เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 207 คลื่นระลอกใหม่
ฉีหย่วนเหิงก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อย เขากินพลางชื่นชมไม่ขาดปาก “มู่มู่สุดยอด ใครได้แต่งงานกับคุณคงมีความสุขมาก”
เธอคีบผัดผักเข้าปากราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด “ถ้าชอบก็ทานเยอะๆ ถ้าเหลือล่ะน่าดู”
น้ำเสียงของเธอราบเรียบจนฟังไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉีหย่วนเหิงแอบลอบถอนหายใจ มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำมากยิ่งขึ้น
ไม่ต้องรีบ ยิ่งรีบจะยิ่งเป็นการผลักเธอออกไปไกลมากยิ่งขึ้น เขาพยายามเตือนตัวเองอยู่ในใจ
เพียงไม่นานเขาก็ต้องพบกับปัญหาใหม่อีกเรื่อง แม้เธอจะทำอาหารได้อร่อยมากก็จริง แต่เธอกินได้น้อยมาก เขาจึงเป็นคนกินอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยง และเรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะตอนนี้เขาอิ่มจนพุงจะแตกแล้ว
เฉียวซือมู่เห็นสภาพของเขาแล้วทั้งโมโหทั้งอดขำไม่ได้ เธอรีบชงชาแดงให้เขาดื่มทันที “คุณรีบดื่มชาเถอะค่ะ จะได้ช่วยย่อยอาหาร ฉันแค่พูดเล่นเอง ทำไมคุณต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย?”
ฉีหย่วนเหิงดื่มน้ำชารสฝาดเข้าไปอึกใหญ่แล้วหัวเราะ “ผมก็ต้องเชื่อฟังคุณสิ”
เธอชะงักนิ่งไปชั่วครู่แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างแนบเนียน “วันนี้มีเรื่องที่ทำให้ฉันดีใจมากเลยล่ะค่ะ คุณลองทายดูสิคะว่าเรื่องอะไร?”
เขาแอบถอนหายใจอยู่ในอก แต่ปั้นหน้าให้ความร่วมมือเธอเต็มที่ “เรื่องอะไรเหรอครับ หรือว่าดีใจที่ผมมาเยี่ยมคุณ?”
เธอปรายตาค้อนเขา “ฉันดีใจก่อนคุณมาเสียอีก”
“เรื่องอะไรเหรอ? หรือคุณรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ดีเกินไป? มีหนุ่มหล่อหน้าตาดีเป็นอาหารตามากเกินไปอย่างนั้นเหรอ?” เขาตั้งใจแหย่เธอเล่น
ที่บอกว่าที่นี่มีหนุ่มหล่อหน้าตาดีเยอะแยะนั้นไม่เกินจริงเลย เพราะที่นี่เป็นนครแห่งแฟชั่นและมีชื่อเสียงทางด้านฟุตบอลอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมชายหนุ่มหน้าตาดีที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน
เฉียวซือมู่รู้ว่าเขากำลังแหย่เธอเล่นจึงปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันได้งานทำแล้วค่ะ เริ่มงานพรุ่งนี้เลย”
“ผมยินดีกับคุณด้วยนะที่ได้งานทำเร็วขนาดนี้ แล้วเป็นงานอะไรเหรอครับ?” รอยยิ้มระบายอยู่เต็มใบหน้าของฉีหย่วนเหิง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกดีใจกับเธอมากจริงๆ
เธอเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ทำงานในกองบรรณาธิการนิตยสารเหมือนเดิมค่ะ แต่เน้นหนักไปทางด้านงานสื่อสารมวลชนมากกว่า”
“ถ้างั้นก็ถูกใจคุณมากนะสิ”
“ใช่ค่ะ แค่คิดถึงวันพรุ่งนี้ฉันก็ตื่นเต้นมากแล้ว”
“คุณไม่ต้องตื่นเต้นนะ สภาพแวดล้อมที่นี่ดีมาก ไม่แน่นะ ถ้าคุณชินกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้ว คุณอาจจะรู้สึกชอบที่นี่มากกว่าก็ได้”
“จริงเหรอคะ? หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เธอคิดๆ แล้วทำหน้าม่อย “แต่ภาษาอังกฤษของฉันแย่มากเลยนะคะ”
“ค่อยๆ เรียนรู้ไป อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้สิถึงจะดี คุณจะได้เรียนรู้ภาษาได้เร็วขึ้น เชื่อผม” เขาเอ่ยให้กำลังใจ
“อื้ม ฉันจะพยายามค่ะ” เธอเอ่ยพลางเก็บจานชามไปพลาง แม้ค่าเช่าที่นี่จะแพงไปนิด แต่ที่นี่มีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ตอนเธอย้ายเข้ามาเพียงแค่ทำความสะอาดนิดหน่อยก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย สะดวกและรวดเร็ว ถูกใจเธอมาก
สองหนุ่มสาวช่วยกันล้างจาน ทั้งสองคนประสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยม จนกระทั้งเสร็จเรียบร้อย เธอจึงตบมือเบาๆ แล้วลุกขึ้น “เรียบร้อย”
ฉีหย่วนเหิงมองเธอนิ่ง ท่าทางของเธอในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกประทับใจมากเป็นพิเศษ
เฉียวซือมู่รู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับเธอ เธอถ้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าเผยความกระอักกระอ่วนใจ เธอใช้มือทัดผมข้างหูแล้วเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจนิดๆ “ที่นี่แคบเกินไป เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ”
หัวใจของฉีหย่วนเหิงห่อเ**่ยวลงทันที เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ครับ เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า”
เขาเดินนำออกไปก่อน เธอเดินตามไปนั่งลงบนโซฟา เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองน่าอึดอัดไม่น้อย ในที่สุดเขาก็เป็นคนเอ่ยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดขึ้น เขาอธิบายขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งลักษณะนิสัยใจคอของคนที่นี่ให้เธอฟัง
เธอตั้งใจฟังสิ่งที่เขาบอกจนค่อยๆ ลืมความรู้สึกน่ากระอักกระอ่วนใจเมื่อครู่จนสิ้น
ฉีหย่วนเหิงไม่กล้าพูดหรือทำอะไรให้เธอรู้สึกอึดอัดอีก เขากำชับเธอด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อยแล้วขอตัวกลับ
เฉียวซือมู่รู้สึกผิดมาก เธอตัดสินใจอย่างเงียบๆ ว่าต่อจากนี้จะต้องรักษาระยะห่างกับเขาให้มากที่สุด
แต่ฉีหยวนเหิงกลับเหมือนนักล่าที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อแสนโอชะอย่างเธอ มีหรือที่จะยอมแพ้ง่ายๆ?
หลังจากเธอเริ่มทำงานเธอก็พบว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาบอกไม่มีผิด แม้งานจะยุ่งมากแต่กลับไม่มีการชิงดีชิงเด่นกันเหมือนที่เธอเคยประสบพบเจอ เพียงไม่นานเธอก็ตกหลุมรักที่นี่เข้าเต็มเปา
วันเวลาค่อยๆ ผันผ่านไปอย่างช้าๆ สภาพจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกของจิ้นหยวนมั่นคงมากขึ้น เขายังคงสั่งให้ลูกน้องออกตามหาเฉียวซือมู่เหมือนเดิม แต่เขาไม่อาละวาดฟาดหัวฟาดหางยามได้รับข่าวว่าหาตัวเธอไม่เจอเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ตอนนี้เขาหนักแน่นมากขึ้น และเย็นชามากขึ้น ถ้าเป็นจิ้นหยวนคนเดิม ยังพูดได้ว่าเขายังมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนปกติอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นเพียงรูปปั้นเย็นชา เวลาที่ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นจ้องมองผู้คน แม้คนคนนั้นจะอยู่ใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงและสว่างเจิดจ้าเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจ
แม้คนนอกจะเข้าใจว่าเขาตัดใจจากเฉียวซือมู่ได้แล้ว แต่คนข้างกายของเขาอย่างหลินจื้อเฉิงและมู่หรงอวิ่นเจ๋อรู้ดีว่าจิ้นหยวนเพียงแค่เก็บซ่อนความคิดถึงและความบ้าคลั่งเอาไว้ส่วนลึกสุดในใจ ตราบใดที่ยังหาตัวเฉียวซือมู่ไม่เจอ สักวันหนึ่ง ความรู้สึกทั้งหมดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้จะต้องระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เปลวเพลิงแห่งความบ้าคลั่งไม่เพียงแต่จะกลืนกินคนรอบข้างเท่านั้น หากแต่ยังเผาพลาญตัวเขาเองจนมอดไหม้ไม่เหลือแม้เพียงผงธุลีด้วยเช่นกัน
พวกเขาเห็นสภาพของจิ้นหยวนแล้วได้แต่กลัวจนอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไรดี ทุกครั้งที่พวกเขาอยากจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง เขามักจะปรายตาเย็นยะเยือกให้พวกเขาราวกับรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ และนั่นทำให้พวกเขาต้องกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงคอจนพูดอะไรไม่ออกอีก
เพียงไม่นานความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น วันนั้นมีการประชุมประจำเดือน จิ้นหยวนนั่งหน้าเข้มอยู่ในห้อง ท่าทางทรงอำนาจกดดันลูกน้องผู้น่าสงสารจนแทบจะพูดไม่ออก
ขณะที่ผู้รับผิดชอบที่เหงื่อแตกพลั่กกำลังรายงานผลประกอบการเดือนที่ผ่านมาอย่างตะกุกตะกักอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องประชุมด้วยความเร่งร้อน คนคนนั้นเอ่ยบางอย่างอยู่ข้างหูหลินจื้อเฉิง เขาได้ยินแล้วถึงกับหน้าถอดสี อุทานออกมาอย่างเผลอตัว “อะไรนะ?” อุทานเสร็จแล้วถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองทำพลาดไป จึงรีบปิดปากตัวเองเอาไว้ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว จิ้นหยวนปรายตามองเขา “เกิดอะไรขึ้น?”
หลินจื้อเฉิงเหงื่อแตกพลั่ก “เปล่าครับ ไม่มีอะไร พอดีที่บ้านผมเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ผมต้อง… ต้องกลับไปก่อน”
จิ้นหยวนจ้องเขานิ่ง “นายพูดเรื่องจริงใช่ไหม?”
หลินจื้อเฉิงพยักหน้ารัวๆ “เรื่องจริงครับ ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ลองถามเขาดู” เขาชี้ไปยังคนที่เพิ่งมาส่งข่าวให้เขารู้ คนคนนั้นพยักหน้ารัวๆ ไม่ต่างกัน “เป็นเรื่องจริงครับ ที่บ้านพี่หลินเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ครับ”
ดวงตาของจิ้นหยวนไหวระริก เขาก้มหน้าลงดูแฟ้มเอกสารตรงหน้า “นายไปเถอะ” เขาไม่สนใจเรื่องในครอบครัวของคนอื่นสักนิด
หลินจื้อเฉิงที่เหงื่อแตกพลั่กรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นพยักพเยิดมองลูกน้องคนนั้นแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง