เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 217 หลบหนี
เธออยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ต้องรีบหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ถ้าเกิดถูกจิ้นหยวนจับได้ล่ะก็ ความพยามยามทั้งหมดทั้งมวลที่ผ่านมาก็คงเปล่าประโยชน์
แต่ก็น่าแปลกที่เธอคิดไม่ถึงว่ายังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้ว บางทีจิ้นหยวนอาจจะลืมเธอไปแล้วก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้เธอปรากฎกายต่อหน้าเขาโต้งๆ ก็คงไม่เป็นไร บางทีเขาและเธออาจจะเอ่ยทักทายกันเหมือนคนรู้จักทั่วไป จากนั้นต่างคนต่างเดินไปตามเส้นทางของตัวเองก็ได้
นี่เป็นสิ่งที่เธออยากเห็นมากที่สุด แต่เธอก็ไม่กล้าวางเดิมพันกับความเป็นไปได้นี้ เพราะส่วนลึกสุดในใจเธอรู้ว่าจิ้นหยวนไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆ สัญชาตญาณบอกเธอแบบนั้น
เพราะฉะนั้น แผนขัดตาทัพก็คือไม่ต้องไปสนใจภารกิจของเจ้านายแล้ว อย่างมากกลับไปก็แค่ถูกเจ้านายด่า เห็นแก่ที่เขายังอยากกินอาหารจีนฝีมือเธอ เขาคงไม่ไล่เธอออกหรอกมั้ง เธอแอบคิดอยู่เงียบๆ ในใจ
เธอแอบมองจิ้นหยวนที่ถือเอกสารรูปภาพในมือและกำลังคุยไปยิ้มไปกับแขกคนอื่นแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ
ตอนนี้ ระยะห่างระหว่างเธอกับเขาห่างไกลกันมาก เขาอยู่กลางที่จัดงาน ส่วนเธอแอบอยู่ในมุมลับตาคน นอกจากนี้ ยังมีแขกเหรื่ออีกมากมายที่กั้นทั้งสองคนเอาไว้ มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมาก
เพราะฉะนั้น การจากไปของเธอจึงไม่เป็นที่สังเกตของคนในงาน แต่ว่า ในเสี้ยววินาทีสำคัญเช่นนี้ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
ร่างกายเธอแข็งทื่อ พลันสัมผัสถึงสายตาไม่พอใจจากผู้คนโดยรอบที่จ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ตอนที่เธอเข้ามาในงานเธอเห็นป้ายเขียนเตือนเอาไว้ว่าเพื่อไม่เป็นการรบกวนบรรยากาศในงานเดินแฟชั่นโชว์ ทางผู้จัดงานแนะนำให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านปิดเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
เธอเข้ามาในงานก็สังเกตเห็นจิ้นหยวนทันที เธอมัวแต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วจะเอาเวลาที่ไหนจำได้ว่าต้องปิดเสียงโทรศัพท์มือถือกันล่ะ?
เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอยังคงดังต่อเนื่องอย่างไม่ยี่หระ เธอตกใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก รีบเดินเลี่ยงออกไปรับสายท่ามกลางสายตาไม่พอใจของแขกเหรื่อในงานอย่างเสียไม่ได้ “ฮัลโหล?”
เสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคริสดังลอดมาตามสาย “เฉียว ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
เธอลังเลเล็กน้อย หันกลับไปมองยังที่ที่จิ้นหยวนอยู่ แต่เธอพบว่าช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาทีเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หัวใจเธอเต้นแรง ตอนแรกเธอยังลังเลเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “คริส พอดีฉันติดธุระด่วนนิดหน่อย ฉันคงทำงานนี้ต่อไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ?” น้ำเสียงของคริสฟังดูประหลาดใจมาก “เฉียว คุณควรจะรู้นะว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ใช่ว่าทุกคนจะได้โอกาสแบบนี้นะ…”
“ฉันทราบค่ะ ฉันทราบดี” เธอเอ่ยขัดขึ้น “คริส ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับงานนี้เลยนะคะ ความจริงฉันรู้สึกขอบคุณคุณมากด้วยซ้ำที่คุณให้โอกาสนี้กับฉัน แต่ครั้งนี้ฉันติดธุระส่วนตัวจริงๆ จนทำงานต่อไม่ได้ ตอนนี้ฉันต้องรีบไปแล้ว คุณรีบหาคนมาทำงานแทนฉันเถอะค่ะ ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”
เธอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา คริสนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “โอเค ผมเข้าใจแล้ว คุณรออยู่ที่นั่นสักยี่สิบนาทีนะ เดี๋ยวผมให้เจนนี่ไปที่นั่น จากนั้นคุณค่อยกลับก็แล้วกัน”
“แต่ว่า..” เธออยากจะไปจากที่นี่ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยต่างหาก แต่คริสวางสายโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดอะไรอีก
เธอมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างเซ็งๆ แวบหนึ่งแล้วขยับกายเข้าไปซ่อนตัวในมุมลับตาคนเหมือนเดิม ได้แต่รอเจนนี่ที่จะมาเปลี่ยนตัวกับเธออย่างกระวนกระวายใจ
ขณะเดียวกัน เธอยังคงกวาดสายตามองไปทั่วงาน เมื่อกี้จิ้นหยวนยังอยู่ตรงนั้นแท้ๆ ทำไมจู่ๆ ถึงหายตัวไปแล้ว? หรือว่าเขาเห็นเธอแล้ว? ไม่ใช่หรอกมั้ง? เมื่อครู่ ระยะห่างระหว่างเธอกับเขามีพื้นที่มากพอให้คนยืนตั้งยี่สิบคนแน่ะ ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดเขายังสามารถมองเห็นเธอจริงๆ นั่นแปลว่าประสาทสัมผัสของเขาไวมากเกินไปแล้ว
เธอไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะดวงซวยขนาดนี้ ดังนั้น หลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้ว เธอจึงตัดสินใจยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
ทันใดนั้น มือๆ หนึ่งวางลงบนไหล่เธอ เธอตกจนเกือบกระโดดโหยง “นั่นใคร?”
เธอตกใจมากเกินไปจนร้องเสียงแหลมปรี๊ด เพื่อนร่วมงานที่ชื่อไมค์ถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง เขามองมือตัวเองด้วยความฉงนสนเท่ห์แล้วหันกลับไปมองเธอด้วยความไม่เข้าใจ “เฉียว คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เธอรู้สึกโล่งอกทันทีที่เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังเป็นเพื่อนร่วมงานของตัวเอง ไม่ใช่คนที่เธอกำลังคิดถึงคนนั้น “คุณทำฉันตกใจแทบตาย”
“โทษที” ไมค์เป็นคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย แม้เขาจะไม่เข้าใจปฏิกิริยาตอบสนองของเธอ แต่เขายังคงเอ่ยขอโทษตามมารยาท จากนั้นเอ่ยถามขึ้นใหม่ “เมื่อกี้เจ้านายโทรหาผม บอกว่าคุณจะกลับไปก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ พอดีฉันติดธุระด่วนนิดหน่อย ก็เลยต้องกลับก่อน พวกคุณไปสัมภาษณ์แล้วก็ถ่ายรูปกันก่อนเลย เดี๋ยวเจนนี่จะมาทำหน้าที่แทนฉัน” เธอถอนหายใจโล่งอกพลางอธิบายให้เขาฟัง
“โอเค” เขามองใบหน้าขาวซีดของเธอแล้วลังเลชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “สีหน้าคุณไม่ดีเลย ต้องการให้ช่วยอะไรไหม?”
“จริงเหรอคะ?” เธอลูบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วหัวเราะแห้งๆ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ น่าจะเป็นเพราะนอนน้อยไปหน่อยน่ะ”
“อ้อ” ไมค์พยักหน้าเล็กน้อย เขามองเธอด้วยความเป็นห่วงแวบหนึ่งแล้วเดินจากไป
เธอถอนหายใจโล่งอกทันทีที่เห็นไมค์เดินจากไป พอหันหลังกลับพลันเห็นเจนนี่เดินเข้ามาจากประตูใหญ่พอดี
เธอโล่งอกราวยกภูเขาออกจากอก รีบกวักมือให้เจนนี่ทันที
เจนนี่เห็นเธอแล้วแววตาเป็นประกายวาบ รีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาเธอทันที
เฉียวซือมู่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ออกไปทางประตูใหญ่หลังจากแน่ใจแล้วว่าคนข้างนอกไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในงาน และคนในงานก็ไม่เห็นเธอ เธอหันมองเข้าไปในงานอย่างห้ามใจไม่ไหว เห็นเพียงผู้คนแต่งกายสวยงามมากมาย เสียงดนตรีดังลอยอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่ายังมีคนจากทั่วโลกอีกมากมายแค่ไหนที่อยากจะมายืนอยู่ที่นี่ แต่เธอได้แต่หนีออกจากที่นี่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ราวหัวขโมยก็ไม่ปาน
เธอลอบถอนหายใจแล้วหมุนกายเดินจากไป
นาฬิกาบอกเวลาหัวค่ำ เธอส่งต่อเอกสารให้เจนนี่แล้ว ตอนนี้สองมือของเธอจึงว่างเปล่า เธอดูเวลาแล้วเห็นว่าได้เวลาเลิกงานพอดี จึงตัดสินใจแวะซื้อของใช้และวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารระหว่างทางกลับบ้าน
ขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรบ้างอยู่นั้น จู่ๆ ความเศร้าค่อยๆ เอ่อขึ้นในใจ
เธอก้าวเดินอย่างช้าๆ อยู่ริมถนน สีหน้าเจ็บปวด
ภาพที่เธอกับจิ้นหยวนใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขปรากฎขึ้นในสมองเธอเป็นฉากๆ ก่อนหน้านี้เธอพยายามลืมภาพเหล่านั้นให้หมด แต่เธอไม่คิดเลยจะได้พบเขาอีกครั้งในวันเวลาและสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมดจนยากจะอธิบาย
เธอลูบหน้าอกตัวเองเบาๆ รู้สึกราวกับว่ามีหลุมขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น และความหนาวเหน็บค่อยๆ แทรกซึมออกมาจากหลุมนั้นอย่างไม่หยุดหย่อน จนทำให้ร่างทั้งร่างสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่บนถนนสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของเธอ ทันใดนั้น มีคนใจดีคนหนึ่งเดินเข้าไปถามเธอด้วยความห่วงใย “คุณผู้หญิง คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
สีหน้าและท่าทางของเธอคงทำให้คนเดินถนนเหล่านั้นตกใจไม่น้อยจนคิดว่าเธอไม่สบายแน่ๆ
เธอฝืนยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่สภาพจิตใจไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“ถ้าไม่สบายก็ต้องไปหาหมอนะ” คนที่เอ่ยกับเธอเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับพูดจาอ่อนโยนมาก