เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 254 นิ่งคิด / ตอนที่ 255 ไม่คาดคิด
ตอนที่ 254 นิ่งคิด
จิ้นหยวนรีบปรับสีหน้าทันที เขาเผยรอยยิ้มประหลาดใจตามที่เธอคาด “คุณกลับก่อนกำหนดเหรอ? ทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะ? ผมจะได้ไปรับคุณ” เอ่ยพลางก้าวเข้าไปหาเธอพลาง เขาอยากจะเข้าไปกอดเธอ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชะงักกะทันหัน
เธอไม่ทันสังเกตเห็น ยังคงยิ้มตาหยีให้เขา “ก็เพราะฉันอยากรู้นะสิคะว่าคุณทำตัวดีหรือเปล่า? ใครจะไปรู้ ถ้าโชคดีฉันอาจจะจับชู้ได้คาเตียงก็ได้”
เขายิ้มน้อยๆ มองดวงตาสีดำขลับที่มีแต่รอยยิ้มของเธอแล้วเอ่ย “ถ้างั้นตอนนี้คุณก็ผิดหวังมากนะสิ?”
“ก็ใช่นะสิคะ คิดไม่ถึงเลยว่าเสน่ห์ของคุณจะไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้ เฮ้อ คงได้แค่นี้แหละนะ” เธอหัวเราะหยอกล้อ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ ท่าทางอารมณ์ดีมาก
เขายิ้มพลางลูบผมยาวสลวยของเธอเบาๆ ซ่อนความโหดเ**้ยมเอาไว้ส่วนลึกสุดในใจจนมิดชิด เขาเอ่ยกับเธอ “ผมกลับบ้านก็เลยดื่มนิดหน่อย คุณนั่งก่อนนะ ผมขอไปอาบน้ำแป๊บ”
เธอพยักหน้า “พ่อบ้านบอกแล้วค่ะ คิดว่าคุณจะค้างคืนที่นั่นซะอีก ไม่คิดเลยว่าคุณจะกลับมา ฉันว่าเขาต้องประหลาดใจมากแน่เลยค่ะ”
เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เธอยิ้มพลางมองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินไปที่ห้องน้ำ จู่ๆ ก็นึกสนุกขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดัง “ให้ฉันช่วยไหมคะ?”
เขาชะงักกายนิ่ง กวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง สายตาร้องเตือนของเขาทำให้เธอตัวหงอ
จากนั้นปิดประตูห้องน้ำลง
เธอยักไหล่ หยิบของขวัญที่เพิ่งเก็บเข้าที่ออกมา
มันเป็นเนคไทสีสวยมาก จิ้นหยวนสวมชุดสูทเป็นประจำ ของขวัญชิ้นนี้ต้องเหมาะกับเขาแน่
และเป็นไปตามคาด จิ้นหยวนเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเนคไทในมือเธอแล้วสีหน้าดีใจมาก “นี่ให้ผมเหรอ?”
เธอพยักหน้า หยิบเนคไทออกจากกล่องแล้ววางลงบนมือเขา “ลองดูสิคะว่าชอบไหม?”
เขารับมันมาพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่รีบลอง แต่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณให้เนคไทผม อยากจะบอกอะไรผมหรือเปล่า?”
เธอพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “คุณคิดมากเกินไปแล้ว ฉันแค่เห็นว่ามันสวยดีและเหมาะกับคุณมาก ก็เลยซื้อให้คุณก็เท่านั้น”
เขาทาบเนคไทกับอก “คุณคิดว่าผมจะเชื่อเหรอ?”
ในสายตาของคนบางคน เนคไทยังมีความหมายพิเศษอื่นอีกด้วย เขาไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะไม่รู้
เธอหน้าแดงซ่านอย่างห้ามไม่อยู่ “ฉันบอกแล้วไงว่าคุณคิดมาก…”
จู่ๆ เธอก็หยุดพูดกะทันหัน เพราะเขาเดินเข้าไปใกล้เธอ โน้มกายเข้าไปใกล้เพียงคืบ จ้องมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ
เธอขยับกายด้วยความกระสับกระส่าย “คุณจะทำอะไรน่ะ?”
เขาถอนหายใจเบาๆ “ผมเข้าใจความหมายของของขวัญที่คุณให้ผม วางใจเถอะ อีกไม่นานแล้วล่ะ” น้ำเสียงขณะที่เอ่ยฟังดูเย็นยะเยือก
เธอกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา เงามืดก่อเกิดในใจเงียบๆ “คุณเป็นอะไรไปคะ?”
หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาระหว่างที่เธอออกไปท่องเที่ยว?
เขาส่ายศีรษะน้อยๆ พลางหลุบตาลง แววตากลับคืนสู่ความสงบ “ไม่มีอะไร แค่ช่วงนี้ตระกูลหร่วนเล่นใหญ่ไปหน่อย ผมชักจะหมดความอดทนแล้ว”
เธอสบายใจขึ้น เอ่ยปลอบเขา “คุณวางใจเถอะค่ะ ต่อให้พวกเขาเก่งมากแค่ไหนก็สู้คุณไม่ได้หรอกค่ะ”
“เชื่อใจผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาเอ่ยยิ้มๆ เห็นได้ชัดว่าคำปลอบโยนของเธอมีอิทธิต่อเขามาก
“แน่นอนสิคะ คุณเป็นคนที่เก่งที่สุดในใจฉันเลยนะ” เธอยิ้มกริ่มพลางเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ยัยขี้ประจบ” เขาขยี้ศีรษะเธอเบาๆ หันไปหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “มา ช่วยไดร์ผมให้ที่รักของคุณหน่อยนะครับ”
“ขี้เกียจขนาดนั้นเชียว” เธอบ่นอุบอิบ แต่ก็รับไดร์เป่าผมมาจากเขาอย่างว่าง่าย
เธอเห็นเขาหลุบตาลงต่ำ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบๆ เธอเอ่ยเสียงเบา “คุณอย่าหักโหมจนเหนื่อยเกินไป เรื่องอะไรที่วางมือได้ก็วางมือเถอะค่ะ คุณแบกรับทุกอย่างเอาไว้กับตัวแบบนี้ เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหวนะคะ”
ตอนที่ 255 ไม่คาดคิด
จิ้นหยวนเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงเรื่องสนุกที่เธอพบเจอระหว่างท่องเที่ยวแทน เธอถูกดึงดูดความสนใจทันที สองหนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงจนค่อยๆ หลับไป
หลังจากเฉียวซือมู่หลับสนิทแล้ว จิ้นหยวนค่อยๆ ลุกออกจากเตียงเงียบๆ แล้วเดินไปยังระเบียงห้อง เขาสั่งงานกับลูกน้อง เสร็จแล้วค่อยปีนขึ้นเตียงไปนอนกอดเธอเหมือนเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับเตียงว่างเปล่า นี่เป็นเรื่องปกติ จิ้นหยวนเป็นคนบ้างาน เขาทำงานหนักจนแทบจะไม่มีวันหยุดด้วยซ้ำ เธอชินเสียแล้ว
เธอนั่งรับประทานอาหารเช้าช้าๆ พลางครุ่นคิดไปมา ตัดสินใจว่าวันนี้เธอจะออกไปเยี่ยมคุณแม่ หากพอมีเวลา เธอก็จะแวะไปดูที่ออฟฟิศเสียหน่อย
ได้ข่าวว่านิตยสารกำลังไปได้ดี พนักงานที่เธอรับเข้าทำงานทำผลงานได้ดีมาก เธอจึงรู้สึกภูมิใจในสายตาการเลือกคนของตัวเองมาก
เธอไปเยี่ยมคุณแม่ก่อนตามแผน แต่ที่ชั้นหนึ่งกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนของคุณแม่ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจึงนึกแปลกใจ
เธอรู้กิจวัตรประจำวันของคุณแม่เป็นอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะออกจากบ้านช่วงเช้าแบบนี้
เธอเป็นห่วงคุณแม่มาก รีบเปิดประตูเข้าไปในห้องทันที
คุณนายเฉียวตกใจสะดุ้งโหยง ลนลานจนทำแก้วน้ำบนโต๊ะตกลงพื้น เสียงแก้วแตกดังกังวาน เศษแก้วกระจายเต็มพื้น
คุณนายเฉียวหันกลับไปมองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย อิดโรย น้ำเสียงไม่พอใจ “ทำไมไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา?”
เฉียวซือมู่รู้สึกผิด รีบแก้ตัว “หนูนึกว่าคุณแม่ไม่อยู่บ้าน” พลันสงสัยว่าเหตุใดคุณแม่ถึงตกใจมากขนาดนั้น “คุณแม่ดูอะไรอยู่เหรอคะ?”
คุณนายเฉียวรีบซ่อนโทรศัพท์มือถือเอาไว้ข้างหลัง สูดหายใจลึกแล้วเอ่ยตอบ “ไม่มีอะไร แม่กำลังดูหนังผีอยู่น่ะ แล้วลูกก็เข้ามาพอดี”
ที่แท้ก็ตกใจเพราะเรื่องนี้เอง มิน่า ท่าทางถึงได้ลนลานขนาดนั้น เธอยิ้มน้อยๆ มองไปที่มุมห้องแวบหนึ่งแล้วลากเครื่องดูดฝุ่นมาจัดการกับเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นให้สะอาด
คุณนายเฉียวเห็นท่าทางลูกสาวแล้วปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติ เธอวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วเดินเข้าไปหาเฉียวซือมู่ “แม่ทำเอง”
เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ “คุณแม่อย่าเข้ามาค่ะ ระวังโดนบาดนะคะ”
คุณนายเฉียวมองสายตาสงบนิ่งของลูกสาวแล้วขยับปากเล็กน้อย อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก ชั่วครู่ จู่ๆ เธอก็โพล่งถาม “มู่มู่ แม่ขอถามอะไรหน่อย ถ้าพ่อของลูกกลับมา ลูกยังจะเกลียดพ่ออยู่หรือเปล่า?”
เฉียวซือมู่ชะงัก คิดไม่ถึงว่าท่านจะถามตัวเองแบบนี้ เธอหันกลับไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณแม่ ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้ล่ะคะ?”
คุณนายเฉียวส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เมื่อคืนแม่ดูหนัง พ่อพระเอกนอกใจทิ้งลูกเมียตัวเองไป ตอนหลังกลับตัวกลับใจ คนในครอบครัวเลือกที่จะให้อภัยเขา แม่ก็เลยอยากจะถามลูก ถ้าเกิดพ่อของลูกกลับมา…”
เฉียวซือมู่เอ่ยเสียงเฉียบโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา “คนอื่นก็คือคนอื่น เราก็คือเรา คุณแม่เลิกดูละครน้ำเน่าพวกนั้นเถอะค่ะ” เธอเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม
คุณนายเฉียวดูออกว่าเฉียวซือมู่ต่อต้านและปฏิเสธ เธอเม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่เอ่ยอันใดอีก ในห้องได้ยินแต่เสียงเครื่องดูดฝุ่นที่กำลังทำงานเท่านั้น
ไม่นานคุณนายเฉียวจึงเอ่ยขึ้นใหม่ “ทำไมวันนี้ถึงมาแต่เช้าล่ะ?”
เฉียวซือมู่ตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเศษแก้วหลงเหลือแล้วจึงยกตัวขึ้นยืนตรง “หนูอยู่ว่างๆ ก็เลยออกมาข้างนอกน่ะค่ะ กะว่าเดี๋ยวจะแวะไปดูที่ออฟฟิศซะหน่อย”
คุณนายเฉียวมุ่นหัวคิ้ว “บริษัทที่ลูกทำงานก่อนหน้านี้นะเหรอ ลูกจะกลับไปทำงานที่นั่นอีกเหรอ?”
เฉียวซือมู่นั่งลงข้างๆ คุณนายเฉียว กอดแขนคุณนายเฉียวเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงออดอ้อน “คุณแม่ยังไม่รู้ใช่ไหมคะ หนูซื้อบริษัทนั้นเอาไว้แล้ว ตอนนี้หนูเป็นเจ้าของที่นั่นค่ะ”
“จิ้นหยวนเป็นคนออกเงินใช่ไหม?” คุณนายเฉียวเดาถูกเผง เฉียวซือมู่พยักหน้าหงึกๆ เป็นคำตอบ
คุณนายเฉียวคิดๆ แล้วถอนหายใจ รู้สึกว่าโชคชะตาของลูกสาวดูสลับซับซ้อนอย่างไรบอกไม่ถูก เธอสรุปได้แค่ว่า “ลูกก็ระวังตัวเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้มาหาแม่นะ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“จริงสิ” คุณนายเฉียวเพิ่งนึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น “อีกสักพักแม่จะย้ายออกไปจากที่นี่แล้วนะ”
“ทำไมล่ะคะ?” เฉียวซือมู่เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ และรู้สึกแปลกใจมาก
คุณนายเฉียวมุ่นหัวคิ้ว “ยังจะต้องถามอีกเหรอ? แม่เป็นอะไรกับจิ้นหยวนไม่ทราบ? ก่อนหน้านี้เป็นเพราะแม่ต้องรักษาตัวถึงต้องอยู่ที่นี่ ตอนนี้หายดีแล้วก็ต้องย้ายออกไปนะสิ”
เฉียวซือมู่ร้อนใจ “แล้วคุณแม่จะย้ายไปอยู่ที่ไหนคะ? เราไม่มีบ้านที่ไหนอีกแล้วนะคะ”
“เรื่องนี้ลูกไม่ต้องเป็นห่วง” ดูเหมือนว่าคุณนายเฉียวจะมีแผนในใจแล้ว “แม่ติดต่อเพื่อนเก่าเอาไว้แล้ว เพื่อนแม่จะช่วยหาบ้านให้เอง หาได้แล้วแม่ก็จะย้ายออกทันที”
“ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะไม่ได้เจอคุณแม่อีกนะสิคะ” เฉียวซือมู่ดึงแขนคุณนายเฉียวเอาไว้
“เด็กโง่ โตขนาดนี้แล้ว จะเอาแต่อยู่กับแม่ทุกวันได้ยังไง? อีกอย่าง แม่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล ก็แค่ย้ายที่อยู่เท่านั้นเอง ถ้าลูกอยากเจอแม่ก็ไปเยี่ยมได้เสมอนี่นา”
“แล้วสุขภาพของคุณแม่ล่ะคะ?” เฉียวซือมู่ยังไม่วางใจ พยายามพูดโน้มน้าวให้คุณนายเฉียวเลิกล้มความคิดนี้ “ตอนนี้ยังมีคนคอยดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด คุณแม่ย้ายออกไปอยู่คนเดียวแบบนั้น ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไงคะ?”
“แม่ก็ยังมีลูกอยู่นี่ไง” คุณนายเฉียวตัดสินใจแล้ว เธอเอ่ยขึ้นช้าๆ “อาการแม่ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าลูกไม่สบายใจ เดี๋ยวแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบก็ได้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ลูกก็ไม่ต้องมาห้ามแม่อีก”
เฉียวซือมู่พยักหน้าน้อยๆ ในที่สุดเธอก็ถูกคุณนายเฉียวเกลี้ยกล่อมสำเร็จจนได้
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ต้องดึงดันย้ายออกไปให้ได้ เธอคิดไปตลอดทาง และได้ข้อสรุปว่าคุณแม่อาจจะไม่อยากทำให้เธอลำบาก สถานะระหว่างเธอกับจิ้นหยวนยังคลุมเคลือไม่ชัดเจน พูดให้น่าเกลียดก็คือเป็นเมียน้อยเขา สถานการณ์เช่นนี้ ท่านคงไม่อยากทำให้เธอต้องแบกรับคำตำหนิว่าร้ายอะไรอีก
เธอคิดๆ แล้วรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
สภาพจิตใจที่กำลังสับสนปนเปในตอนนี้ทำให้เธอหมดอารมณ์เข้าออฟฟิศอีก เธอเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนฟุตบาท เดินไปคิดไป ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอหยิบมันขึ้นมากดรับสาย เสียงทักทายแสนคุ้นเคยดังลอดมาตามสาย “ไฮ เฉียว?”
เสียงคุ้นเคยของคริสนั่นเอง
เธอประหลาดใจมาก เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “คุณนั่นเอง ทำไมถึงโทรหาฉันได้ล่ะคะ? คุณรู้เบอร์โทรฉันได้ยังไงคะ?”
คริสเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ผมถามจากฉีน่ะ ได้ข่าวว่าคุณกลับจีนแล้ว”
เธอรู้สึกผิดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องราวมากมาย เธอเองก็ถูกวางยาจนนอนสลบไปนาน ตื่นมาอีกทีก็ลืมคริสไปจนสิ้น พอเขาถามแบบนี้ เธอถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนเขาดูแลเธอดีมากขนาดไหน จึงได้แต่เอ่ยตอบไปด้วยความอาย “ค่ะ ฉันกลับมาแล้ว ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้บอกคุณก่อน”
คริสยังคงเอ่ยอย่างร่าเริง “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมรู้ว่าตอนนั้นคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย ฉีเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว ผมไม่เคยโทษคุณเลยนะ” เอ่ยจบแล้วเสียงขรึมลง เขาเอ่ยถามขึ้นใหม่อย่างยากลำบาก “เฉียว ตอนนี้คุณสบายดีไหม?”