เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 216 พบกันอีกครั้ง
เฉียวซือมู่เองก็คาดเดาไปในทิศทางเดียวกันกับคนอื่นๆ แต่เธอไม่ได้อยากดูเรื่องสนุกเหมือนคนอื่น เพราะยามนี้เธอรู้สึกทั้งเซ็งทั้งเสียใจ ถ้าเพียงเธอรู้ภูมิหลังน่าตกใจของคริสสักนิด เธอจะไม่เข้าใกล้เขาเด็ดขาด
เห็นท่าทางโกรธจัดของเอลลี่ในตอนนี้แล้ว เธอรู้ตัวทันทีว่าคืนวันอันสงบสุขของตัวเองคงใกล้จบสิ้นลงแล้ว
และเป็นไปอย่างที่เธอคาด เย็นนั้น เอลลี่เรียกเธอเข้าไปพบในห้องทำงานของตัวเอง
เธอรู้สึกเซ็งไม่น้อย รู้ทั้งรู้ว่าคนที่เรียกเธอมาไม่หวังดี แต่ใครใช้ให้เธอเป็นหัวหน้าของตัวเองล่ะ?
เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานของเอลลี่ เอลลี่ที่กำลังยืนหน้าบึ้งตึงโยนแฟ้มเอกสารมาที่เธอ โชคดีที่เธอไหวพริบดีเบี่ยงตัวหลบทัน มิเช่นนั้น ป่านนี้เธออาจจะหัวโนไปแล้ว
เฉียวซือมู่คว้าจับแฟ้มเอกสารหมับ สัมผัสถึงลิ้นแฟ้มที่ทำจากโลหะแข็งๆ เย็นๆ แล้วแอบร้องพ่อแก้วแม่แก้วในใจ
ดวงตาสีฟ้าของเอลลี่ฉายแววผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นเฉียวซือมู่สามารถรับแฟ้มเอกสารเอาไว้ได้ “เฉียว นี่เป็นภารกิจที่ฉันจะให้เธอไปทำ เดี๋ยวจะมีงานแฟชั่นโชว์ของ Jil Sander เธอไปสัมภาษณ์สดที่นั่น ถ่ายรูปและส่งรายงานกลับมาให้ได้มากที่สุด รีบไปทำงานได้แล้ว”
เอลลี่สั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนั่งลง ไม่แลเธอแม้แต่หางตา ในใจภาวนาขอให้สาวชาวจีนน่าชังตรงหน้าออกไปจากห้องนี้เร็วๆ เธอรออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ จึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเฉียวซือมู่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม เธอชักหัวคิ้วชนกันแน่น เอ่ยถามด้วยความรังเกียจ “ทำไมยังไม่ไปอีก?”
เฉียวซือมู่แอบด่าเอลลี่ในใจจนไม่เหลือชิ้นดี Jil Sander เป็นถึงดีไซเนอร์ชื่อดังมากความสามารถของอิตาลี คิดว่าใครๆ ก็สามารถเข้าไปในงานแฟชั่นโชว์ของเขาได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? ต่อให้เข้าไปได้จริง แต่คงมีนักข่าวร่วมอาชีพเดียวกันอีกเยอะแยะ เธอที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย แถมยังไม่มีคนช่วยอีก แล้วจะให้เธอทำอย่างไร?
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอไม่เคยทำงานเป็นนักข่าวมาก่อน ปกติเธอทำแต่งานบรรณาธิการอยู่ในออฟฟิศ ไม่ต้องออกไปทำข่าวในสถานที่จริง จู่ๆ ก็โยนงานนี้มาให้เธอ มันหมายความว่าอย่างไร?
นี่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวชัดๆ งานแฟชั่นโชว์ครั้งนี้จะต้องเป็นงานที่สำคัญมาก ถ้าเกิดเธอทำมันพังขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นในใจ แต่เธอยังคงเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “ขอโทษนะคะ ฉันคิดว่างานนี้ไม่ใช่งานในหน้าที่ของฉัน ฉันไม่ทำค่ะ”
เอลลี่หรี่ตาแคบ กวาดสายตามองเฉียวซือมู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใบหน้าฉายแววไม่อยากจะเชื่อ “เธอบอกว่าไม่ไปอย่างนั้นเหรอ?” หลังจากเห็นสีหน้าแน่วแน่ของเฉียวซือมู่แล้วเธอจึงหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ “เธอก็รู้นี่ว่าฉันเป็นหัวหน้าเธอ เธอกล้าขัดคำสั่งหัวหน้างานโต้งๆ แบบนี้ รู้หรือเปล่าว่าผลจะเป็นยังไง?”
“นี่เป็นคำสั่งที่ไม่ยุติธรรม ฉันจึงมีสิทธิ์ปฏิเสธค่ะ” นี่เป็นคำสั่งที่อยู่นอกเหนือหน้าที่ของเธอ เธอจึงปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“ปัง!” เอลลี่ไม่คิดเลยว่าเฉียวซือมู่จะปฏิเสธเธอเสียงแข็งแบบนี้ เธอตบโต๊ะดังปังพลางลุกขึ้นยืน “ไหนลองพูดอีกทีซิ! ฉันจะบอกอะไรให้นะ ภารกิจครั้งนี้ฉันรายงานให้คริสทราบแล้ว ถึงเธอไม่อยากไปก็ต้องไป ไม่อย่างนั้น ฉันจะไล่เธอออกเพราะขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา”
เฉียวซือมู่กัดริมฝีปากล่างแน่นพลางจ้องเอลลี่ตาเขม็งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เอลลี่เห็นท่าทางของเฉียวซือมู่แล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ “เธอคิดดูให้ดีๆ จะไปทำข่าวแฟชั่นโชว์หรือจะถูกไล่ออก? เลือกเอาเองก็แล้วกัน”
เอลลี่เอ่ยพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ มองดูใบหน้าโกรธแค้นแต่พูดไม่ออกของเฉียวซือมู่แล้วเผยความร้ายกาจออกมาอย่างปกปิดไม่มิดอีกต่อไป “ได้ข่าวว่าเธอสนใจเจ้านายอย่างนั้นเหรอ? ไม่เจียมตัวเสียบ้างเลยว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงถึงคิดจะตะกายหาคริสน่ะ? นังโสเภณี!”
เอลลี่เอ่ยเสียงเบาเพราะไม่อยากยั่วให้เฉียวซือมู่เกิดโทสะ ถึงอย่างไรเฉียวซือมู่ก็ต้องสนิทกับคริสไม่มากก็น้อย ถ้าเกิดเธอไปฟ้องคริสขึ้นมาคงไม่ดีแน่
ต่อให้เธอกระซิบเสียงเบาหวิวขนาดไหนก็ตาม แต่คนหูดีอย่างเฉียวซือมู่ก็ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอยู่ดี ดวงตาของเฉียวซือมู่แดงก่ำ ตั้งแต่เล็กจนโตเธอยังไม่เคยถูกใครดูถูกแบบนี้มาก่อน เธอโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ภาพตรงหน้าแดงฉาน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสะกดกลั้นความคิดที่อยากจะทำร้ายคน ในขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยคำว่าลาออกออกไปนั้น จู่ๆ เสียงๆ หนึ่งก็ดังมาจากตรงประตูพอดี “เอลลี่ นี่คุณพูดอะไรน่ะ?”
เอลลี่ตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยนั้น ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเผือดซีดในบัดดล เฉียวซือมู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
คริสเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไม่คิดเลยว่าคุณจะพูดจาโหดร้ายเหมือนคนที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น แล้วยังด่าเขาเสียๆ หายๆ อีก ขอโทษเธอเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
คำพูดของคริสทำให้เอลลี่เข้าใจทันทีว่าทุกคนได้ยินสิ่งที่เธอพูดหมดแล้ว เธอหน้าขาวซีด จ้องเฉียวซือมู่ตาเขียวปั๊ด เม้มริมฝีปากแน่น “ฉันไม่ผิด ก็เธอไม่ฟังคำสั่งของฉันก่อนนี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณก็ไม่ควรใช้คำด่าทอที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามแบบนั้นต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง” คริสเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “ขอโทษเธอ เดี๋ยวนี้!”
เอลลี่ยึกยักอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ทนแรงกดดันอย่างหนักจากคริสไม่ไหวอีกต่อไป เธอกัดฟันเอ่ยอย่างจำใจ “ขอโทษ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น”
เฉียวซือมู่มองเธออย่างเฉยชา เห็นแววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ รู้ทันทีว่าเธอยังคงมองตัวเองเป็นศัตรูไม่เปลี่ยน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ หรือเธอยังคิดจะไล่ตัวเองออกอย่างไร้เหตุผลอีก?
เฉียวซือมู่คิดว่าแค่คำขอโทษนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้เธอยืนอยู่ในห้องทำงานของคนอื่น เธอไม่มีทางเลือกอะไรอีก ไม่ยอมรับแล้วยังทำอะไรได้อีก?
เธอพยักหน้าแล้วเอ่ย “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลืมไปหมดแล้ว”
เฉียวซือมู่เอ่ยโดยไม่มองหน้าเอลลี่ด้วยซ้ำ เอ่ยจบแล้วหมุนตัวจะเดินออกจากห้องทันที ต่อจากนี้คงเป็นเรื่องระหว่างคริสกับเอลลี่แล้ว เธอไม่มีอารมณ์มีส่วนร่วมด้วยหรอก
แต่เธอคิดผิดเสียแล้ว เพราะขณะที่เธอกำลังหมุนตัวจะเดินออกจากห้องนั้น คริสกลับเอ่ยเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน “เฉียว”
“อะไรคะ?” เธอหันกลับไปเอ่ยถาม
“ความจริงผมเป็นคนสั่งให้คุณไปทำงานนี้เอง” คริสเอ่ยขึ้น
เฉียวซือมู่ชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วครู่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ คริสเอ่ยต่อ “แฟชั่นโชว์ครั้งนี้ค่อนข้างจะพิเศษกว่าทุกๆ ครั้ง เพราะมีความเป็นจีนมาก ผมก็เลยคิดว่าให้คุณไปน่าจะดีกว่า เมื่อกี้เอลลี่อาจจะบอกคุณไม่ละเอียด”
“แต่ว่า…” เธอกำลังจะอ้าปากพูดสิ่งที่ตัวเองเป็นกังวลออกไป แต่กลับได้ยินเขาเอ่ยต่อ “ผมจะให้พนักงานอีกสามคนตามคุณไปด้วย คุณเป็นหัวหน้า อุปกรณ์จำเป็นต่างๆ ผมเตรียมเอาไว้ให้คุณพร้อมหมดแล้ว ส่วนเรื่องสัมภาษณ์ Jil Sander คุณทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน แค่ถ่ายรูปกลับมาให้ได้ก็พอ คุณทำได้ไหม?”
คำพูดของเขาฟังดูดีกว่าของเอลลี่ตั้งเยอะ อย่างน้อยก็ช่วยตัดความกังวลของเธอออกไปจนหมด เธอคิดๆ แล้วตกปากรับคำทันที ในเมื่อเขาพูดแบบนี้เธอก็จะลองดูสักตั้ง ไหนๆ ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายอยู่แล้วนี่
แต่เธอต้องเสียใจทันทีที่ไปถึงที่นั่น
เธอไม่ควรตกปากรับคำเขาเลย เขาทำเธอเจ็บแสบมาก
เฉียวซือมู่หดตัวลีบแอบหลบอยู่มุมลับตามุมหนึ่งในงาน เธอกำลังแอบมองชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เธอแสนคุ้นเคยที่กำลังนั่งดูแฟชั่นโชว์อยู่ข้างล่างเวทีด้วยสีหน้าอยากร้องไห้เต็มประดา
ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ ตระกูลจิ้นขยายธุรกิจมาถึงมิลานแล้วอย่างนั้นหรือ?