เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 200 ข่าวคราวของคุณแม่
แต่ฮานส์กับมอลลี่ที่เป็นคนเปิดเผยไม่คิดมากกลับไม่เข้าใจความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของเธอเลยสักนิด มอลลี่เห็นว่าเธอไม่พูดอะไรอีกจึงตบหน้าผากตัวเองเบาๆ ราวเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “โอ้ ฉันลืมไปเลยว่าแขกของเรายังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยนี่นา”
ฮานส์ส่ายศีรษะเบาๆ “ทำไมคุณถึงสะเพร่าแบบนี้ ปล่อยให้แขกหิวแบบนี้ได้ยังไง ระวังเถอะ เดี๋ยวฉีก็ไม่พอใจหรอก”
เฉียวซือมู่ได้ยินแล้วอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พวกเขาคุยกันสักเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรก็ถูกมอลลี่ลากตัวเธอไปยังห้องรับประทานอาหารเสียก่อน มอลลี่เข้าไปเตรียมอาหารในห้องครัวอย่างคล่องแคล่วแล้วยกอาหารเช้าออกมาเสิร์ฟให้เธออย่างรวดเร็ว
อาหารเช้าวันนี้มีพิซซ่าหน้าทะเลหนึ่งชิ้น นมสดหนึ่งแก้ว และโจ๊กข้าวโอ๊ตอีกหนึ่งถ้วย
มอลลี่เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันรู้มาว่าอาหารจีนอร่อยมาก แต่ฉันทำไม่เป็นน่ะ”
เฉียวซือมู่รีบส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ฉันชอบกินพิซซ่ามากเลยนะคะ” เธอพูดจากใจจริงเพราะดูออกว่ามอลลี่รู้สึกผิดจริงๆ
การต้อนรับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันด้วยความกระตือรือร้นและเป็นมิตรมากขนาดนี้ถือว่าดีมากแล้ว เธอจะเรียกร้องมากกว่านี้ไม่ได้
เธอยังแอบคิดอยู่เลยว่าคนต่างชาติมีน้ำใจไมตรีแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า? ไม่เหมือนกับคนในประเทศตัวเองเลยสักนิด
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือ ต่อให้ฮานส์กับมอลลี่มีน้ำใจมากแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีทางทำดีกับคนที่เพิ่งรู้จักมากมาย ที่พวกเขาดีกับเธอมากเป็นเพราะเห็นแก่ฉีหย่วนเหิงต่างหากเล่า
เฉียวซือมู่ไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาเห็นเธอเป็นคนสำคัญของฉีหย่วนเหิงแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยเธอก็ถูกมอลลี่ลากเข้าไปในห้องหนังสือเพื่ออวดหนังสือโบราณที่เป็นของสะสมของตัวเองให้เธอดู
ในที่สุดเฉียวซือมู่ก็เจอหนังสือที่ตัวเองชอบจนได้ เธอขอยืมหนังสือเล่มนั้นจากมอลลี่ จากนั้นเดินกอดหนังสือเล่มนั้นกลับห้องตัวเองด้วยความชื่นบาน
มอลลี่มองแผ่นหลังของเฉียวซือมู่จนลับตาแล้วหันไปเอ่ยกับฮานส์ “คุณคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ไม่เลว สายตาของฉีดีใช้ได้เลยทีเดียว” เมื่อครู่ฮานส์แอบสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ เขาพบว่าหญิงสาวที่มาจากดินแดนลึกลับแห่งตะวันออกคนนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีมาก
มอลลี่พยักหน้าเล็กน้อย “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่า…” เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “คุณบอกว่าฉีเจอปัญหาเข้าให้แล้วไม่ใช่เหรอคะ? เขาออกไปข้างนอกแบบนี้จะมีอันตรายหรือเปล่า?”
ฮานส์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางสวมกอดภรรยาของตัวเองเอาไว้ “คุณเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ ระวังผมหึงนะ”
มอลลี่ทุบหน้าอกเขาเบาๆ “คุณพูดอะไรกันเนี่ย ฉันจริงจังนะคะ”
“สบายใจได้ ฉีมีแผนรับมือของตัวเองอยู่แล้ว เรารู้จักกับเขามานานหลายปี เคยเห็นเขาประเมินอะไรพลาดบ้างไหมล่ะ?”
“ก็จริงค่ะ” เธอพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
พวกเขารู้จักกับฉีหย่วนเหิงนานมากแล้ว มอลลี่รักและเอ็นดูเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงมีน้ำใจไมตรีกับเฉียวซือมู่มากเป็นพิเศษ
เฉียวซือมู่เดินกอดหนังสือกลับห้องของตัวเอง เธอรู้ดีว่าช่วงนี้ตัวเองต้องอยู่ที่นี่สักระยะ แม้จะกังวลอยู่บ้างที่ต้องอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่เพราะต้องหลบซ่อนตัวจากจิ้นหยวน ทำให้เธอต้องงดใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รวมเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ ทั้งหมด ดังนั้น ตอนที่เธอเห็นห้องหนังสือของมอลลี่ถึงได้ดีใจมากเป็นพิเศษ
เธอคิดว่าการได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่รักถือเป็นเรื่องวิเศษที่สุด เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลือเธอจึงดื่มด่ำอยู่ในโลกแห่งตัวอักษรจนเกือบลืมรับประทานอาหารเที่ยง
ฉีหย่วนเหิงแบกร่างกายอันเหนื่อยล้ากลับมาถึงคฤหาสน์มาร์กีซตอนบ่ายแก่ๆ
เขายอมเสี่ยงออกไปข้างนอกก็เพราะไม่ไว้ใจฝีมือการทำงานของลูกน้องตัวเอง เขารู้อยู่แล้วว่าจิ้นหยวนเก่งกาจมากขนาดไหน จิ้นหยวนไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องผิดพลาดเพราะความประมาทเลินเล่อเด็ดขาด วันนี้เขาแอบออกไปสืบข่าวด้วยความระมัดระวัง เขาต้องประหลาดใจมากที่ตัวเองคาดการณ์ผิดไป จิ้นหยวนไม่ได้ตามมาที่มิลานทันที หากแต่มอบหมายให้ลูกน้องฝีมือดีลงมือแทน
ตอนแรกเขารู้สึกแปลกใจมาก ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับความจริงที่อาจจะทำให้เฉียวซือมู่เสียใจมากกว่าเดิม ความจริงที่ว่าจิ้นหยวนเบื่อเธอแล้ว และไม่มีความคิดที่จะตามหาเธออย่างจริงจัง
ถ้าเธอรู้เรื่องนี้จะต้องเสียใจมากแน่ๆ เขาครุ่นคิดมาตลอดทางที่เดินไปยังห้องพักของเฉียวซือมู่ เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอ ลังเลชั่วครู่จึงยกมือขึ้นเคาะประตูห้อง
“เชิญค่ะ” เสียงอ่อนโยนดังลอดออกมาจากข้างในห้อง ฉีหย่วนเหิงที่กำลังลังเลใจตัดสินใจได้ในทันที ในเมื่อพวกเขาเหมือนคนที่เลิกรากันแล้ว ถ้าเช่นนั้น เขาก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนั้นที่อาจจะทำให้เธอเสียใจอีก
เขาคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือเรียวยาวของเฉียวซือมู่ถือหนังสือเอาไว้ เธอกำลังอ่านมันอย่างสนุกสนาน เธอส่งยิ้มให้ฉีหย่วนเหิงยามเห็นเขาเดินเข้ามาในห้อง ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเธอคือคนที่ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อคืนนี้
“กลับมาแล้วเหรอคะ” เธอยิ้มหน้าบาน “คุณเหนื่อยมากใช่ไหม? ดูสิ ตาคุณแดงหมดแล้ว”
เขาส่ายศีรษะเบาๆ “ผมไม่เป็นไร แค่ออกไปทำธุระนิดหน่อย” เขาเอ่ยพลางวางกล่องกล่องหนึ่งที่เขาถือมาด้วยลงตรงหน้าเธอ “อันนี้ให้คุณ”
สายตาของเธอหยุดอยู่ที่มือของเขาพลางชะงักนิ่งไปด้วยความตกใจเล็กน้อย “มันแพงเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
เขายิ้มพลางส่ายศีรษะ “คุณรับไว้เถอะนะ โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของคุณก็ใช้ไม่ได้แล้ว มีเครื่องใหม่ผมจะได้ติดต่อคุณได้ง่ายๆ แล้วก็… ผมเอาบัตรประจำตัว พาสปอร์ต แล้วก็เอกสารสำคัญอื่นๆ ของคุณมาด้วย” เอ่ยพลางวางถุงถุงหนึ่งลงตรงหน้าเธอ “เวลาฉุกละหุกเกินไป ผมก็เลยหยิบมาได้มาแค่นี้ ผมขอโทษที่ต้องทิ้งของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ของคุณเอาไว้ที่นั่น
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ คุณช่วยเอาของพวกนี้มาให้ฉันก็ดีใจมากแล้ว” เธอเอ่ยขอบคุณจากใจแล้วหยิบถุงนั้นขึ้นมาเปิดดู ข้างในมีแต่เอกสารสำคัญจำพวกพาสปอร์ตอย่างที่เขาบอก
“ยังมีอีกเรื่อง” เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ตอนผมกลับมา ผมพบว่าพวกเขากำลังออกตามหาตัวคุณไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากให้คุณกลับไปมากจริงๆ”
เขามองเธอนิ่ง “คุณอยากกลับไปหรือเปล่า?”
ความจริงเขามั่นใจแล้วว่าเธอคงไม่กลับไปอีก แต่ส่วนลึกในจิตใจยังคงไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่ เขาจึงต้องการคำยืนยันจากเธอเพื่อเพิ่มความมั่นใจ
และคำตอบของเธอก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เธอเอ่ยตอบ “ไม่ค่ะ ฉันจะไม่กลับไป ฉันไม่อยากทำลายครอบครัวของคนอื่น…” เธอเอ่ยถึงตรงนี้แล้วชะงักนิ่ง พลันหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด เธอมองเขาด้วยความตื่นตระหนก “โอ้ พระเจ้า ฉันลืมคุณแม่ไปเลย”
เธอจับมือเขาหมับด้วยความร้อนใจ “ฉันลืมคุณแม่ไปได้ยังไง ฉันหนีออกมาแบบนี้ ถ้าเกิด… ถ้าเกิดจิ้นหยวนไม่พอใจขึ้นมาแล้วคุณแม่จะทำยังไง?”
ฉีหย่วนเหิงคิดไม่ถึงว่าเธอยังมีคุณแม่ที่ยังอยู่ในประเทศอีกคน เขามุ่นหัวคิ้วพลางเอ่ยปลอบใจเธอพลาง “ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรหรอก ครั้งนี้คุณตัดสินใจหนีออกมากะทันหัน มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแม่ของคุณสักหน่อย จิ้นหยวนไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก”
“แต่ว่า… แต่ว่าถ้าเกิดจิ้นหยวนเขา…” แววตาเธอตื่นตระหนก พยายามจับมือเขาเอาไว้แน่น “ฉันขอร้องล่ะ คุณช่วยสืบข่าวคุณแม่ให้ฉันหน่อยได้ไหมคะว่าตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง ได้ไหมคะ?”
ฉีหย่วนเหิงพยักหน้ารับปากทันที “ได้ เดี๋ยวผมไปจัดการให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
เธอรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้รับคำปลอบใจจากเขา เธอรีบบอกที่อยู่โรงพยาบาลที่คุณแม่พักรักษาตัวให้เขาทราบทันที