รอยซ์รุ่นลิมิเต็ดหลายคันจอดรอเขาอยู่ก่อนแล้ว แถมยังผูกโบว์สีชมพูหน้ารถอีกต่างหาก ดูแล้วน่าตลกสิ้นดี
เขาก้าวขึ้นไปนั่งในรถราวมองไม่เห็นโบว์สีชมพูน่าตลกนั้น อาฮุยทำหน้าที่เป็นคนขับรถครั้งนี้ เขาสตาร์ทรถอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆ ขับรถไปยังทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลหร่วน
ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันมงคลสมรสระหว่างประธานจิ้นหยวนแห่งจิ้นซื่อกรุ๊ปกับคุณหนูเซียงเซียงแห่งตระกูลหร่วน ทายาทสองตระกูลยักษ์ใหญ่จูงมือเข้าพิธีวิวาห์ที่ควรจะเป็นข่าวใหญ่ที่สุดแห่งปีในแวดวงธุรกิจ
แต่น่าแปลก ตามหลักแล้วข่าวใหญ่มากขนาดนี้ควรจะเป็นข่าวที่สื่อมวลชนแย่งกันลงข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ ถึงจะถูก แต่ทุกอย่างกลับเงียบเชียบราวพวกเขาเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่มีใครให้ความสนใจ
หร่วนเซียงเซียงกำลังโมโหกราดเกรี้ยวอยู่ในห้อง “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? งานแต่งของหนูสำคัญมากขนาดนี้ แต่ทำไมถึงไม่มีนักข่าวมาสักคน ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ด้วย หนูแต่งงานนะ ไม่ได้ไปเป็นเมียน้อยคนอื่น!”
นายท่านหร่วนหน้านิ่วคิ้วขมวด “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย ลูกเป็นคนยอมรับเงื่อนไขนี้เองไม่ใช่หรือไง? ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมแล้วไปรับปากเขาตั้งแต่แรกทำไม ในเมื่อรับปากเขาไปแล้วก็หยุดโวยวายเสียที ถ้าเขารู้เข้าลูกคิดว่าเขาจะสงสารลูกหรือไง?”
“คุณพ่อ!” หร่วนเซียงเซียงไร้เรี่ยวแรงต่อปากต่อคำอีก น้ำตาเธอไหลพราก “ก็ตอนนั้นหนูกำลังหลงเขานี่คะ ก็เลยรับปากเขาไปก่อน อุตส่าห์แอบหวังว่าเขาคงทำได้แค่ขู่หนูเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำมันจริงๆ นี่เป็น… เป็นงานแต่งงานครั้งเดียวในชีวิตของหนูนะคะ…”
เธอร้องไห้ฟูมฟายราวจะขาดใจ ใครมาเห็นสภาพเธอในยามนี้คงนึกสงสารเธอไม่น้อย แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่รู้ไส้รู้พุงดีทุกอย่างได้แต่แบะปากอยู่ในใจ “ใครบอกให้เอาใจแต่จิ้นเฮ่าคนเดียวแต่ไม่ไปเอาใจว่าที่สามีตัวเองล่ะ คิดว่าจิ้นเฮ่ายินยอมคนเดียวก็พอแล้วอย่างนั้นเหรอ? นี่มันโง่ชัดๆ”
หร่วนเซียงเซียงได้รับผลกรรมของตัวเองแล้ว ตอนนี้นอกจากน้ำตาเช็ดหัวเข่าแล้วเธอก็ทำอะไรไม่ได้จิ้นหยวนไม่ได้อีก เธอเอาอกเอาใจจิ้นเฮ่าจนเป็นผลสำเร็จ จิ้นเฮ่าบีบบังคับให้จิ้นหยวนแต่งงานกับเธอคนเดียวเท่านั้น จนจิ้นหยวนต้องยอมตกลงเพราะแรงกดดัน แต่เขากลับทำหนังสือสัญญาขึ้นระหว่างเขาและเธอ หนึ่งในข้อสัญญานั้นคือห้ามแพร่งพรายข่าวการแต่งงานนี้ออกไปเด็ดขาด ทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างลับๆ เท่านั้น ตอนนั้นเธอกำลังดีอกดีใจมากจนยอมตอบตกลงโดยไม่ทันคิดถึงเจตนาแอบแฝงของเขา มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
เธอร้องไห้ฟูมฟายอยู่สักครู่ จากนั้นเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้าออกแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “ช่างเถอะ ไม่ว่ายังไง หนูก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขาแล้ว หนูไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่เห็นหนูอยู่ในสายตา! สักวันหนึ่ง…”