เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 209 เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
เสียงขรึมต่ำของเขาแฝงรอยแข็งกร้าวที่ไม่อาจต้านทาน หลินจื้อเฉิงแอบร้องทุกข์อยู่ในใจ ต่อให้เขาเก่งมากขนาดไหนก็ไม่มีความสามารถทำให้คนที่แกล้งหลับตื่นขึ้นมาได้
จิ้นหยวนไม่เห็นสีหน้าซับซ้อนของเขา เขาหมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที “จัดการศพให้เรียบร้อยด้วย”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องสัพเพเหระสักเรื่อง
หลินจื้อเฉิงสะดุ้งตกใจ เขามองศพที่ผิดรูปผิดร่างบนพื้นแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นกวักมือเรียกลูกน้องเข้ามาเพื่อหาทางนำศพนี้กลับไปด้วย ไม่ว่าจิ้นหยวนจะพยายามหลอกตัวเองอย่างไรก็ตาม แต่ศพนี้ก็คือเฉียวซือมู่ จะให้คนอื่นฝังเธอง่ายๆ ไม่ได้
ในที่สุดเขาก็นำศพศพนี้กลับไปด้วยความหวังดี แต่ก็ไม่กล้าบอกให้จิ้นหยวนรู้ ได้แต่แอบเก็บเอาไว้ที่หอเก็บศพอย่างเงียบๆ
วันรุ่งขึ้น เขายังคงเห็นจิ้นหยวนสั่งให้คนออกตามหาเฉียวซือมู่เหมือนเดิม เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับจิ้นหยวนอย่างไม่กลัวตาย “พี่ใหญ่ คนที่พี่ส่งออกไปควรจะตามตัวกลับมาได้แล้วมั้งครับ”
เขาเอ่ยตะกุกตะกัก จิ้นหยวนฟังแล้วไม่เข้าใจ “ทำไมต้องตามกลับด้วย? ยังหาตัวเธอไม่เจอ ก็ต้องตามหาต่อสิ”
“แต่ว่า… แต่ว่าเธอ…” เขาอ้าปากแล้วหุบปาก แต่สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปจนได้ “แต่ว่าเธอตายไปแล้วนะครับ…”
เขาเอ่ยจบแล้วหลับตาปี๋ เตรียมตัวรับมือความบ้าคลั่งของจิ้นหยวนอย่างเต็มที่ แต่ผ่านไปตั้งนานก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เสียที เขาจึงลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย พลันเห็นสีหน้าระอาใจของจิ้นหยวนแทน “ตอนนี้ฉันก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว นายอย่ามาก่อกวนอีกได้ไหม?”
จิ้นหยวนสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยถามเขา “นายคิดว่าที่ฉันบอกว่าศพนั่นไม่ใช่เธอ เป็นเพราะฉันยอมรับความจริงไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”
หลินจื้อเฉิงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ผงกศีรษะหงึกๆ อย่างจริงจังเป็นคำตอบ
จิ้นหยวนเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ในสายตานาย ฉันเป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือไง? ที่ฉันไม่ยอมรับศพนั่น ก็เพราะว่าศพนั่นไม่ใช่คนที่ฉันกำลังตามหา มีคนสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่วันที่เธอหายตัวไปให้ศพนั่น แถมยังตั้งใจทำผมทรงเดียวกันอีก ทุกอย่างก็เพื่อให้ฉันเห็นแล้วคิดว่าศพนั่นเป็นเธอจริงๆ”
ความจริงเขาไม่มีความอดทนมากพอที่จะมานั่งอธิบายอะไรอย่างนี้ แต่ขืนเขายังไม่ยอมอธิบายอะไรเสียบ้าง หลินจื้อเฉิงคงมองว่าเขาเป็นผู้ป่วยทางจิตแน่ๆ เพราะฉะนั้น เขาจึงยอมอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “แต่นายเคยคิดบ้างไหม เธอหายตัวไปนานขนาดนั้นแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงโผล่ออกมาในเสื้อผ้าชุดเดียวกันกับวันที่หายตัวไป? เสื้อผ้าชุดนั้นดูใหม่จนเหมือนเพิ่งใส่ครั้งแรก แล้วยังมี…”
เขาชะงักเล็กน้อยแล้วพูดไม่ออกอีก เขาที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของเธอย่อมรู้ดีว่าบนร่างกายเธอมีรอยตำหนิอะไรตรงไหนบ้าง แต่ศพนั่นไม่มีรอยตำหนิพวกนั้นเลย เขาเองก็ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับหลินจื้อเฉิงอย่างไรเหมือนกัน
คำพูดของเขาเพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้หลินจื้อเฉิงได้สติ
หลินจื้อเฉิงรู้สึกละอายใจ “ไม่คิดเลยว่าพิรุธง่ายๆ แค่นี้ผมกลับดูไม่ออก ผมนี่มัน…”
จิ้นหยวนค่อยๆ ย่อกายลงนั่ง แม้เขาจะนั่งอยู่ แต่ร่างกายสูงใหญ่ของเขายังคงดูน่ากลัวน่าเกรงขาม ราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อตลอดเวลา “เรื่องนี้จะโทษนายก็ไม่ได้ มีคนจับจุดอ่อนของเราได้ ถึงได้ตั้งใจทำแบบนี้”
ในที่สุดหลินจื้อเฉิงก็คิดได้ “จริงด้วย ต้องมีคนตั้งใจทำแบบนี้แน่ๆ”
จิ้นหยวนครางเสียงฮึเย็นๆ เขาโบกมือเล็กน้อย “ฉันขอมอบหมายงานนี้ให้นาย ไปเช็คมาว่าเป็นฝีมือใคร”
“ครับ!”
คงต้องบอกว่าคนที่ทำเรื่องนี้เป็นคนที่ฉลาดมาก เพราะคนคนนั้นใช้ความเป็นห่วงที่พวกเขามีต่อเฉียวซือมู่มาสร้างสถานการณ์นี้ขึ้น ถ้าเขาไม่รู้จักเธออย่างลึกซึ้ง เขาเองก็คงจะตกหลุมพรางและเชื่อในสิ่งที่เห็นไปแล้ว
หลินจื้อเฉิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผมจะต้องหาตัวไอ้คนสารเลวคนนั้นออกมาให้ได้ บ้าเอ๊ย กล้าหลอกฉันเหรอ!”
เขาด่าจนพอใจแล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไปเพื่อจัดคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที นี่ถือเป็นการหยามหน้ากันมาก เขาจะต้องหาตัวคนทำออกมาเพื่อล้างอายให้ได้
จิ้นหยวนค่อยๆ ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ใบหน้าเฉยชาของเขาจ้องมองของเหลวสีแดงฉานในแก้ว แววตาของเขาดุดัน ในห้องรับแขกอันเงียบสงัด เสียงพูดกับตัวเองของเขาดังขึ้น “ไหนคุณลองบอกซิ ถ้าคุณกลับมา ผมควรจะต้อนรับคุณยังไงดี?”
คำพูดมีความหมายลึกซึ้งของเขาแฝงความเย็นยะเยือกที่คนฟังแล้วต้องรู้สึกตัวสั่น…
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เฉียวซือมู่ทำงานที่กองนิตยสารแฟชั่นในมิลานได้สองเดือนแล้ว เธอใช้เวลาปรับตัวเพียงไม่นาน และตอนนี้เธอรู้สึกพอใจกับงานนี้มาก ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง งานที่เธอทำอยู่ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เธอกำลังถือต้นฉบับเอาไว้ในมือพลางมุ่นหัวคิ้วถามเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยความไม่เข้าใจ “คุณเอลลี่ ฉันจำได้ว่าครั้งที่แล้วคุณคริสบอกว่าคุณต้องเป็นคนทำต้นฉบับนี้นี่นา ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นฉันทำล่ะ?”
เอลลี่เป็นผู้หญิงวัยสามสิบกว่าๆ เธอเป็นสาวผมทองตาสีฟ้า ใบหน้าเย็นชาและจริงจัง และเธอมักจะเม้มริมปากแน่นจนเกิดรอยลึกตรงร่องแก้ม เธอจึงเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่
เอลลี่ได้ยินคำถามของเฉียวซือมู่แล้วมองเธอด้วยความเบื่อหน่าย “ขอโทษด้วยนะคุณเฉียว ถึงคริสจะพูดอย่างนั้นจริง แต่คุณก็รู้นี่ว่างานมิลานแฟชั่นวีคใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้งานของเราก็เลยเพิ่มมากขึ้น ฉันก็เลยขอให้คุณช่วยแบ่งเบางานนิดหน่อย คุณจะไม่ช่วยเหรอ?”
“แต่ว่า แต่ฉันก็มีงานเต็มมืออยู่แล้ว…” เฉียวซือมู่เอ่ยอย่างลังเล
“งานพวกนั้นน่ะเรื่องเล็ก ฉันเชื่อว่าคุณเฉียวมีความสามารถมากพอที่จะทำมันเสร็จตามกำหนด จริงไหมคะ?” ตาสีฟ้าของเอลลี่จับจ้องเฉียวซือมู่นิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
เฉียวซือมู่สูดหายใจลึกๆ พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้แล้วเอ่ยกับเธอ “ได้ค่ะ ฉันจะพยายาม”
เอลลี่พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นหมุนกายแล้วก้าวเท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงสูงสิบนิ้วกลับห้องทำงานของตัวเอง
เฉียวซือมู่มองเอกสารในมือตัวเองหน้านิ่วคิ้วขมวด บริษัทนี้อยู่ได้เพราะงานแฟชั่นต่างๆ ในมิลาน เพราะนั้น ทุกครั้งที่มีงานมิลานแฟชั่นวีคจึงยุ่งมากเป็นพิเศษ แต่นี่เป็นภารกิจที่เธอได้รับอย่างกะทันหันเป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้แล้ว ทุกครั้งที่ได้รับงานแบบนี้เธอต้องทำงานล่วงเวลาและกลับบ้านดึกทุกครั้ง
ที่สำคัญ เธอยังเป็นพนักงานใหม่ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงปฏิเสธอะไรเลย อย่าคิดว่าเรื่องการกดขี่ภายในองค์กรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลกต่างหาก แค่แสดงออกอย่างชัดเจนหรือไม่เท่านั้น และเธอดันโชคร้ายมาเจอหัวหน้างานที่ชอบกดขี่พนักงานหน้าใหม่
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะไปขัดแย้งกับคนอื่น เพราะข้ออ้างของเอลลี่นั้นฟังสมเหตุสมผลมาก ส่วนเธอเป็นเพียงพนักงานที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ถ้าเกิดเรื่องขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเจ้านายจะยืนอยู่ฝั่งไหน
ในสถานการณ์ที่เธอเหลือเงินติดตัวไม่มากแบบนี้ ถ้าเกิดเธอเสียงานนี้ไป ในขณะเดียวกันเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับความช่วยเหลือจากฉีหย่วนเหิงอีก เธอคิดว่าตัวเองคงต้องอดตายแน่
บริษัทนี้ไม่มีสวัสดิการเรื่องอาหารการกินให้พนักงานเสียด้วย ดังนั้น เธอจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับการกดขี่จากหัวหน้างานโดยไม่สามารถโต้แย้งใดๆ